Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

วรรณกรรมหายไปไหน?(ในร้านหนังสือ) หาคำตอบจาก เวียง- วชิระ บัวสนธ์

 

 
 
     สามัญชน คือนามของสำนักพิมพ์เล็ก ๆ สำนักหนึ่ง ที่กล่าวได้ว่า แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่นักอ่านวรรณกรรมในช่วงเวลา 10 กว่าปีมานี้จะไม่รู้จัก 
ด้วยผลงานวรรณกรรมอันหลายหลาก ทั้งของนักเขียนไทยและงานที่แปลจากภาษาอื่นได้รับการเสนออย่างเป็นปึกแผ่น จนกระทั่งช่วงเวลาหนึ่ง หากเดินเข้าร้านหนังสือที่ใดก็ได้ในประเทศนี้ จะต้องเห็นหนังสือของสำนักพิมพ์สามัญชนวางเรียงเป็นแผง ครอบครองพื้นที่, บางครั้งมากกว่าครึ่ง, ของชั้นหนังสือหมวดหมู่วรรณกรรมของร้านหนังสือนั้น ๆ 
     นั่นเป็นช่วงเวลาที่หนังสือวรรณกรรมยังมีที่ยืนอย่างมั่นคงอยู่ในร้านหนังสือ ก่อนที่ตลาดหนังสือเล่มจะขยายตัวอย่างรวดเร็วในเวลาไม่ถึงห้าปี เวลาห้าปีที่ความแปรเปลี่ยนหลากไหล พลิกผันวงการหนังสือให้เป็นอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน จากแถวหนังสือที่เคยตระหง่านอยู่บนชั้นวรรณกรรม บัดนี้ ถอยร่นไปอยู่ในซอกหลืบมุมใดมุมหนึ่งของร้านหนังสือ ชั้นวรรณกรรมบนร้านหนังสือบัดนี้ถูกครอบครองโดยหนังสือที่แปลกหน้าแปลกตาสำหรับนักอ่านวรรณกรรม หนังสือหลายเล่มที่นักอ่านสงสัยต่อความหมายเมื่อวางอยู่ภายใต้ป้ายเหนือชั้นที่กำกับไว้ด้วยคำว่า “วรรณกรรม” และร้านหนังสือหลายร้านที่ไม่ปรากฏป้ายบอกชื่อหมวด “วรรณกรรม” อีกต่อไป 
     เมื่อเกือบสามสิบปีก่อน ลูกชายเจ้าของโรงสีแถวพิษณุโลกชื่อ วชิระ บัวสนธ์ เป็นเด็กนักเรียนชั้นมัธยมปลายของโรงเรียนพิษณุโลกวิทยาคม เป็นนักโดดเรียนอาชีพต่อเนื่องยาวนานตลอดระยะเวลา 8 ปีที่เรียนเกินกำหนดหลักสูตร กระทั่งในช่วงท้ายของการศึกษาพลพรรคโดดเรียนต่างเบื่อหน่ายการตีรันฟันแทง และสายตาสอดส่ายของสารวัตรนักเรียนหน้าโรงหนัง จึงพากันลดจำนวนลงจนความสนุกเริ่มโบกโบยจาก เด็กชายวชิระจึงพาร่างกายผอมเก้งก้างเข้าไปหลบอยู่ใต้โต๊ะห้องสมุดของโรงเรียน ผจญภัยในความฝันแทนมือตีนของศัตรูคู่อริ หรือภาพเงาวับแวมในโรงหนัง 
     ครั้นวันหนึ่งหนังสือหล่นใส่ คล้ายลูกมะพร้าวร่วงลงหัวกระต่าย วชิระจึงตื่นมองเห็นหลังเต่าแห่งปัญญาอยู่ไว ๆ กระโดดโลดโผนไปในโลกของกระดาษสี่เหลี่ยมบรรจุอักขระแน่นทะนาน นั่นคือการท่องโลกแห่งการอ่านของเด็กชายในยุคหลังสงครามเวียดนาม ท่ามกลางสงครามกลางเมือง ในบรรยากาศทหารกระโดดตบบ้องหูนักศึกษาในเมืองพิษณุโลก 
     วชิระอ่านหนังสือจนมือสั่น ครั้นจะหาวิธีหยุดจึงได้จดหมายไปหา วิมล ไทรนิ่มนวล นักเขียนหนุ่มผู้กุมบังเหียนนิตยสารชื่อ ‘อิมเมจ’ ในเวลานั้น การขอทำงานครั้งแรกไม่ประสบผล แต่ต่อมาวชิระก็ได้เป็นโต้โผทำหนังสือ วรรณกรรมรุ่นเยาว์ชื่อ ‘อาณาจักรวรรณกรรม’ 
     อีกหนหนึ่งกองบรรณาธิการ ถนนหนังสือ ยกขบวนมาสำรวจบ้านเก่านักเขียนสาวศรีดาวเรือง อันบังเอิญว่าอยู่เขตเมืองพิษณุโลกของหนุ่มวชิระ หนุ่มน้อยจึงอาสาพาร่างผอมเก้งก้างนำทางในฐานะเจ้าถิ่น นั่นคือการได้พบกับเรืองเดช จันทรคีรี หัวหน้าในอนาคต 
     หนุ่มน้อยวชิระผู้หลงรักวงดนตรีคาราวานและเกลียดทหารเข้าไส้ ในที่สุดก็ถึงวัยเกณฑ์ทหาร แต่เป็นทหารได้ไม่นานก็หนีมาเรียนรามแล้วจับพลัดจับผลูไปดูปรู๊ฟให้หนังสือของ ส. ศิวรักษ์ หลังตรวจปรู๊ฟสำเร็จ อาจารย์ ส. ดูเสร็จ เรียกเข้าไปหาในห้องตามลำพัง หนุ่มวชิระยืนตัวสั่นงันงกอยู่หน้าเสาหลักทางปัญญา ก่อนจะรับไวน์หนึ่งขวดเดินกลับมาโดยมิรู้ต้นสายปลายเหตุ 
     ปี 2530 สัญญาณแห่งวิชาชีพส่งเสียงเรียกร้อง วชิระ บัวสนธ์ ประจำกองบรรณาธิการถนนหนังสือแทนที่จำลอง ฝั่งชลจิต หลังจากนั้นถนนหนังสือของวชิระก็ทอดตัวมาสู่การทำสำนักพิมพ์ในที่สุด 
     ดูแลสำนักพิมพ์กำแพงของบริษัท เคล็ดไทย พิมพ์งานวรรณกรรม เสกสรรค์ –จำลอง-หงา-ฟ้าบ่กั้น รวมถึงสำนักพิมพ์รวมทรรศน์ นิตยสารชีวิตต้องสู้ เป็นทั้งบรรณาธิการและผู้จัดการฝ่ายผลิต วนเวียนทั้งงานผลิตและบริหารหนังสือ กระทั่งลูกชายคนแรกไม่อนุญาตให้พ่อทำตัวเป็นเรือพายต่อไป จึงต้องลาออกจากงานมาอยู่บ้านเลี้ยงลูก สำนักพิมพ์นาม สามัญชน จึงถือกำเนิด ขึ้นพร้อมนมขวดแรกที่ป้อนใส่ปากลูก มือซ้ายอุ้มลูก มือขวาตรวจต้นฉบับ ขนำน้อยกลางทุ่งนา ของนักเขียนหนุ่มมาแรง จำลอง ฝั่งชลจิตร คือผลงานเล่มแรกของสำนักพิมพ์ หากใครมีฉบับพิมพ์ครั้งแรกเก็บสะสมไว้โปรดสังเกตที่มุมซ้ายล่างของหนังสือ จะเห็นหยดขาวขุ่นข้น หาใช่น้ำกาวที่ไสกระเซ็น หากแต่เป็นน้ำนมที่กระเด็นจากขวดในอีกมือที่ถือป้อนลูก 
     นับจากนั้นจนถึงวันนี้ 15 ปีผ่านไป มือซ้ายเคยอุ้มลูกกลับมาจับเหล้า (Black ลิตร only) แต่มือขวายังคงตรวจต้นฉบับไม่หยุดหย่อน 
นักอ่านวรรณกรรมผู้มีคำถาม ‘ในร้านหนังสือ วรรณกรรม หายไป ไหน’ อ่านย่อหน้าต่อไป คือสารภาพสาระแห่ง 15 ปี ของคนทำหนังสือ ธรรมดาตราสามัญชน 
 
     “ไม่ใช่แค่ปัจจุบัน มันต้องพูดถึง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดวรรณกรรม หรือหนังสือวรรณกรรมมันแทบไม่มีคนรู้จักอีกแล้ว มันถูกทำลา ด้วยอะไรบางอย่าง พูดง่าย ๆ ว่าสถานะของหนังสือวรรณกรรมใ ความหมายที่เอาจริงเอาจังทางปัญญา มันแทบไม่มีอยู่… 
     “แน่นอน ถ้าเรายึดพื้นที่หน้าร้านเป็นตัวตั้ง มันไม่ควรแปลกใจ มันเป็นอย่างที่เป็นอยู่น่ะถูกต้องแล้ว เพราะเนื่องจากหน้าร้านมันเน้นไปที่การขายหนังสือที่มันขายเร็ว หรือหนังสือที่ขายดีเป็นหลัก” 
 
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เกิน 5 ปี? 
     โดยชัด ๆ ก็ประมาณสัก 5 ปี แต่ที่มันสะสมมันส่งสัญญาณมาก่อนหน้านี้ มันก็ นานแล้วนะ 
     ถ้าเอาในยุคที่ผมทำ เฉพาะตัวสามัญชนเองประมาณสัก 15 ปี ช่วง 5 ปีแรกนี่คนยังสนใจงานวรรณกรรม ถึงแม้มันจะไม่ใช่ยุคเฟื่องฟูจริง ๆ แต่อย่างน้อยที่สุด พื้นที่หน้าร้านก็ให้ความสำคัญ ถ้าให้มองว่าหนังสือวรรณกรรมถูกลดทอนความสำคัญลงในฐานะของการอ่าน มันอาจจะหลายส่วนที่เป็นสาเหตุ หนึ่ง ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้วว่า สถาบันทางวรรณกรรมหรือองค์กรทางวรรณกรรม โดยผิวเผินดูเหมือนจะเป็นอย่างที่อ้างกันว่าช่วยให้เกิดความคึกคัก แต่ว่าอีกขั้วหนึ่ง มันเท่ากับทำให้เกิดกระแสชี้นำว่าปีหนึ่งต้องอ่านหนังสือแค่เล่มเดียว อันนี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนรู้สึกว่า เฮ้ย ในเมื่อมีองค์กรหรือสถาบันทางวรรณกรรมที่มาให้การรับรองหรือยกย่องว่าหนังสือที่ดีเด่นที่สุดในรอบ 3 ปีของแต่ละประเภทว่าคือเล่มไหน เพราะฉะนั้นเขาก็ไม่อ่านเล่มอื่น นี่คือมองภาพใหญ่ อีกส่วนหนึ่งก็คือว่า ไอ้ปรากฏการณ์ของหนังสือขายดี อย่างกรณีของหนังสือกระแส ไม่ว่าจะออกมาจากระดับไหนของสังคม ไม่ว่าจะเจ้า -ไพร่ – พ่อค้า – นายทหาร เหล่านี้ล้วนมีส่วน เพราะว่ามันทำให้คนปกติที่ไม่อ่านหนังสือ หรือถ้าอ่านก็ไม่ได้อ่านเพราะสนใจว่าหนังสือมันก่อให้เกิดสติปัญญา ต่อยอดออกดอกทางความคิดอะไร คนเหล่านี้ซื้อหนังสือในฐานะที่ดูเหมือนว่าเป็นของที่ระลึก เป็นสินค้า หรือว่าเป็นอุปกรณ์ เป็นอะไรสักอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าฉันยังสนใจหนังสือ ฉะนั้นหนังสือที่ทำให้คนมีพฤติกรรมซื้อแบบนี้ก็มีผลมาก อย่างน้อยถ้ามองในแง่ของธุรกิจหนังสือเล่ม หรือในแง่ตลาด มันก็กินตลาดไปปีหนึ่งมหาศาลนะ แล้วที่ชัดกว่านั้นก็คือ พอมันถูกสมทบด้วยหนังสือขายดีที่เป็นผลจากกระแสโลกาภิวัฒน์ พวกนี้ก็ยิ่งทำให้เกิดกระแสการอ่านในอีกลักษณะ 
 
มันไม่ช่วยกระตุ้นตลาดหรอกหรือ 
     มันช่วยกระตุ้นธุรกิจหนังสือเล่ม ในแง่ของนักลงทุนที่จะมาลงทุนทำธุรกิจด้านนี้ แต่ว่ามันไม่กระตุ้นให้เกิดบรรยากาศของการอ่านวรรณกรรมอย่างต่อเนื่องจริงจัง หนำซ้ำมันไปทำลาย มันจะกระทำในลักษณะเดียวกับการชี้นำของสถาบันรางวัล เพราะถ้าเราสังเกต เราจะพบว่า เฮ้ย โอกาสของหนังสือวรรณกรรม โดยภาพลวงก็คือว่ามันมีอยู่แค่ปีละเล่ม ขณะที่งานใหม่ ๆ เราแทบไม่เห็นเลยว่าจะมีงานของนักเขียนคนไหนที่ได้รับโอกาสให้เติบโตขึ้นมา นี่ยังจะต้องพูดต่อไปว่าการวิพากษ์วิจารณ์ก็มีผลนะ เราจะพบว่าไม่มีบรรยากาศการวิจารณ์วรรณกรรมที่กระตุ้นให้คนมาถกเถียง มาสนใจใฝ่รู้ คือบรรยากาศทางวรรณกรรมในแง่ของการวิพากษ์วิจารณ์มันก็อ่อนด้อยถอยลง ก่อนหน้านี้ เราไม่ต้องไปพูดถึงยุคที่มันไกลถึง 14 ตุลานะ เอาแค่ประมาณปี 2520 กว่า ๆ บทบาทของโลกหนังสือ (นิตยสารโลกหนังสือ) ที่พี่สุชาติ (สวัสดิ์ศรี) ทำนี่ ให้ความใส่ใจกับการวิพากษ์วิจารณ์วรรณกรรมอย่างจริงจัง ไม่ได้หมายถึงผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อนะ แต่มันกระตุ้นให้เกิดการตรวจสอบว่า เอ้อ นักวิจารณ์คน นี้ว่าอย่างนี้ มันจริงหรือไม่ และก็มีการนำมาถกเถียงพูดคุย 
 
บรรยากาศยุค ถนนหนังสือ (นิตยสารถนนหนังสือ) เป็นยังไง 
     ถนนหนังสือก็ถือว่ายังโอเคอยู่นะ ถนนหนังสือถึงแม้ว่าจะไม่ได้เน้นกับการ วิพากษ์วิจารณ์หนังสือเล่ม หรือตัววรรณกรรม แต่ว่าถนนหนังสือให้ความสำคัญกับตัวนักเขียน มันก็ทำให้ผู้อ่านสนใจติดตามงานของนักเขียนคนนั้นแบบต่อเนื่อง บวกกับภาพที่ถนนหนังสือนำเสนอทำให้ดูเหมือนว่าใครก็ตามที่ขึ้นปกถนนหนังสือในยุคแรก ๆ จะต้องเป็นนักเขียนที่มีคุณภาพ ซึ่งจริง ๆ คนทำไม่ได้ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น 
สรุปก็คือทุกวันนี้ แน่นอนละว่า ถ้าเราสังเกตงานวรรณกรรมก็ต้องพูดว่า ไม่รู้ว่าจะน่าห่วง ไม่น่าห่วง ผมคิดว่าหนังสือวรรณกรรมจะถูกขับออกจากร้านหนังสือโดยปริยาย โดยระบบที่เป็นอยู่ เพราะว่าหนังสือวรรณกรรมจะไม่ใช่หนังสือประเภทที่ขายเร็วหรือขายดีอยู่แล้วโดยธรรมชาติ เว้นแต่กรณีรางวัลอย่างที่ว่าไปเมื่อครู่ เล่มที่เหลือมันก็จะตกอยู่ในฐานะอย่างที่เราตั้งข้อสังเกตกันว่า เฮ้ย มันก็คล้าย ๆ หนังไทย ประเภทเข้าโรงแล้ว 3 วันขายไม่ได้ หรือไม่มีบรรยากาศให้เห็น มันก็จะหาย ทุกวันนี้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ขณะเดียวกันเราต้องไม่ลืมว่า โอกาสฟลุ๊คของหนังไทยมี แต่โอกาสฟลุ๊คของวรรณกรรมไทยไม่มีแน่ ๆ ถ้าบรรยากาศยังเป็นอย่างปัจจุบัน ต้องใช้คำนี้นะ เราก็ไม่รู้ล่ะว่ามันต้องไปแก้กันที่ไหน หรือจะต้องปรับเปลี่ยนกันยังไง 
 
มีเสียงพูดว่าเพราะมันไม่มีงานที่ดีออกมา 
     ไม่จริงหรอก ใครก็ตามที่พูดอย่างนี้ผมรู้สึกว่าพูดพล่อย ๆ เพราะข้อที่หนึ่ง คุณได้อ่านจริงหรือเปล่า ข้อที่สอง คุณได้ติดตามต่อเนื่องมั้ยว่ามีงานของนักเขียนไร้ชื่อเสียงอีกเยอะแยะมากมายที่พิมพ์ออกมาแล้วอยู่ในร้านหนังสือแค่แวบ ๆ ซึ่งงานเหล่านี้ถ้าเทียบกับยุคสมัยหลัง 14 ตุลาหรืออะไร พูดกันตรงไปตรงมา ผมว่ามีคุณภาพเหนือกว่า ถ้าเรามองในฐานะที่เป็นจุดเริ่มต้นของนักเขียนนะ ใครก็ตามที่พูดอย่างนั้น ต้องถามว่าอ่านจริงหรือเปล่า หรือพูดไปสุ่มสี่สุ่มห้า 
พูดง่าย ๆ ว่า ไม่ใช่เรื่องคุณภาพที่ทำให้สภาพของหนังสือวรรณกรรมเป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ผมยืนยันได้เลยว่าไม่ใช่ ปัญหาของมันเป็นเรื่องของโครงสร้างของตลาดหนังสือ บวกรวมกับเรื่องการสร้างบรรยากาศและกระแสชี้นำของพวกสำนักพิมพ์ใหญ่ ๆ ด้วย มีผลนะครับ พอสำนักพิมพ์ โน้นสำนักพิมพ์นี้มาชี้นำหนังสือของตัวเองโดยมีนัยทางการขาย มันไม่ได้มีนัยทางคุณภาพ คนก็จะแห่ไปดูไปสนใจแต่อย่างนั้น เราจะไม่เห็นเลยว่า เอ่อ… สำนักพิมพ์ใหญ่ ๆ ที่ผลิตงานวรรณกรรมบ้าง จะมาให้ความสำคัญกับงานวรรณกรรมของนักเขียนไทยหรือนักเขียนรุ่นใหม่ ๆ อย่างเอาจริงเอาจัง ไม่มีหรอก ก็โฆษณากันไป 
 
แต่สำนักพิมพ์ใหญ่ส่วนหนึ่งก็พิมพ์นี่ 
     อย่าลืมว่าการพิมพ์กับการแสดงให้เห็นว่าเอาจริงเอาจังมันคนละเรื่อง หรือการจัดรางวัลก็มีนัยทางการขาย นอกจากจะจัดรางวัลที่เป็นกลาง โดยกันหนังสือของตัวเองออกมา นั่นจึงอาจจะถือว่าได้ แต่ก็ไม่มี 
ว่าไปแล้ว เหล่านี้ก็เป็นเพียงกุศโลบาย มากกว่าจะเป็นความพยายามที่ จริงจัง 
 
ระบบร้านที่เป็น chain store มีส่วนอะไรมั้ย 
     มี พวกร้านเองส่วนใหญ่ก็ไปเช่าพื้นที่ ซึ่งมันก็มีค่าใช้จ่ายมหาศาล ถามว่าเขาจะหารายได้หรือเปอร์เซ็นต์จากการขายหนังสือมาจ่ายตรงนี้ได้ยังไง มันก็ต้องขายหนังสือให้ได้เยอะ ๆ หนังสือที่ขายได้เยอะก็คือหนังสือที่อยู่ในกระแส มันก็คืองูกินหางกันอยู่อย่างนี้ 
เราจะไปเรียกร้องร้านหนังสือเจ้าใหญ่ ให้มาสนใจหนังสือประเภทนี้ จัดพื้นที่เป็นเทศกาล ไม่มีทาง เพราะมันทำไม่ได้ ถ้าเราเข้าใจก็จะพบว่า ด้านหนึ่งมันก็น่าเห็นใจ เพราะว่าจะให้เขาขายแต่วรรณกรรม ผมว่าร้านก็เจ๊ง นี่พูดกันตรงไปตรงมา 
 
ถ้างั้นทางออกในฐานะที่ทำสามัญชน ซึ่งพิมพ์วรรณกรรมเป็นหลักมา 15 ปี? 
     ทางออกในเรื่องนี้สำหรับผม ผมว่ามีอยู่ทางเดียวคือคุณต้องมีวิธีคิดที่มันง่าย ๆ แจ่มชัดตั้งแต่ต้นว่ากำลังทำอะไรอยู่และเพื่ออะไร ถ้าเอาเรื่องธุรกิจหรือการตลาดมาเป็นตัวตั้ง ก็บอกได้เลยว่าความล้มเหลวกวักมือเรียกอยู่ข้างหน้าร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ามีวิธีคิดแบบ ช่างมัน ทำไปแบบมีความสุข ถ้ารู้สึกว่าต้องไปสู้กับอะไรก็ไม่รู้ที่เบ้อเริ่มเทิ่มก็เลิกทำ ถ้าถามก็ตอบได้แค่นี้จริง ๆ กรณีสามัญชนก็เหมือนกัน มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เราก็ทำ ๆ ไป ไม่คิดอะไร 
กลุ่มก้อนของคนที่อ่านหนังสือแนวนี้ ปีหนึ่ง ๆ มันน้อย ว่าไปแล้วมันไม่ทันที่จะมารองรับ ถึงแม้ว่าเราจะพยายามสร้างเครือข่าย มีสมาชิกเป็นกลุ่มก้อน มีพื้นที่มีอะไรต่อมิอะไรที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ถามว่าผมมองเห็นอนาคตที่ดูเหมือนพอจะมีความหวังหรือไม่ ตอบได้เลยว่าไม่มี ไม่เห็นอนาคต แต่ถ้ากลับมาถามว่าทำไปทำไม ผมก็ตอบตัวเองว่าก็ไม่ได้ทำไปเพื่ออนาคต ผมก็ทำเพราะผมรู้สึกว่าต้องทำ 
 
แล้วเรื่องความอยู่รอดล่ะ 
     คือสามัญชนมันได้เปรียบชาวบ้านอยู่นิดเดียว หมายถึงหนังสือในแนวนี้ คือมันยืนระยะยาว แค่นั้นแหละ สมมติว่ามาเริ่มต้นใหม่ พ.ศ.นี้ ถ้าผมมาเริ่มทำหนังสือแบบที่ทำ ๆ อยู่เอา พ.ศ. นี้ สามปีเจ๊ง ไม่มีทาง 
 
ถ้างั้นคนที่เริ่มต้นทำหนังสือวรรณกรรมใน พ.ศ. นี้จะต้องทำยังไง 
     ถ้าทุนเล็กอิสระ เลิกคิดดีกว่า พูดกันหยาบคายเลยนะ เว้นเสียแต่มีเงินเผาเล่น ต้องไปเล่นใหม่ ต้องไม่เล่นเกมในเวทีที่เป็นอยู่ ต้องไปเปิดพื้นที่ใหม่ ปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบตลาดที่เป็นอยู่มันไม่อนุญาต ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อน คุณอยากจะทำหนังสือในฐานะของสิ่งที่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องแบบไม่ทะเยอทะยาน หรือว่าอยากจะผลิตหนังสือดี ๆ ออกมา ต้องตอบให้ชัดก่อน ถ้าสมมติเป็นอย่างหลัง อยากจะทำหนังสือดี ๆ ออกมา อันนี้อาจจะต้องไปสัมพันธ์กับสำนักพิมพ์ใหญ่ ๆ หรือองค์กรใหญ่ ๆ หรือสถาบันอะไรสักแห่ง ทำเป็นโครงการร่วมกันไป 
 
สามัญชนทุกวันนี้ยังผลิตหนังสือวรรณกรรมอยู่? 
     ผลิตอยู่ 
 
แล้วมีทางออกยังไง 
     สามัญชนมันเป็นอย่างนี้ อย่างที่บอกว่ากลุ่มก้อนของคนที่อ่านหนังสือของสามัญชน บวกรวมกับแฟนของนักเขียน ถามว่าจำกัดจำเขี่ยไหม ก็ตอบได้ว่าจำกัดจำเขี่ยนะ แต่ทั้ง ๆ ที่จำกัดจำเขี่ยแบบนี้ แต่มันก็พออยู่รอดได้ เนื่องจากว่า หนึ่ง เราไม่มีค่าใช้จ่ายที่เกินตัว สอง เรารู้อยู่แล้วว่าเราไม่ได้ทำหนังสือกระแส ออกหนังสือมาเล่มหนึ่งก็อ่านเกมออกว่า 2 – 3 ปีโน่นแหละครับถึงจะคืน ขาดทุนคงไม่ขาดทุน แต่ถามว่ามีกำรี้กำไรเป็นเรื่องเป็นราวมั้ยก็ตอบได้ว่าไม่ ลักษณะมันเหมือนว่า ก็พออยู่พอกินกันไป แต่มันไม่ใช่ธุรกิจแน่นอน 
 
ก็ยังสงสัยว่าอยู่มาได้อย่างไร และตอนนี้กำลังตกอยู่ในสภาพแบบไหน 
     คุยกับสายส่ง วิเคราะห์กันก็รู้ปัญหา ตอนนี้มันกลายเป็นว่าไม่เพียงสามัญชน เท่านั้น กลุ่มอิสระที่ทำหนังสือวรรณกรรมถูกบีบไปโดยปริยาย ปีหนึ่ง ๆ ไม่ต้องไปหารายได้จากที่อื่น เว้นแต่หาเงินรองรังกันปีหนึ่ง 2 ครั้ง จากงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติและงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ถามว่าเป็นเรื่องที่น่าพอใจมั้ย ก็ตอบได้ว่าไม่น่าพอใจอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับเราต้องผลิตหนังสือมาขายปีละ 2 ครั้ง ต่อให้เราบอกว่าต่อต้านสภาพอย่างนี้ เบื่อสภาพอย่างนี้เต็มที แต่ตราบใดที่คนยังไม่มีโอกาส ยังไม่สามารถหาหนังสือของเราได้จากร้าน เขาก็ต้องถ่อสังขารมาซื้อจากงาน สภาพที่เห็นอยู่นี้ไม่น่าพอใจ แต่โครงสร้างของระบบร้านหนังสือที่เป็นอยู่ก็ไม่อนุญาต หนังสือที่เราผลิตไม่มีทาง ไม่มีโอกาสตามร้านเลย 
 
ยอดขายที่สามัญชนขายเองเมื่อเปรียบกับการวางตามร้านทั่วประเทศทั้งปี เป็นอย่างไร 
     ตอบได้เลยว่าทุกวันนี้ โดยเฉพาะ 2 – 3 ปีหลัง ถ้าไม่นับการกินบุญเก่า ในแง่ว่ามี หนังสือเก่า ๆ ที่ยังอยู่ในตลาดต่างจังหวัดค้างยอดเข้ามาบ้าง เพราะหนังสือเรา ออกมา 200 กว่า 300 ปก ถ้าไม่มีพวกนั้น นับแต่หนังสือใหม่ที่ผลิตออกไป ตอบได้เลยว่าหนังสือใหม่ขายในงานแค่ช่วงสั้น ๆ มีรายได้มากกว่าการวางขายตามร้านทั่วประเทศ ซึ่งอันนี้เป็นสภาพที่อันตรายมากกับคนเล็ก ๆ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพื้นที่ในงานขายหนังสือก็เบียดเสียดเบียดบังคนเล็ก ๆ ขึ้นทุกวัน 
 
คิดว่าต่อไปจะเป็นยังไง สภาพแบบนี้จะนำไปสู่อะไร 
     มันจะไปสู่อะไรล่ะ ไม่เฉพาะเรื่องหนังสือหรอก พูดกันตรงไปตรงมา กระแสของโลกหรือกระแสของสังคมใหญ่มันไม่สนใจเรื่องสติปัญญาอยู่แล้ว มันสนใจแต่เรื่องทำมาหากิน เรื่องการอยู่รอดไปวัน ๆ พูดกันหยาบ ๆ คือ แม่งสนใจเรื่องเงินมากกว่าเรื่องปัญญา เป็นเรื่องปรกติอยู่แล้ว ที่นี้สภาพที่เราเห็น ก็พยากรณ์ได้ว่าต่อไปคนรุ่นหลัง ๆ เขาก็จะไม่สนใจเรื่องมีเนื้อหาสาระ พอมีใครพูดถึงเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา ก็จะมีเสียงว่า เฮ้ย พูดเรื่องแบบนี้ทำไม เครียดว่ะ แล้วก็อยู่กันแบบกลวง ๆ ไป จะไปทำอะไรได้ ต่อให้ไม่เห็นด้วยกับสิ่งเหล่านี้ คุณต่อต้านคุณไม่สนับสนุน ถึงที่สุดก็ต้องไปตอบคำถามส่วนตัวว่า เราไม่เอากับเขา แล้วเราจะทำยังไง เราก็ต้องไปหาทางออกในเชิงปัจเจก ถ้าเรามองว่าการทำหนังสือเป็นความรับผิดชอบชนิดหนึ่ง หรือว่ามีส่วนที่จะช่วยยกระดับสังคม ผมว่าไป ๆ มา ๆ ท่าเราชักจะคาดหวังเกินตัวหรือเปล่า 
 
แล้วกรณีที่ไปทดลองใช้สื่อทีวีโฆษณาหนังสือ 
     จริง ๆ มันเรื่องเพื่อนกับเพื่อน ผมกับสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ – เช็ค, เขาก็เห็นความ สำคัญของการอ่าน เพราะมันเป็นพื้นฐานวิธีคิด ความเข้าใจต่อโลก ต่อชีวิต ต่อ สังคมของเขา เขาก็อยากจะทำให้คนในวงกว้างสนใจการอ่านหนังสือประเภทนี้ เบื้องแรกเขาก็ไม่ได้อยากจะลงมาทำ เพียงแต่กรณีของรายการทีวี ถึงแม้ว่าจะมีหุ้นอยู่ แต่ก็มีหุ้นส่วนคนอื่น ๆ ฉะนั้นทางออกของปัญหานี้ก็ต้องตั้งบริษัทขึ้นใหม่ 
     เขาก็ชวนผม คุยกันสองคน หาทางทำหนังสือประเภทนี้ ไป ๆ มา ๆ ก็มาตั้งบริษัทพิมพ์บูรพา โดยที่ผมเข้าไปถือหุ้นร่วมกับทีวีบูรพา เราก็มาคิดกันว่า เป้าหมายหรือเจตนาของเราคือนำเสนอหนังสือเล่มที่มีเนื้อหาสาระไปสู่ผู้อ่านในวงกว้าง ช่วงแรกก็โดยการทดลอง โอนผลงานของพี่เสก (เสกสรรค์ ประเสริฐกุล) บางเล่มไปอยู่ในการลงทุนของพิมพ์บูรพา แล้วก็อาศัยสื่อทีวีมาทำหน้าที่โฆษณา ผ่านมาถึงทุกวันนี้เราสรุปได้แล้วว่ามันไม่ได้ผล มันไม่เข้ากัน อย่างน้อยที่สุดมันสะท้อนให้เห็นว่าผู้ชมทีวี แฟนรายการ คนค้นฅน เอง กระทั่ง กบนอกกะลา หรือ หลุมดำ ไม่ใช่ผู้ที่สนใจอ่านวรรณกรรมแน่ ๆ ซึ่ง ต่อให้เป็นงานของสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิเอง รากเหง้า หรือ ตามหาข้าพเจ้า หรือว่า ถึงเวลาสารภาพ ซึ่งเป็นเรื่องสั้น พอเราเช็คยอด เมื่อประมาณเดือนที่แล้วก็พบว่า กลายเป็นว่าทั้งหนังสือของเสกสรรค์และของสุทธิพงษ์ ไม่ได้รับการตอบรับเอาเสียเลย ต้องใช้คำนี้ด้วยซ้ำ ซึ่งน่าแปลก ขณะที่สามัญชนพิมพ์งานของพี่เสก ชั่ว ๆ ดี ๆ ก็ไปได้ กลับกลายเป็นว่า ถึงแม้จะเป็นโลโก้สามัญชน แต่พอมันย้ายไปอยู่ในพื้นที่ของพิมพ์บูรพา นอกจากจะไม่ได้รับการตอบรับแล้ว ดูคล้ายว่ามันจะมีลักษณะในเชิงต่อต้านด้วยซ้ำ ผมประหลาดใจมากว่ายอดขายของเสกสรรค์ 4 เล่ม ไม่น่าพอใจอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับตอนที่อยู่สามัญชนโดยปกติ โดยที่ไม่ต้องมีสื่อโฆษณาทั้งสิ้น เห็นชัดถึงข้อแตกต่าง รวมไปถึงงานของสุทธิพงษ์ 3 เล่ม แต่เล่มอื่นของพิมพ์บูรพากลับขายดี เลยต้องกลับมาคิดกันใหม่ว่า แสดงว่ากลุ่มผู้ดูทีวี หรือแฟนรายการไม่พร้อมที่จะ ต้อนรับงานประเภทนี้เลย ยังไม่ต้องพูดถึงว่าบางคนอ่านแล้วมาบ่นพึมพำว่าไม่รู้เรื่อง กลายเป็นเหมือนว่ามีช่องว่างในทางปัญญาของผู้บริโภค เห็นชัดว่าไม่เกิดมรรคผลด้านดี ก็รู้ว่าไม่สมควรทำต่อ พิมพ์บูรพาก็ต้องทำในแนวของตัวเองไป 
 
แล้วแนวแบบไหนที่ไปได้กับพิมพ์บูรพา 
     ก็อิงอยู่กับตัวรายการ ถ้าคิดในแง่ธุรกิจหนังสือก็ตอบได้ว่าเลิกคิดเรื่องการผลิต วรรณกรรมไปเลย ไม่ต้องสนใจวรรณกรรมเลย ไปผลิตแนวอื่น ยังมีพื้นที่ว่างอีกมาก แต่ถ้าทำวรรณกรรมแล้วคาดหวังว่าโฆษณาจะมาช่วยทำให้ขายดีขึ้น ก็บอกได้เลยว่าไม่จริง ต่อให้คนวงใน หรือคนที่สนใจเรื่องพวกนี้จะบอกว่าเป็นงานที่ดี น่าอ่าน แต่ลองสังเกตดู สุ้มเสียงเหล่านี้ไม่เคยมีผล 
     สังคมนี้ สังเกตได้ว่า หนังสือที่จะได้รับการสนับสนุนในแง่การอ่าน มันจะต้องมีลักษณะในเชิงบันเทิงนำ ถ้าเป็นเรื่องปัญญานำจะไม่ได้ ทีนี้มันขึ้นอยู่กับว่าใครจะเอาเงื่อนไขตรงนี้ไปทำมาหากิน ก็ว่ากันไป 
 
ตอนสามัญชนเริ่มต้นนี่ หนังสืออื่นที่ไม่ใช่วรรณกรรมเป็นอย่างไร 
     ต้องเข้าใจว่าที่คุยกันมา ส่วนหนึ่งที่เราลืมพูดก็คือ สภาพของตลาดนิตยสารก็ได้เปลี่ยนไปเยอะแล้ว การที่มีนิตยสารเป็นร้อย ๆ หัวออกมาในช่วงหลัง ๆ รวมไปถึงนิตยสารที่เอาหัวต่างประเทศมา มันก็สร้างค่านิยมในการอ่านอีกแบบ คนที่ดูเหมือนว่ามีความใส่ใจ มีกำลังพร้อมจะอ่านหนังสือเล่ม ก็ถูกดึงให้ไปอ่านนิตยสารเหล่านั้น ยังไม่ต้องเอ่ยถึงพอเราเริ่มแก่เฒ่าสายตาเริ่มฝ้าฟาง ต่อให้มีใจ สังขารก็อาจจะไม่อนุญาต ความสนใจที่จะอ่านหนังสือก็น้อยลง ขณะรุ่นใหม่ ๆ ที่ขึ้นมาสนใจในแนวนี้ ก็ถูกลดทอนลงด้วยสิ่งที่ว่ามาทั้งหมด 
     ฉะนั้น เราจะพบว่าสภาพทั้งหมดนี้ไม่น่าแปลกใจ ที่เป็นมาแต่เดิมคือ หนึ่ง นิตยสารมันน้อย สมัยนั้นมีอยู่ประมาณสัก 1 ใน 4 ถ้าเทียบกับปัจจุบัน สอง ภาพรวมของหนังสือเล่ม หนังสือดารายังไม่มี ถ้าจะมีอยู่บ้าง ก็จะเป็นลักษณะของกรณีศึกษา ของประสบการณ์ชีวิต เป็นชีวประวัติที่มีความเข้มข้นของเนื้อหา แต่ว่าจะไม่ใช่ขายความดัง อาจจะมีหนังสือบางเล่มที่เหมือนว่าอิงอยู่กับพวกดาราหรือคนเด่นคนดัง แต่ถ้าสังเกตตัวเนื้อหาดี ๆ ก็คือ อย่างน้อยผู้ผลิตต้นฉบับก็ยังให้ความสำคัญกับคุณค่าหรือเนื้อหาสาระ ไม่ได้เอาความเด่นความดังมาขาย 
     บรรยากาศของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็ยังมีกลุ่มองค์กรหรือกลุ่มกิจกรรมที่มีความรับผิดชอบใส่ใจในสังคม สภาพตอนนั้น ทันทีที่คุณเปิดหูเปิดตา พร้อมที่จะออกค่ายหรือสนใจปัญหาทางสังคม มันก็จะเชื่อมโยงกับหนังสือเล่มที่มีอยู่ตอนนั้น ไม่ว่าจะแนวพุทธปรัชญา หรือแนวแสวงหาอย่างที่ พี่พจ (พจนา จันทรสันติ) ทำ หรือพวกกลุ่มวรรณกรรมอะไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็มีความใส่ใจต่อโลก ต่อชีวิต ต่อสังคม ภาพรวมของหนังสือเล่ม ยังเป็นอย่างนั้น แม้จะยังมีกลุ่มหนังสือที่ไม่สนใจโลก สนใจสังคม ที่เล่นสนุกไปวัน ๆ แต่มันน้อย มันไม่มีน้ำหนักที่จะมาโค่นล้มกระแสหลัก 
     ถ้าใครจะมองในด้านดีว่าโลกมันพัฒนาไป บรรยากาศคลี่คลายไป ก็พูดได้ แต่แล้วมันยังไงล่ะ ถ้ามองผลปลายท้ายสุดว่ามันจะนำไปสู่ความตกต่ำ ตื้นทางปัญญา เราก็พบว่านี่เรากำลังเดินมาสู่เส้นทางนี้ เส้นทางที่นำไปสู่ความอ่อนด้อยทางปัญญา แล้วเราจะไม่สนใจเรื่องพวกนี้กันอีกต่อไป เราจะไม่สนใจเรื่องเราจะอยู่ยังไง จะใช้ชีวิตยังไง เราจะไปสนใจเรื่องภายนอกมากกว่าด้านลึก แล้วอนาคตอีกสัก 5 ปี เราอาจจะสะกดคำว่า ‘ข้างใน’ ในความหมายที่เคร่งครัดกันไม่ถูก

ขอขอบคุณเรื่องราวดีๆโดย :  หนุมาน กรรมฐาน 
พิมพ์ครั้งแรกวารสารหนังสือใต้ดิน 5 : สงครามหนังสือ