วรวิช ทรัพย์ทวีแสง หลักไมล์และทัศนะนักเขียนรุ่น ‘แนว’

นักเขียนหนุ่มจากบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เจ้าของรางวัล เรื่องสั้น สุภาว์ เทวกุลฯ ปี 2553 จากเรื่อง โลกจากเราไป และมีผลงานเรื่องสั้นเรื่องแรกเรื่อง “ห้อง” ตีพิมพ์ในจุดประกายวรรณกรรม ปี 2550 ปัจจุบันอยู่กรุงเทพฯและเป็นนักเขียนอิสระ
และนี่คือบทสนทนาบางส่วนเกี่ยวกับแนวความคิดและการทำงานเขียนของเขา…
พื้นฐานทางบ้านส่งเสริมการอ่านการเขียนอย่างไร?
ถ้าหมายถึงพ่อแม่ก็ไม่ได้ส่งเสริมอะไรมากไปกว่าการเคี่ยวเข็ญให้เรียนหนังสือเหมือนพ่อแม่ทั่วไปแหละครับ แต่คือชีวิตผมอยู่กับพ่อกับแม่เป็นส่วนน้อยแล้ว เพราะตอนโตมาตอนที่เริ่มจะจำความอะไรได้ เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเอง ผมก็ไม่ได้อยู่กับท่านแล้ว คือผมมาเรียนที่กรุงเทพฯตั้งแต่ ป.5 ตอนเด็กๆที่อยู่กับท่าน คือท่านก็มีงานของท่านที่จะต้องทำผมเองก็ต้องช่วยงานที่ร้าน บ้านผมเป็นร้านขายของน่ะครับ มันก็ยุ่งตลอดเวลา ก็มีบ้างที่เวลาท่านว่างๆก็จะมาช่วยดูเรื่องการบ้าน แต่ที่ว่าจะส่งเสริมให้อ่านนอกเหนือกว่านั้นยังไม่มีนะครับ แล้วคือผมไม่ชอบอ่านหนังสือด้วยนะครับ จำได้ว่าตอนที่ปู่ยังมีชีวิตเขาก็เคี่ยวเข็ญให้ผมอ่านหนังสือ ให้ผมอ่านออกเสียงให้ท่านฟัง แต่ผมก็ยังไม่ชอบอ่านอยู่ดี
คุณเริ่มชอบอ่านหนังสือช่วงไหนของชีวิต?
ถ้าช่วงชอบอ่านเลยจริงๆก็น่าจะเป็นช่วงมัธยมปลาย ตอนนั้นมีเพื่อนที่อ่านด้วยกัน ส่วนใหญ่จะเป็นก็มีพวกการ์ตูน นิตยสาร มีหนังสือเล่มพวกเรื่องสั้นที่เป็นสืบสวนสอบสวนบ้าง แต่มันจะมีช่วงแรกๆที่ผมมาเรียนที่กรุงเทพฯใหม่ๆ มันเป็นช่วงที่ผมเริ่มหันมาสนใจการอ่านหนังสือ จริงๆสภาพแวดล้อมมันบังคับมากกว่า คือผมมาอยู่กับอาตอนนั้นก็ยังเด็ก อารมณ์มันประมาณว่าไม่เคยจากบ้าน แล้วมันก็คิดถึงบ้านด้วย แล้วที่บ้านอามันจะมีบรรยากาศเงียบๆ คือทุกคนก็จะมีกิจกรรมส่วนตัวในมุมต่างๆของบ้าน แล้วกิจกรรมของแต่ละคนก็คือการอ่านหนังสือ ซึ่งผมไม่ชอบมันมากอย่างที่บอก ผมก็ดูทีวีอะไรของผมไป แต่พอปิดทีวีผมก็เหมือนอยู่คนเดียว ยิ่งคิดถึงบ้านไปกันใหญ่ มันทำให้ผมเริ่มหันมามองหนังสือที่เขาอ่านๆกัน ว่าทำไมเขาอยู่กับมันได้ครั้งละนานๆ มันมีอะไรดี มันสนุกขนาดนั้นเลยเหรอ อะไรแบบนั้นน่ะครับ ก็เริ่มไปลองรื้อๆค้นๆที่ตู้หนังสือ หยิบเล่มหนาๆมาเปิดๆ ลองอ่านๆไป แต่มันก็อ่านไม่รู้เรื่องหรอกครับ คือเราไม่ได้เป็นคนที่อ่านหนังสือมาก่อน แค่เจอหนังสือที่มันมีแต่ตัวหนังสือก็จะเบื่อแล้ว จนผมไปหยิบหนังสือบางๆเล่มนึง เป็นหนังสือนิทานอ่านนอกเวลาในวิชาภาษาอังกฤษที่พี่เรียน คือมันจะมีภาษาอังกฤษแล้วก็ภาษาไทยแปลด้วย ผมอ่านไปแต่ก็อ่านแต่ภาษาไทยอะนะครับ มันสนุกจริงๆ แล้วมันก็มีความรู้สึกว่าเราอ่านได้แล้ว คิดดูนะครับว่าเล่มมันก็บางอยู่แล้วแถมยังมีภาษาอังกฤษเข้าไปอีก แต่ผมก็ยังรู้สึกภูมิใจว่าอ่านหนังสือเล่มนี้จบทั้งเล่มแล้ว
เคยอ่านข้อเขียนหรือจะเรียกว่าเรื่องสั้นของคุณโอเพ่นออนไลน์ คุณเป็นนักเขียนประจำหรือ…และเรื่อง “ความฝันของฉัน” เป็นเรื่องจากประสบการณ์ตรงใช่ไหม?
อ๋อ ตอนนั้นเหมือนทางโอเพ่นเขาจะมีกิจกรรมให้ผู้อ่านส่งเรื่องความฝันของตัวเองเข้าไปน่ะครับ คล้ายๆว่าจะเป็นสิ่งที่ตัวเองเคยฝัน หรือว่าเป็นสิ่งที่กำลังคิดฝันอยู่ก็ได้ เห็นว่าจะเอาไปทำอะไรสักอย่าง แต่ก็เงียบๆไปแล้ว คือผมส่งเข้าไปร่วมสนุกเท่านั้นแหละครับ ไม่ได้เขียนประจำอะไรที่นั่น คือเรื่องที่ส่งไปนั่นก็เป็นเรื่องจากประสบการณ์ชีวิตของตัวเองนี่แหละครับ แต่แทนที่ผมจะเขียนไปบอกว่าฉันฝันแบบนั้นแบบนี้ ก็ลองเลยลองเล่าให้มันเป็นเรื่องเป็นราวซะหน่อยน่ะครับ
ทราบว่าเคยทำนิตยสารมาก่อน?
บอกไปไม่รู้จะรู้จักกันหรือเปล่านะครับเพราะบางเล่มก็เลิกทำไปแล้ว เล่มแรก PLAY ON ตอนนี้ไม่มีแล้ว มันเป็นนิตยสารแนวศิลปะ การออกแบบ ไลฟ์สไตล์ แล้วก็มีเรื่องบันเทิงพวกเรื่องหนัง เพลง หนังสือ คือก่อนจะได้งานที่นี่ผมก็สมัครไปหลายที่ครับแต่ไม่มีที่ไหนตอบกลับมาเลย คงเป็นเพราะคณะที่ผมเรียนมันไม่ได้เกี่ยวกับการทำหนังสือเลย แต่งานนี้ผมไม่ได้สมัครไปเขาบอกว่าเขาเอาประวัติผมมาจากพวกเว็บสมัครงานในอินเตอร์เน็ต แล้วเขาก็ดูงานเก่าๆที่ผมเขียนไว้ตอนเรียน ผมว่ามันก็เป็นความบังเอิญเหมือนกันที่ได้เข้ามาทำ ทำจนเขาเลิกทำนั่นแหละครับ
แล้วก็ไปทำที่นิตยสาร Go Genius เป็นนิตยสารวิทยาศาสตรสำหรับเด็กครับ ตอนทำที่นี่ก็ได้ไปทำค่ายวิทยาศาสตร์กับเด็กๆ ได้คุยได้เล่นกับเด็กๆ ก็สนุกดีครับ
แล้วผมก็ออกไปทำนิตยสาร Swing แบบวงสวิงอะไรแบบนั้นน่ะครับ เกี่ยวกับกอล์ฟ ซึ่งผมเองไม่เคยเล่นไม่เคยสนใจมันเลยด้วยซ้ำ ผมคิดว่าเขาคงขาดคนอยู่ด้วย แต่ตอนสัมภาษณ์งานผมก็บอกเขาไปนะครับว่า ผมคิดว่าผมเป็นคนทำหนังสือ คือไม่ว่าจะทำหนังสือแนวไหนมันก็น่าจะทำได้ แต่จะทำได้ดีหรือไม่ก็อีกเรื่องนะครับ เขาก็เห็นด้วยเพราะว่าคงไม่มีนักกอล์ฟคนไหนจะมานั่งเขียนนิตยสารกอล์ฟอยู่ในสำนักงานแบบนี้แน่ ยังไงก็ต้องเป็นคนทำหนังสือแล้วค่อยไปเรียนรู้เรื่องกอล์ฟเอา ผมก็ได้เข้าไปทำได้ไปฝึกไดร์ฟกอล์ฟ ได้ไปออกรอบ ได้ไปทำงานต่างประเทศ เป็นประสบการณ์ใหม่ๆในชีวิตเลยครับ อ้อ แล้วช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมเริ่มทำนิตยสารออนไลน์กับเพื่อนๆด้วยครับคือทำเอามันให้ดาวน์โหลดอ่านฟรี ชื่อนิตยสารหมดปัญญา เป็นแนวสารคดีทำออกมาได้สองเล่มก็หยุดไปน่ะครับ
เล่มต่อไปเป็นนิตยสารแฟชั่นวาไรตี้ของผู้ชายครับชื่อ crush ที่นี่ผมได้เข้ามาตอนช่วงเปลี่ยนแปลงพอดี คือกำลังมีการวางโครงของนิตยสารกันใหม่พอดี ผมก็ได้เข้าไปออกความคิดเห็นให้เป็นโครงของนิตยสารซึ่งทุกวันนี้ก็ยังใช้อยู่ คือผมคิดได้จากความคิดที่ว่าว่าผู้ชายคนนึงจะมีอะไรที่ทำให้ผู้หญิงสนใจได้บ้าง มันก็ออกมาเป็นรูปลักษณ์ภายนอก ชีวิตความเป็นอยู่ แล้วก็ความคิด แล้วพี่หัวหน้ากองฯกับเพื่อนๆในกองฯตอนนั้นเขาก็เสริมเรื่องความปรารถนาเข้าไปให้มันสมบูรณ์ มันก็กลายเป็นสี่คำหลัก Look Live Thought Lust ซึ่งจริงๆมันก็คือสิ่งที่มีอยู่ในนิตยสารวาไรตี้ทั่วไปอยู่แล้วเพียงแต่ใครจะจัดกลุ่มแล้วนำเสนอมันออกมาอย่างไรเท่านั้นเอง
ต่อจากนั้นผมก็ได้ไปทำงานที่ Metro Life เป็นนิตยสารรายสัปดาห์แจกฟรีในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการครับ ซึ่งผมไปอยู่ได้ไม่กี่เดือนเขาก็เลิกทำ ผมเลยต้องไปทำในส่วนของข่าวบันเทิงออนไลน์ในส่วนของสกู๊ปพิเศษแล้วก็ทำคอลัมน์ส่งใน CLICK ที่เขาเพิ่งเริ่มด้วย
เรื่องสั้นเรื่องแรกที่ตีพิมพ์คือเรื่องอะไร?
เรื่องแรกที่เขียนแล้วก็เป็นเรื่องแรกที่ตีพิมพ์ด้วยแต่ไม่ได้เงินค่าเรื่องนะครับ คือตอนนั้นนิตยสาร Katch เขามีพื้นที่ให้ทางบ้านส่งอะไรเข้าไปก็ได้ ผมก็ส่งเข้าไป มันไม่มีชื่อเรื่องด้วยซ้ำครับ ที่นับว่าเป็นเรื่องสั้นก็เพราะว่าผมรู้สึกว่าผมตั้งใจแต่งเติมให้มันให้มันมีสีสัน มันเป็นเรื่องชวนฝันของเด็กหนุ่มมัธยมปลายคนนึง ที่จู่ๆนักร้องสาวที่ตัวเองชอบก็มาที่บ้านของตัวเองด้วยความบังเอิญ จนเกิดความสนิทสนมกัน แต่ก็ยังแอบสอดแทรกจินตนาการแปลกๆ แต่สุดท้ายมันกลายเป็นเรื่องหักมุม ตอนนั้นพอได้ลงก็รู้สึกสนุกกับการเขียนขึ้นมาเลยครับ ส่วนเรื่องที่ตีพิมพ์แล้วได้ค่าเรื่องก็ได้ลงที่จุดประกายวรรณกรรมนี่แหละครับ ตอนปี 50 นี่เองชื่อเรื่อง ห้อง ครับ
งานของคุณมีลักษณะเฉพาะตัวสูง ถ้านิยามว่างานของคุณ “แนว” มากๆ คิดอย่างไรกับความเห็นนี้?
ผมว่าคำว่า ‘แนว’ มันต้องตีความที่น้ำเสียงอีกนะ ผมเข้าใจว่าตอนที่คำว่า ‘แนว’ มาติดปากกันใหม่ๆ น่าจะเป็นในช่วงที่มีศิลปินและนักร้องที่เกิดขึ้นใหม่ๆ ซึ่งแต่ละวงมีดนตรีและเนื้อหาแหวกแนวไปจากเพลงตลาดๆทั่วไป และแถมการแต่งตัวก็จะแหวกแนวด้วย พอเขาใช้คำว่า ‘แนว’ คงแปลความได้ ‘แปลก’ ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่อง คือเขาไม่ทำกัน มันอาจจะหมายถึงดี หรือไม่ดีก็ได้ แต่ยังไงก็แล้วแต่ครับ ผมถือว่าเป็นปฏิกิริยาอย่างหนึ่งของผู้อ่าน และผมชอบนะ ไม่ว่าจะบอกว่าชอบหรือไม่ชอบยังไง หรือบางคนบอกงงก็ยังดี แต่ถ้าคนอ่านอ่านแล้วนิ่งเฉย นั่นจะเป็นปฏิกิริยาที่ผมหนักใจที่สุดเลยครับ
คือเรื่องสั้นของผมช่วงปีที่ผ่านมานี้ ผมไม่ได้อยากให้ผู้อ่านถามว่า ผมคิดอะไรอยู่ หรือมีอะไรที่ผมอยากจะบอกซ่อนเอาไว้ในเรื่อง แล้วก็พยายามหามันเพื่อให้ตรงกับที่ผมคิด อย่างนี้ผมไม่ต้องการเลย ผมไม่ได้เขียนรหัสมาให้ถอด ถึงต้องมีเฉลยว่าสิ่งที่ผมจะบอกคืออะไรอย่างไร แล้วบอกว่าถูกต้อง แต่ผู้อ่านบางคนก็ต้องการแบบนั้นนะผมว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็คงต้องมีคำอธิบายงานของผมทุกชิ้นว่าจะสื่ออะไร ซึ่งมันไม่ใช่แล้ว อย่างที่จะเห็นกัน อย่างคนทำงานสร้างสรรค์ไม่ว่าจะเป็นคนเขียนหนังสือ คนทำหนัง หรือคนทำงานศิลปะต่างๆ มักจะโดนถามว่าคุณจะสื่ออะไร ซึ่งผมก็ไม่รู้จะตอบยังไง คือถ้าผมพูดไปแล้วผมจะเขียนเรื่องสั้นทำไม ผมก็เขียนสิ่งที่ผมพูดไปเลยดีกว่า ผมอยากให้ผู้อ่านถามตัวเองมากกว่า ว่าอ่านแล้วคิดอย่างไร หรือได้รับอะไรไป นั่นก็คงเป็นสิ่งที่เรื่องสั้นของผมทำหน้าที่ คือสื่อความนั้นๆไปถึงผู้อ่าน ซึ่งบางทีผมไม่ได้คิดถึงตรงนั้นด้วยซ้ำ ถ้าคนอ่านอ่านงานผมแล้วเห็นความคิดตัวเองนั่นผมถือว่างานผมได้ทำหน้าที่ได้อย่างดีแล้ว
งานเขียนคือการสนทนากับตัวเองหรือเปล่า?
ผมคิดว่าการเขียนเป็นวิธีหนึ่งในการบันทึกบทสนทนากับตัวเอง เพราะงานเขียนจริงๆมันกว้างกว่านั้นมันไม่ได้จำกัดอยู่แค่บทสนทนากับตัวเอง มันเป็นบทสนทนากับสังคมก็ได้ ก็ออกมาเป็นบทวิเคราะห์วิจารณ์ประเด็นต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคม ความเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรม วิถีชีวิต คือจะมองออกว่าสิ่งใดเกี่ยวโยงกับสิ่งใดภายใต้สังคมที่เราอยู่ร่วมกัน หรือจะเป็นบทสนทนากับคู่รักคนสนิทก็ได้ มันก็ออกมาในรูปแบบบทความที่พูดถึงความสัมพันธ์ความรักความเข้าใจระหว่างคนสองคน หรือมันจะเป็นจินตนาการอะไรก็ได้เลย อย่างคนที่เขียนเรื่องแต่งพวกนิยาย อาจจะต้องใช้บทสนทนาหลายๆด้านเพื่อนำมาถ่ายทอด เพราะมันคือการเขียนชีวิต ชีวิตที่อยู่กับคนรอบข้าง ชีวิตที่อยู่ในสังคม มันก็จะเป็นเรื่องแต่งที่มีน้ำหนักให้ผู้อ่านเชื่อได้
“เข้าใจพิมพ์” คืออะไร
เข้าใจพิมพ์ เป็นชื่อที่ผมคิดเอาไว้ว่าหากผมจะพิมพ์หนังสือขาย ผมจะใช้เป็นชื่อสำนักพิมพ์ คือชื่อนี้มันมาจากความคิดที่ว่า ผมอยากจะทำหนังสือให้คนทั่วๆไป ใครก็ได้อ่านแล้วได้เข้าใจในสิ่งนั้นๆมากขึ้น อาจเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง มันก็จะออกมาในรูปแบบสารคดี หรือให้เข้าใจความคิดของคนใดคนหนึ่ง ซึ่งมันก็จะออกมาเป็นรูปแบบสัมภาษณ์ แล้วผมคิดว่าชื่อสำนักพิมพ์น่าจะเป็นชื่อที่กลางๆ มันจะพิมพ์หนังสือได้หลายแนว ซึ่งชื่อนี้มันก็ตอบโจทย์ตรงนั้นได้อีก แล้วพอเติมคำว่าพิมพ์เข้าไปข้างหลัง มันกลายเป็นได้อีกความหมายหนึ่งคือ สำนักพิมพ์นี้มันเข้าใจพิมพ์ คือมันช่างสรรหามาพิมพ์ คัดสรรมาพิมพ์ ความหมายดี ลงตัวครับ
แล้วทิศทางของ “เข้าใจพิมพ์” ในอนาคต?
คือตลอดเวลาที่ผมทำงานมันก็มีเงินเก็บประมาณหนึ่งครับไม่มากมายอะไร แต่ผมเห็นว่ามันก็แช่แข็งอยู่ในธนาคาร กลัวฝากธนาคารแล้วรวยน่ะครับ เลยเอามาทำหนังสือให้ขาดทุนเล่นดีกว่า ฮ่าๆ ล้อเล่นน่ะครับ คือรุ่นพี่ในวงการก็บอกก็เตือนครับแล้วผมเข้าใจว่าธุรกิจหนังสือมันยากที่คนตัวเล็กๆ สำนักพิมพ์เล็กๆจะมีที่ทางแข่งเท่ากับสำนักพิมพ์ใหญ่ๆ ก็ลองคิดดูสิครับ ร้านหนังสือที่เราเห็นๆกันใครเป็นเจ้าของ มันไม่ใช่รายย่อยอีกแล้ว เขาก็ต้องเอาหนังสือในสังกัดไม่ว่าจะที่เขาพิมพ์เอง หรือที่เขาจัดจำหน่าย ว่างเด่น ให้ผู้อ่านเลือกหยิบซื้อมากกว่า นั่นยังไม่เท่าว่าไม่มีที่ทางให้กับพวกวรรณกรรมหรือเรื่องสั้นอย่างที่ผมเขียนนี่เลย แล้วจริงๆผู้อ่านก็คงมีน้อยด้วยแหละครับ คือร้านพวกนี้เขาก็จัดร้านไปตามกลไกการตลาดแหละครับ หนังสือจำพวกไหนมีความต้องการมากก็เอามาลงร้านเยอะ อันนี้ถือว่ายึดผู้อ่านเป็นหลัก หรือว่าหนังสือพวกไหนที่ทางร้านต้องการดันให้ขายได้ก็เอามาจัดวางตรงจุดที่ลูกค้ามีโอกาสจะซื้อ อันนี้ก็เอาตัวร้านเป็นหลัก แล้วตรงไหนละครับที่เป็นทางของสำนักพิมพ์เล็กๆ
เข้าใจพิมพ์ นี่ผมตั้งใจจะพิมพ์งานอย่างหลากหลาย ไม่จำกัดว่าเป็นเรื่องแต่งหรือเรื่องจริง ผมยังถือว่าเป็นคนอ่านหนังสือน้อยมาก แต่จากประสบการณ์ที่ผมผ่านมา ผมอยากพิมพ์ นิทาน เพราะมันถือเป็นจุดเริ่มต้นการอ่านของผม ผมอยากพิมพ์เรื่องราวเกี่ยวกับการเกษตรกรรม ผมเคยได้เข้าไปทำงานด้านคุณภาพชีวิตเกษตรกร ก็ได้ติดต่อกับกรมส่งเสริมบ้าง กับมูลนิธิเกษตกรรมยั่งยืนบ้าง คือผมเห็นความน่าสนใจและความจำเป็นที่จะทำให้เนื้อหาพวกนั้นออกมาสู่วงกว้างมากขึ้น บวกกับตัวผมเองก็มีความสนใจทางด้านเกษตรกรรมอยู่ด้วยครับ ผมอยากพิมพ์บทสัมภาษณ์ที่ทำให้ผู้อ่านเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น คนเรามักฟังใครพูดไม่ได้นาน แต่การอ่านบทสัมภาษณ์นั้นทำให้เราเข้าใจความคิดเขาได้ มันก็อาจจะทำให้เรารับฟังกันมากขึ้นก็ได้ครับ คืออยากไปหมดเยอะแยะครับ แต่อย่างที่เพื่อนผมบอกแหละครับ ว่ามีแต่คนคิดอยากจะพิมพ์โน้นพิมพ์นี้ แต่ไม่คิดว่ามันจะขายได้ยังไง ผมคงเป็นหนึ่งในนั้น ตอนนี้มันอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมากครับว่า ความเป็นไปได้มันจะเป็นไปในทางไหน แต่ถ้าวันหนึ่งเห็นหนังสือของเข้าใจพิมพ์วางอยู่บนแผงก็อย่าลืมอุดหนุนนะครับ ฮ่าๆ
วางชีวิตทางการเขียนไว้อย่างไร?
ช่วงสี่ห้าปีที่แล้วผมเขียนเรื่องสั้นได้ปีละเรื่องสองเรื่อง แต่มาช่วงปีนี้ผมได้มาเป็นสมาชิกคณะพลเมืองเรื่องสั้น ซึ่งมันช่วยผมมากนะครับ เพราะมันทำให้ผมต้องเขียนเรื่องสั้นทุกเดือน เดือนละเรื่อง ตอนนี้ผมออกมาทำงานแบบรับเป็นชิ้นๆ ก็มีเวลาอ่านและเขียนงานมากขึ้นเลยตั้งใจเอาไว้ว่าจะเขียนให้ได้เดือนละสองเรื่อง แต่ต้องเป็นเรื่องที่ตัวเองพอใจด้วยนะครับ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ แต่ก็ตั้งโจทย์ให้ตัวเองไปแล้ว ส่วนระยะยาวผมก็คิดว่าจะต้องพัฒนาขึ้นไปเขียนนิยายให้ได้แหละครับ
คิดเห็นอย่างไรกับวรรณกรรมไทย?
วรรณกรรมถ้าพูดในความหมายกว้าง คือข้อเขียนหรือเรื่องแต่งอะไรต่างๆพวกนี้ของไทยมันมีเยอะนะครับ อย่างเวลาที่นักอ่านผู้ใหญ่พูดถึงวรรณกรรมมันก็เป็นเรื่องที่มันจริงจัง เรื่องระดับให้คุณค่ากับชีวิต เห็นสัจธรรม หรือพวกขึ้นหิ้งคลาสสิกอะไรแบบนั้น แต่วรรณกรรมที่เป็นที่นิยมในเด็กเขาจะเรียกกันว่า ฟิค มันมีเยอะนะครับ แต่ถ้าเรามาพูดถึงเรื่องเนื้อหาและคุณค่ามันก็ต้องแล้วแต่มุมมอง ฟิคมันก็อาจจะมีคุณค่าในมุมมองของเด็กแล้วเขาก็เอาเรื่องพวกนั้นมาทบทวนกับชีวิตของเขาเอง ผมมองว่าวงการวรรณกรรมไทยมันขาดช่วงต่อระหว่างของเก่ากับของใหม่ เด็กรุ่นใหม่เขาก็มีนักเขียนในรุ่นเขาที่เขียนงานออกมาให้คนรุ่นเขาอ่าน เขาไม่ได้สนใจนักอ่านรุ่นพ่อรุ่นแม่แล้ว งานที่คนรุ่นยี่สิบปลายขึ้นไปมองว่าคลาสสิกอาจจะถูกมองจากเด็กๆว่าเป็นงานที่ล้าสมัย แล้ววันหนึ่งวันที่เด็กที่โตมากับฟิคกลายเป็นผู้ใหญ่ วันนั้นฟิคจะกลายเป็นงานคลาสสิกก็ได้ถ้ามันมีเนื้อหาและคุณค่าพอ เพราะมันเป็นเรื่องในยุคสมัยของเขาและมันส่งผลต่อความคิดของเขา จริงๆช่วงต่อระหว่างของเก่าและของใหม่ของวรรณกรรมไทยอาจจะเป็นความรับผิดชอบของคนช่วงวัยผมก็ได้นะครับ คือเป็นกลางเก่ากลางใหม่ ไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ทั้งทางชีวิตและการเมืองอะไรมากเหมือนคนรุ่นก่อน คนรุ่นผมที่ต้องการการยอมรับจากทั้งคนรุ่นใหม่ก็ต้องผลิตงานแบบที่คนรุ่นใหม่ต้องการ และถ้าใจให้ถูกใจคนรุ่นก่อนก็คงไม่ต่างกัน ถ้าผลิตงานมารถชาติแปร่งๆ รุ่นใหม่ก็ไม่เอา รุ่นเก่าก็ส่ายหัว นี่แหละเป็นความผิดของคนรุ่นผมเอง เอ๊ะ! หรือของผมคนเดียว ฮ่าๆ
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://understandbooks.wordpress.com

