Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

วรรณกรรมไม่อาจแยกตัวออกจากชีวิตและสังคม

 

 
 …ถ้าจะว่าไปแล้วความคิดในการเขียนหนังสือเริ่มต้นขึ้นตอนที่ผมยังอยู่ในวัยเด็ก ซึ่งได้เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ รับรู้ปัญหา เห็นความแตกต่างห่างไกลระหว่างกรุงเทพฯ กับอีสานแล้ว ห้วงเวลาหนึ่งผมกลับออกไปทำงานเป็นเซลส์แมนขายจักรเย็บผ้าเงินผ่อน ต้องเร่รอนไปตามหมู่บ้านต่างๆมีโอกาสเก็บสิ่งเล็กสิ่งน้อยที่ได้พบเห็นใส่พกใส่ห่อ ไว้เพื่อประโยชน์ในการเขียนหนังสือ วันหนึ่งช่วงที่อยู่ข่อนแก่น ผมได้เห็นรถไฟขบวนพิเศษ หัวจักรดีเซล (สมัยโน้นรถไฟส่วนใหญ่ใช้จักรไอน้ำ) ผมขี่จักรยานผ่านไป ตั้ง ใจจะข้ามไปอีกฟาก ได้เห็นบรรดาข้าราชการมาออกันอยู่มากมาย ปรากฏว่ารถขบวนนั้น นายกรัฐมนตรี (พจน์ สาระสิน)จะนำของขวัญสำคัญจากมิตรประเทศไปมอบให้ ้ประชาชนผมยืนเฝ้ารอด้วยความทรมานอยากข้ามก็ข่ามไม่ได้ ทราบว่าขอบขวัญในวันนั้นที่ท่านนายกฯ นำไปมอบเป็น "โคพ่อพันธุ์"คงจะมอบให้กับสถานนีบำรุงพันธุ์สัตว์ ผมจิตนาการสนุกๆ ต่อเอาว่า วันนี้เขาเอาพ่อวัวมามอบให้ ต่อไปเขาก็คงส่งพ่อพันธุ์มาให้อีก นั้นเป็นประสบการณ์เก็บตกและผมก็ได้ "ฅนพันธุ์" เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกอย่าง ไรก็ตามผมอยากบอกว่า "ฟ้าบ่กั้น" เป็นงานของเด็กหนุ่ม ผมเขียนเมื่อราวๆ อายุ ๒๔-๒๕ ปี หากเป็นวันนี้คงไม่เขียนอย่างนั้น
 
     …เกี่ยวกับเรื่อง "อุบัติโหด" ที่คุณประมวล มณีโรจน์ถามเป็นเชิงสังเกตว่า เป็นเรื่องที่ออกมองโลกในแง่ร้าย ผมก็ขอตอบว่า ผมเขียนเรื่องนั้นตามความเชื่อที่ว่า ธรรมชาติของฅนโดยทั่วไป แม้หน้าตาจะสะสวย ยิ้มแย้ม เบิกบาน แต่ในมุมหนึ่งของหัวใจ มีเสือแอบซ่อนอยู่ มันอาจจะเชื่อง เจ้าของไปไหนมันก็จะไปด้วย ไม่หนีหายไปไหน เมื่อได้โอกาส มันจะแสดงตัวออกมา ผมรู้สึกว่าธรรมชาติของฅนเป็นแบบนี้ เรื่องนี้ผมถูกมองว่ามองโลกในแง่ร้ายมานาน กระทั่งเมื่อไม่กี่ปีก่อน จึงมีเสียงชมว่าเขียนได้ดี เมื่อเครื่องบินเลาดาแอร์ตกที่อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี ว่ากันว่าตลอดหัวค่ำคืนนั้นผู้ฅนแทบจะทั้งตำบลต่างกระหืดกระหอบแย่งกันเพื่อจะเข้าถึงจุดซึ่งเครื่องบนตก ชาวบ้านก็คงจะแห่กันไปด้วยจุดประสงค์เดียวกันกับพวกชาวบ้านในเรื่องอุบัติโหดแห่กันไปที่ซากรถคว่ำข้างทาง ปรากฏการณ์นั้น ในความคิดของผม คือขบวนของเสือ ที่แอบซ่อนอยู่ในหัวใจมนุษย์ เรื่องอุบัติโหดที่ผมเขียนไม่ใช่เรื่องจริงอย่างแน่นอน แต่ผมก็อยากเข้าข้างตัวเองว่า เรื่องราวทั้งหมดเป็น "ความจริง" ที่ดำรงอยู่ในสังคมไทย
 
     อย่างไรก็ตาม ผมขอให้พวกเราได้สังเกตด้วยว่า เรื่องทำนองนี้ผมเขียนมาแล้วหลายเรื่อง บางเรื่องโฉบเฉี่ยวเฉียดจุดอันรายเต็มที ที่มันรอดปากแร้งปากกามาได้ผมเอง
ยกประโยชน์ให้กับศิลปะ
 
     …งานวรรณศิลป์นั้น ตามความคิดของผม ถึงจะเล่นลึกในแก่นความคิด หรืออะไรก็ตาม แต่จะทิ้งศิลปะไม่ได้ ผมเองเคยปรารภกับธัญญา (ไพฑูรย์ ธัญญา) ว่า นักเขียน เราจะวิพากษ์ จะสับ จะอัด หรือชำแหละสังคมอย่างไร จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลับปากกาให้คม ถ้าเป็นไปได้ก็ให้คมถึงขนาดที่สิ่งที่ถูกวิพากษ์ไม่รู้สึกตัวคมเหมือนใบมีด ที่สามารถโกนผมโดยที่แม้หัวขี้กรากก็ไม่อาจรู้สึกตัวว่าถูกกร้อนผม ถ้างานคมพอ ผลลัพธ์ย่อมตามมา
 
     …(ผู้เข้าฟังถามถึงสถานะของวรรณกรรมเพื่อชีวิตในปัจจุบัน) คิดว่าวรรณกรรมไม่อาจแยกตัวออกจากชีวิตและสังคมได้ เพราะแกนหลักของวรรณกรรมล้วนเก็บมาจากชีวิตอันหลากหลายด้วยเหตุนี้ งานวรรณกรรมจึงเป็นเสมือนเงาที่สะท้อนภาพชีวิตและวิญญาณของสังคม 
 
     ในยุคสมัยที่ดูเหมือนว่า ฅนเราแล้งน้ำใจลงเป็นลำดับนี้ ผมเองยังไม่เชื่อในมโนธรรมของผู้ประกอบงานศิลปะว่ายังคงดำรงอยู่ไม่มีใครสามารถหลับตาให้กับความชั่วร้ายที่มองเห็นได้อย่างเต็มตา เพียงเหลือบชำเลืองหน้าหนังสือพิมพ์แต่ละเช้า ทุกฅนคงรับรู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในบ้านเมืองและสังคมของเรา ผมเองเชื่อในมโนธรรมและจิตสำนึกของนักเขียน ผมจึงเชื่อว่าวรรณกรรมเพื่อชีวิตที่ถึงพร้อมวรรณศิลป์ จะยังคงมีความหมายในโลกวรรณกรรมของไทย…
 
 นิตยสาร WRITER Magazine ปีที่ ๔ ฉบับที่๔๗ เมษายน ๒๕๔๐