วรรณคดีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครั้งที่ 1

พบ มุมมองและการเปรียบเทียบ ทิศทางของวรรณคดีศึกษาที่สัมพันธ์กับความเป็นจริง
หลังจากหลักสูตรอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวรรณคดีและวรรณคดีเปรียบเทียบ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดสอนหลักสูตรมาตั้งแต่ปีการศึกษา 2546 และผลิตดุษฎีบัณฑิตมาแล้ว 14 คน เมื่อวันที่ 28-29 กรกฎาคม 2552
ผศ.ดร.ตรีศิลป์ บุญขจร ประธานหลักสูตรฯ จึงดำริจัดงานสัมมนาทางวิชาการระดับชาติ วรรณคดีและวรรณคดีเปรียบเทียบ ครั้งที่ 1 เพื่อเปิดโอกาสให้ดุษฎีบัณฑิตทั้ง 14 คนได้นำผลงานวิทยานิพนธ์ที่มีประโยชน์เสนอต่อสาธารณชน นอกจากนี้ ยังเชิญนักวิชาการต่างประเทศอีกส่วนหนึ่งมาร่วมสัมมนา เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองอีกด้วย
ในส่วนที่เป็นวรรณคดีเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นมีดุษฎีบัณฑิต 3 คนที่นำเสนอผลงานวิจัย ได้แก่ 1. ดร.ศานติ ภักดีคำ จากภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยานิพนธ์หัวข้อ 'ศาสตราแลบง : วัฒนธรรมทางวรรณศิลป์ พัฒนาการและความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมเขมร' 2. ดร.อารียา หุตินทะ ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร นำเสนอหัวข้อ 'แนวคิดเรื่องกุลสตรีในนวนิยายของนักเขียนสตรีเขมร' และ 3.ดร.บัวริน วังคีรี ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผลงานวิจัยหัวข้อ 'วรรณกรรมพื้นบานในชุมชนลาวหลวงพระบางกับบทบาทการสืบสานความเป็นลาวหลวงพระบางในบริบทสังคมไทย'
ดร.ศานติ ภักดีคำ ผู้ทำวิจัยหัวข้อ 'ศาสตราแลบง : วัฒนธรรมทางวรรณศิลป์ พัฒนาการและความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมเขมร' กล่าวว่า 'ศาสตราแลบง' เกิดจากคำว่า 'ศาสตรา' ซึ่งหมายถึงคัมภีร์ใบลาน เมื่อเอามาผสมกับคำว่า 'แลบง' (อ่านว่า ละ-แบง) ที่แปลว่า การละเล่น ศาสตราแลบงจึงมีฐานะเป็นวรรณกรรมพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหนังสือเพื่อความบันเทิงที่สอดแทรกหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา นำหลักธรรมของพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะแนวคิดเรื่องกรรมมาใช้เป็นแนวคิดหลักของเรื่อง 'ศาสตราแลบง' เกิดขึ้นในยุคกลางของกัมพูชาคือตั้งแต่ประมาณพุทธศตวรรษที่ 20-24 และเริ่มแต่งขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 23-25
ศาสตราแลบง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ ศาสตราแลบงที่มาจากวรรณกรรมชาดก ทั้งที่เป็นนิบาตชาดก (อรรถกถาชาดก) และชาดกนอกนิบาต ได้แก่ ปัญญาสชาดกและชาดกนอกนิบาตอื่นๆ อีกประเภทคือ ศาสตราแลบงที่มาจากนิทานพื้นบ้านและที่มาอื่น ประกอบด้วยศาสตราแลบงที่มาจากนิทานพื้นบ้าน, จากวรรณกรรมไทยและวรรณกรรมจีน จุดมุ่งหมายในการแต่งเพื่อต้องการให้พุทธศาสนายืนยาวถึง 5 พันปี นอกจากเนื้อเรื่องของศาสตราแลบงจะเป็นเรื่องหลักธรรมคำสอนซึ่งเป็นแนวคิดหลักแล้ว เนื้อเรื่องยังเน้นในเรื่องของการพลัดพรากกันของตัวพระและตัวนางในเรื่อง สะท้อนให้เห็นว่ากัมพูชาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 23-24 บ้านเมืองมีการจลาจล เปลี่ยนกษัตริย์กันบ่อย บ้านเมืองแตกแยก มีการแทรกแซงทั้งจากไทยและเวียดนาม
ยุคแรกมีการเผยแพร่ศาสตราแลบงโดยการสวดและใช้เป็นตำราเรียนในวัด คือ การศึกษาสมัยก่อนของกัมพูชาจะต้องมีการแบ่งระดับการศึกษาเป็นชั้นต่างๆ ชั้นเบื้องต้นเรียนอ่านเขียนก่อน เพื่อให้รู้ตัวหนังสือ หลังจากนั้นก็อ่านงานวรรณกรรมประเภทคำสั่งสอน แล้วจึงมาอ่านศาสตราแลบง แต่ว่าในเวลาต่อมาเมื่อกัมพูชาตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ทำให้ระบบการศึกษาในกัมพูชาเปลี่ยนไป จากเดิมเด็กได้เรียนอ่านในวัด ได้รู้สึกว่าศาสตราแลบงซึมซับอยู่ในวิถีชีวิต แต่ว่าในภายหลังบทบาทของวรรณกรรมประเภทนี้ก็ลดลง เพราะว่าในโรงเรียนไม่เอามาใช้มากนัก รวมทั้งลักษณะการเผยแพร่ก็ต่างไปจากเดิม สมัยก่อนศาสตราแลบงถูกจารลงบนใบลาน ต่อมาเมื่อมีการพิมพ์เกิดขึ้นในกัมพูชา ได้มีการนำเอาศาสตราแลบงเหล่านี้มาจัดพิมพ์โดยมีการตรวจชำระก่อนมาจัดพิมพ์ จากการสำรวจทำให้ทราบว่าปัจจุบันมีศาสตราแลบงเหลืออยู่ 60 เรื่อง ส่วนที่ไม่สามารถสำรวจพบได้หรือไม่ได้จัดพิมพ์เนื่องจากสูญหายไประหว่างสงครามเขมรแดง
ด้านรูปแบบคำประพันธ์ที่ใช้ในศาสตราแลบง ประกอบด้วย บทกากคติ บทพรหมคีติ บทพํโนล บทภุชงค์ลีลา และบทบนโทลกาก โดยทั่วไปแต่ละเรื่องนิยมใช้รูปแบบคำประพันธ์ปะปนกันไปตามความเหมาะสม และจากการวิจัยยังพบว่ามีรูปแบบคำประพันธ์ประเภทพากย์ 7 และบทพากย์ 8 ของกัมพูชาได้รับอิทธิพลจากบทประพันธ์ประเภทกลอนของไทย และกัมพูชานำรูปแบบคำประพันธ์ซึ่งรับมาจากไทยไปประพันธ์เรื่อง พระสมุทร เป็นเรื่องแรก
พัฒนาการของศาสตราแลบงแบ่งออกเป็น 4 ยุค ได้แก่ ยุคแรก : จากศาสตราแลบงสู่ศาสตราแลบง (พุทธศตวรรษที่ 23) เป็นยุคที่มีศาสตราแลบงมีความสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนา, ยุคที่สอง : ความบันเทิงควบคู่คติธรรม (ต้นพุทธศตวรรษที่ 24) กวีให้ความสำคัญกับหลักธรรมและความสนุกควบคู่กันไป, ยุคที่สาม : (ปลายพุทธศตวรรษที่ 24-ต้นพุทธศตวรรษที่ 25) จากชาดกสู่เรื่องประโลมโลกหรือจักรๆ วงศ์ๆ ยุคนี้เน้นความบันเทิงมากกว่าหลักธรรมคำสอน และยุคที่สี่ : (ปลายพุทธศตวรรษที่ 25) จากวรรณกรรมสำหรับสวดสู่วรรณกรรมสำหรับอ่าน จากเดิมอยู่ในใบลานและสวดเป็นทำนอง ก็นำมาพิมพ์กลายเป็นการอ่าน เนื้อเรื่องให้ความสำคัญกับความสนุกสนานเป็นหลัก ยุคนี้ถือได้ว่าเป็นยุคสุดท้ายของศาสตราแลบง
ปัจจุบันศาสตราแลบงมีความสัมพันธ์กับสื่อร่วมสมัยหลายอย่างของวัฒนธรรมกัมพูชา ได้แก่ 1.ความสัมพันธ์ของศาสตราแลบงกับนาฏศิลป์กัมพูชา โดยนำเรื่อง พระชินวงศ์, พระลักษณวงศ์, ทิพย์สังวาร ฯลฯ ที่ปรากฏในศาสตราแลบงมาจัดแสดง 2.ความสัมพันธ์ของศาสตราแลบงกับงานจิตรกรรม เช่น จิตรกรรมเรื่อง นางสิบสอง 3.ความสัมพันธ์ของศาสตราแลบงกับตำนานท้องถิ่นกัมพูชา และ 4.ความสัมพันธ์ของศาสตราแลบงกับสื่อร่วมสมัยต่างๆ เช่น หนังสือการ์ตูน คาราโอเกะ เป็นต้น และถึงแม้ว่าคนรุ่นใหม่จะซึมซับวรรณกรรมศาสตราแลบงน้อยลง แต่ชาวกัมพูชาก็ยังเรียนรู้และศาสตราแลบงยังเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเขมรอยู่
สำหรับ ดร.อารียา หุตินทะ นำเสนอหัวข้อ 'แนวคิดเรื่องกุลสตรีในนวนิยายของนักเขียนสตรีเขมร' เพื่อให้เห็นภาพของสตรีในอุดมคติของเขมรที่ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ รูปโฉมงดงาม กิริยามารยาทงดงาม จิตใจงดงาม แต่ในทางปฏิบัติแนวคิดกุลสตรีจะเป็นเครื่องมือในการควบคุมสตรีของเขมร เพื่อให้สตรีได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นมารดา ภรรยา และบุตรสาวที่ดี ซึ่งในที่สุดแล้วมีเป้าหมายเพื่อจรรโลงสถาบันครอบครัว และสตรีจะมีคุณค่าหรือไม่มีก็ต้องปฏิบัติตัวให้สอดคล้องกับแนวคิดนี้
ความหมายของแนวคิดกุลสตรีในสังคมเขมรสามารถสืบค้นได้จากวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์, จฺบาบ่สฺรีสำนวนหอสมุดแห่งชาติฝรั่งเศส, จฺบาบ่สฺรีสำนวนของพระองค์ด้วง, เรื่องแลบง และนิทานพื้นบ้าน โดยเนื้อหาของศาสนาเป็นแหล่งกำเนิดแนวคิดกุลสตรี แนวคิดเรื่องบุญกรรมของศาสนาพุทธจะเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้สถานภาพของสตรีต่ำกว่าบุรุษ โครงสร้างของศาสนาจัดสตรีไว้ต่ำกว่าบุรุษ เพราะว่าสตรีบวชเป็นพระไม่ได้ การสะสมบุญของสตรีเขมรคือการทำบุญเยอะๆ คือต้องปฏิบัติตนตามแนวคิดกุลสตรี แต่ภาพสตรีที่ปรากฏในนิทานพื้นบ้านหลายเรื่องของเขมรให้ความสำคัญแก่สตรีมากกว่าบุรุษ
นอกจากนี้สังคมยังสร้างความเป็นกุลสตรีผ่านพิธีกรรมเพื่อย้ำจิตสำนึกในการรักษาความเป็นกุลสตรีให้เข้มข้นขึ้น ได้แก่ 'พิธีเข้าร่ม' เป็นการกักตัวเด็กสาวที่เริ่มเข้าสู่วัยประจำเดือนเป็นครั้งแรกให้อยู่แต่ภายในบ้านเป็นเวลาประมาณหนึ่งปี เพื่อให้บิดามารดาอบรมบ่มเพาะความเป็นกุลสตรีเพื่อให้พร้อมในการมีสามี หลังจากนั้นก็เข้าสู่พิธีแต่งงาน สตรีเขมรที่เข้าสู่พิธีแต่งงานต้องทำพิธีทำฟันและพิธีขุดตำแยอีกสองพิธี โดยพิธีกรรมต่างๆ เหล่านี้เป็นตัวกำกับและกระทำซ้ำแนวคิดกุลสตรี
สังคมหลังสมัยเขมรแดงเป็นสังคมที่ขาดแคลนบุรุษมาก เพราะว่าคนที่รอดชีวิตเป็นหลักคือสตรี รัฐจึงต้องกระตุ้นสตรีให้เป็นผู้สร้างและฟื้นฟูชาติ แนวคิดกุลสตรีจึงเป็นเครื่องยืนยันอัตลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของความเป็นเขมรแท้ ซึ่งไปปรากฏอยู่ในนวนิยายของ เมา สำณาง และปัล วัณณารีรักษ์
แนวคิดกุลสตรีในนวนิยายของ เมา สำณาง เป็นแนวคิดกุลสตรีนิยมตามแนวขนบ ดังปรากฏอยู่ในนวนิยาย (ชื่อนวนิยายแปลกจากภาษาเขมรเป็นไทยแล้ว) พวงมาลัยดอกมะลิ, กุหลาบดำ และคลื่นซัดทราย เป็นต้น ในงานของเธอความเป็นเขมรต้องเป็นกุลสตรีเท่านั้น
สิ่งที่ชี้ชัดของความเป็นกุลสตรีหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพรหมจารีของสตรีเสมอ พรหมจารีเป็นเครื่องยืนยันความเป็นนางเอกหรือเป็นลูกสาวชาวเขมรแท้ คือนางเอกต้องไม่เคยเสียความบริสุทธิ์มาก่อน หรือถ้าเสียต้องเสียกับพระเอกชาวเขมรเท่านั้น พรหมจารีจึงถือเป็นดินแดนของเขมรซึ่งไม่อาจให้ใครรุกรานหรือครอบครองได้นอกจากสายเลือดเขมรที่บริสุทธิ์เหมือนกัน งานของเมายังมีพล็อตเรื่องตัวจริงตัวปลอม และเมื่อมองงานเขียนของเธอในส่วนลึกแล้ว นวนิยายของเมาทุกเรื่องจะตีแผ่ความปรารถนาในส่วนลึกของจิตใจคนเขมรที่ต้องการเยียวยาความเป็นอยู่ของชนชาติตนเอง การอ่านนวนิยายของเธอจึงช่วยปลอบประโลมจิตใจให้คลายทุกข์จากชีวิตประจำวันได้
ส่วน ปัล วัณณารีรักษ์ ชีวิตของเธอเกิดในครอบครัวที่อบอุ่น บิดาเป็นทหารในสมัยสมเด็จพระสีหนุ สำเร็จชั้นมัธยมศึกษา สูญเสียครอบครัวไปช่วงเขมรแดง ถูกบังคับให้แต่งงานในสมัยเขมรแดง แล้วก็ประสบปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัวมาโดยตลอด จึงตัดสินใจหย่าขาดจากสามีในปี 1990 ดำรงตนเป็นหญิงหม้ายซึ่งสังคมเขมรไม่ยอมรับ นักเขียนคนนี้ประกาศตนอย่างภาคภูมิใจและอาจจะเป็นคนแรกในทศวรรษนั้นที่หย่ากับสามี
บทบาทของตัวเอกหญิงในนวนิยายของปัลในช่วงแรก สตรีจะเข้าไปมีส่วนร่วมในภาคส่วนต่างๆ ของสังคมในองค์กรของรัฐหรืองานที่เคยเป็นพื้นที่ของบุรุษ เช่น นวนิยายเรื่อง คืนแรมพ้นไปแล้ว และขอบฟ้าใหม่แห่งความหวัง เป็นการให้กำเนิดภาพกุลสตรีแนวรัฐนิยมซึ่งตอบสนองแนวนโยบายของรัฐบาล กุลสตรีแนวรัฐนิยมคือสตรีที่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสตรีเขมรอย่างไม่บกพร่อง เป็นกำลังสำคัญของรัฐในการปกป้องบ้านเมืองจากศัตรู (คือกลุ่มเขมรแดง) และช่วยพัฒนาชาติให้ฟื้นตัวจากความย่อยยับที่เกิดจากการทำลายของกลุ่มเขมรแดง
นวนิยายของปัลในช่วงที่สองจนถึงปัจจุบัน บทบาทของสตรีในนวนิยายจะเป็นผู้ที่อุทิศตนเพื่อผู้อื่นและเป้าหมายในการอุทิศตนจะเปลี่ยนไปตามการคลี่คลายของสังคม เช่น ช่วงทศวรรษที่ 90 นางเอกของเธอต้องเสียสละเพื่อสังคม ต่อมาปัลแสดงออกในงานเขียนของเธอเพื่อต่อรองเรื่องค่านิยมของสตรีหม้ายและพรหมจารีโดยการมองว่าการรังเกียจสตรีหม้ายและให้คุณค่ากับพรหมจารีเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะว่าสตรีก็เป็นมนุษย์ที่มีคุณค่าในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่มีความคิดของตนเอง การต่อรองนี้ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนที่ประสบความสำเร็จคือการใช้การศึกษาเป็นเครื่องต่อรองแนวคิดกุลสตรี ตัวสตรีในนวนิยายของปัลจึงได้รับการศึกษาทัดเทียมกับบุรุษ การศึกษาเปิดโอกาสให้สตรีเข้ามามีบทบาทในพื้นที่ต่างๆ นอกจากพื้นที่ในครัวเรือน และทำให้สตรีมีศักยภาพในการตัดสินชีวิตของตัวเอง ซึ่งก่อนหน้านั้นขึ้นอยู่กับสามี บิดา และบุตรชาย
ความหมายร่วมของนักเขียนเขมรสตรีทั้งสองเรื่องแนวคิดกุลสตรี คือ 1.แนวคิดกุลสตรีเป็นสิ่งที่ยืนยันอัตลักษณ์ของสตรีเขมรและชนชาติเขมร 2.ความเป็นกุลสตรีเป็นสิ่งสำคัญเพราะหมายถึงการอยู่รอดของสังคมเขมรทั้งในทางกายภาพและในทางอารมณ์ความรู้สึก 3.เป็นสะพานเชื่อมโยงความรู้สึกของชาวเขมร ส่วนความแตกต่างในการนำเสนอแนวคิดกุลสตรีในนวนิยายของนักเขียนทั้งสองคือการนำเสนอแนวคิดกุลสตรีในนวนิยายของ 'เมา สำณาง' มีลักษณะของการรื้อฟื้นอดีตอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่งานของ 'ปัล วัณณารีรักษ์' มีลักษณะของการปรับเปลี่ยนภาพกุลสตรีไปตามความเปลี่ยนแปลงของสังคม
นวนิยายของปัลกระทำตนเป็นกระบอกเสียงของรัฐตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1980 แนวคิดกุลสตรีเป็นสิ่งที่ทรงอิทธิพลในการกำกับควบคุมสตรีในสังคมเขมร จึงเห็นได้ว่านักเขียนซึ่งเป็นสตรียังผลิตซ้ำแนวคิดกุลสตรีเพื่อกลับมาควบคุมสตรีด้วยกัน
ส่วน 'วรรณกรรมพื้นบ้านในชุมชนลาวหลวงพระบางกับบทบาทการสืบสานความเป็นลาวหลวงพระบางในบริบทสังคมไทย' นำเสนอโดย ดร.บัวริน วังคีรี วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อรวบรวมวรรณกรรมพื้นบ้านในชุมชนลาวหลวงพระบางทั้งประเภทมุขปาฐะและลายลักษณ์ในอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และอำเภอหล่มเก่า อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ และจำแนกและวิเคราะห์วรรณกรรมด้านองค์ประกอบของวรรณกรรม รวมทั้งเพื่อศึกษาบทบาทของวรรณกรรมพื้นบ้านดังกล่าวในการสืบสานและสร้างอัตลักษณ์ของลาวหลวงพระบางซึ่งอพยพมาจากเมืองหลวงพระบาง ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เข้ามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่วิจัยเป็นเวลากว่า 200 ปี
ดร.บัวริน เก็บรวบรวมวรรณกรรมมุขปาฐะได้จำนวน 239 เรื่องและวรรณกรรมลายลักษณ์ที่เป็นต้นฉบับตัวเขียนจำนวน 22 เรื่อง โดยเก็บข้อมูลทั้งในไทยและเดินทางไปเก็บข้อมูลวรรณกรรมมุขปาฐะที่แขวงหลวงพระบาง ผลการวิจัยสรุปได้ว่าชาวลาวหลวงพระบางในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังคงรักษามรดกทางวัฒนธรรมของตนไว้ โดยแสดงให้เห็นผ่านการรับรู้วรรณกรรมมุขปาฐะที่เป็นเรื่องเล่าร่วมกันของกลุ่มชน ส่วนใหญ่เป็นตำนานปรัมปราเกี่ยวกับการสร้างโลกและจักรวาล เช่น ตำนานแถนสร้างโลก, ตำนานเครือเขากาด, ตำนานปู่สังกะสาย่าสังกะสี, ตำนานกบกินเดือน เป็นต้น ในขณะเดียวกันก็ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมทางสังคมวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และการเมือง จึงสร้างสรรค์วรรณกรรมมุขปาฐะและลายลักษณ์ขึ้นใหม่เพื่อสร้างอัตลักษณ์ของตน วรรณกรรมจึงไม่เพียงแต่มีบทบาทในฐานะเป็นเครื่องหล่อหลอมโลกทัศน์วิธีคิดและวิถีชีวิต หากยังมีบทบาทในการสร้างอัตลักษณ์ลาวหลวงพระบางในประเทศ
อัตลักษณ์ลาวหลวงพระบางในประเทศไทยมีลักษณะพลวัต โดยแบ่งได้เป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงแรก : เป็นช่วงของการตั้งถิ่นฐาน วรรณกรรมมีบทบาทในการสร้างจิตสำนึกประวัติศาสตร์, ช่วงที่สอง : วรรณกรรมมีบทบาทในการสร้างสำนึกตอบโต้อำนาจรัฐไทย และช่วงที่สาม : เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากวาทกรรมสร้างชาติไทย และวาทกรรมการพัฒนาที่ครอบงำอย่างเป็นระบบ ส่งผลให้ชาวลาวหลวงพระบางปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ให้สอดคล้องกับความเป็นไทย เพื่อเลื่อนสภาพทางสังคมและการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ในฐานะพลเมืองไทยโดยการผนวกรวมความเป็นไทยกับความเป็นลาวเข้าด้วยกัน และนิยามตนเองเป็น 'ชาวไทยเชื้อสายหลวงพระบาง' อัตลักษณ์ของชาวลาวหลวงพระบางในไทยจึงมีความเลื่อนไหล และเลือกแสดงอัตลักษณ์ของตนได้หลากหลายในสังคมไทย ซึ่งขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์เชิงอำนาจและผลประโยชน์ของตน
ผศ.ดร.ตรีศิลป์ บุญขจร กล่าวสรุปการสัมมนาทั้งสองวันว่า "จากสองวันที่หลักสูตรได้นำเสนอวิทยานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต สาขาวรรณคดีเปรียบเทียบ จะเห็นว่าการศึกษาวรรณคดีนั้นไม่ใช่การศึกษาในเชิงสุนทรียศาสตร์อีกต่อไป แต่เป็นการศึกษาวิจัยวรรณคดีเพื่อวิเคราะห์วรรณคดีในฐานะที่เป็นตัวบททางวัฒนธรรม และไม่ได้ศึกษาในลักษณะที่เป็นศาสตร์เดี่ยวๆ แต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการศึกษาในลักษณะสหวิทยาการ โดยเฉพาะการใช้บริบททางสังคมมาช่วยอธิบายตัวบทให้มากขึ้น
สามารถสรุปได้ว่า…
1.วรรณคดีเป็นตัวบททางวัฒนธรรม
2.วรรณคดีประกอบสร้างอัตลักษณ์
3.วรรณคดีสร้างความเป็นสากล
4.วรรณคดีทำให้เกิดการใช้ทฤษฎีที่พยายามจะให้เป็น ให้รู้จักใช้ทฤษฎีและไม่ตกเป็นทาสของทฤษฎี
5.วรรณคดีทำให้เข้าใจความเป็นอื่น และประเด็นสุดท้ายคือวรรณคดีทำให้เข้าใจมนุษย์ สังคมและเข้าใจตัวเอง ความรุ่มรวยในวรรณคดีจะทำให้เด็กรักการอ่านและในที่สุดก็รักในภาษาที่ได้ประกอบสร้างภาษาเป็นสัญญะ ซึ่งหลอมรวมมาเป็นตัวบท นั่นคือแหล่งรวมความเป็นมนุษย์เป็นอย่างดี ภาษาเป็นเรื่องของชีวิต วรรณคดีศึกษาก็เป็นเรื่องของชีวิต วรรณคดีไม่สามารถตัดออกจากชีวิต สังคม และวัฒนธรรมได้
นี่คือทิศทางของวรรณคดีศึกษาที่สัมพันธ์กับความเป็นจริงและทำให้วรรณคดีไม่ตาย อีกทั้งยังมีชีวิตและความสนุกสนาน"
นงค์ลักษณ์ เหล่าวอ : รายงาน
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ