วงล้อแห่งจินตนาการ บนเส้นทางวรรณกรรม

ในช่วงเวลาหนึ่งการออกไปเผชิญโลกของนักเขียนเป็นสิ่งจำเป็น การไปเห็นด้วยตา หรือเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งบรรจุอยู่ในเรื่องราวเป็นเหมือนภาระหน้าที่ ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผลงานของนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่อย่างเออร์เนส เฮมิงเวย์, จอร์จ ออร์เวล หรืออ็องเดร มาลโรซ์เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับขยายความคิดที่ว่านี้
แน่นอนการเผชิญโลกเป็นการเรียกร้องต่อประสบการณ์ หรือการบอกเล่าเรื่องราวอย่างสอดพ้อง ต่อความเป็นจริง หากแต่วรรณกรรมเป็นเพียงผลผลิตของความจริงที่ตาเห็นเพียงเท่านั้นหรือ? คำตอบคือ 'ไม่ใช่'
ความเป็นจริงสามารถสร้างวรรณกรรมได้ เช่นเดียวกันกับที่วรรณกรรมสามารถสร้างความจริงได้ แต่การสร้างความจริงของวรรณกรรมอาจมาจากการเขียนถึงความเป็นจริงที่ไม่ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าเราด้วยเช่นกัน
ทินกร หุตางกูร เป็นนักเขียนในโลกยุคใหม่อีกคนหนึ่ง ที่ความจริงแบบตาเห็นมีอิทธิพล น้อยกว่าจินตนาการ นวนิยาย โลกของจอม เป็นผลผลิตจากซีกด้านของจินตนาการ ซึ่งเขามองว่ามันเป็น
เหมือนภาพสะท้อนของความเป็นจริงที่ตาเราไม่เห็น และระหว่างที่เขากำลังเคี่ยวกรำอยู่กับการเขียนนิยาย เล่มใหม่ เราจึงขอขัดจังหวะด้วยความสุภาพ เพื่อทำการสัมภาษณ์พูดคุยกับนักเขียนผู้รุ่มรวยจินตนาการคนนี้
ทินกร หุตางกูร ในโลกวรรณกรรม
กิตติพล : วรรณกรรมคืออะไร? สำคัญต่อชีวิตแค่ไหน?
ทินกร : วรรณกรรมก็คืองานเขียนที่เขียนดีๆ อะไรก็ได้
วีร์วิศ : หนังสือ หักหลังผู้ชาย นี่คุณถือเป็นวรรณกรรมไหม?
ทินกร : เราคิดว่าดีไหมละ? ดีมันก็ต้องมีนิยาม คำว่าว่าดีของแต่ละคนก็นิยามต่างกันไป แต่สำหรับผม
ก็คือเป็นงานที่ยกระดับจิตใจของเราขึ้นมา ทำให้เรารู้สึกว่าเราเห็นใจคนอื่นมากขึ้น เข้าใจคนอื่นมากขึ้น มีความเมตตาต่อคนอื่นมากขึ้น ถ้าหนังสือเล่มไหนที่ทำได้ขนาดนี้ก็โอเค แล้วมันก็ควรมีคุณค่าทางศิลปะ
ด้วย ศิลปะจะช่วยยกระดับจิตใจอยู่แล้ว นี่เป็นธรรมชาติของงานศิลปะ ใช่ไหมครับ? วรรณกรรมก็คืองาน
ศิลปะแบบหนึ่ง และมนุษย์ต้องการอาหารทางจิตใจ งานศิลปะก็เปรียบเสมือน อาหารของจิตใจ
กิตติพล : ทำไมถึงเลือกที่จะเขียน?
ทินกร : อาจจะเป็นความชอบละครับ แต่ละคนก็มีวิธีที่แสดงออกต่างกันไป
บางคนก็อาจจะวาดรูป บางคนก็อาจจะเล่นดนตรี บางคนจะสร้างหนัง แต่ที่
เขียนหนังสือก็เพราะมันเหมาะกับตัวเองและก็ชอบอ่านด้วย แต่ชอบการทำงาน ศิลปะอย่างอื่นๆด้วย ถ้ามีโอกาสก็อยากจะทำ แต่ก็คงทำได้ไม่ใช่ระดับเป็น อาชีพ แต่เขียนหนังสือนี่ก็คือเลือกแล้ว พยายามฝึกมาตั้งแต่เด็กๆ
วีร์วิศ : แล้วถ้าสรรพากรถามว่าคุณมีอาชีพอะไร จะตอบว่า?
ทินกร : ก็คงเป็นนักเขียน แต่นักเขียนไม่ใช่อาชีพสำหรับประเทศนี้ เวลากรอก ก็ต้องกรอกว่าเป็นอาชีพอิสระ
กิตติพล : นักเขียนนี่คงไม่นับเป็นอาชีพ?
ทินกร : ในประเทศไทยไม่มี อย่างพี่ชาติ กอบจิตติ เวลาเขาไปเมืองนอก ตอนที่
ไปทำพาสปอร์ตนี่ไม่มีนะ แต่ที่พี่ชาติเขาไปไฟท์ได้เพราะแกเป็นนักเขียนระดับ ประเทศ คือเป็นศิลปินแห่งชาติไปแล้ว แกก็กรอกไปเลยว่าอาชีพนักเขียน
กิตติพล : หรือที่จริงก็คือ 'อาชีพอื่นๆ'
ทินกร : ใช่ๆ ประเทศไทยจะมีอาชีพก็แต่หมอ วิศวกร ข้าราชการหรืออะไรที่
เป็นงานในลักษณะเฉพาะๆ น่าเศร้ามากเลย
กิตติพล : ตอนนี้ทำงานอะไรอยู่บ้าง?
ทินกร : ตอนนี้ก็เขียนนิยาย งานประจำก็ไม่ได้เขียนให้ที่ไหนเลย ตั้งแต่อะเดย์-
วีคลี่ย์ปิดไป ก็คิดว่าคงอีกสักพักหนึ่ง เขียนนิยายเสร็จ ก็อาจจะเขียนประจำ
ให้สักที่สองที่
นิยายที่ผมกำลังเขียนอยู่ตอนนี้ก็ไปได้ประมาณยี่สิบเปอร์เซ็นต์ กะว่าจะให้เสร็จประมาณสิ้นปีนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะเสร็จทันหรือเปล่า
ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคม บริโภคนิยม เหมือนเดิม คือมีคนบอกว่า งานที่ผ่านมามีแนวทางเฉพาะตัว แต่ตอนนี้ก็หวังว่าอยากจะไปแนวทาง อื่นแล้ว แต่ยังหามันไม่เจอ อย่างแนวทางที่เขียนก็จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังคม สมัยใหม่เรื่องเกี่ยวกับความใฝ่ฝัน ความสุขทางด้านจิตใจ เรื่องที่ชอบอย่าง เรื่องของศิลปะ ดวงดาว จักรวาล เรื่องเกี่ยวกับเพลงหรือ หนัง อย่างในงานชิ้น ใหม่ก็ยังมีอยู่ แต่หลังจากจบงานชิ้นนี้ก็อาจจะต้องแสวงหาดู
กิตติพล : ลักษณะของการผสมผสานระหว่างความเรียงและการเล่า เรื่องแบบนิยายของคุณมีมาตั้งแต่เริ่มต้นเขียนงานเลยใช่ไหมครับ?
ทินกร : ตั้งแต่แรกครับ เพราะว่าเป็นคนที่ไม่ชอบอะไรที่เรียกว่ากรอบ กฎเกณฑ์ หรือหลักการ อย่างงานศิลปะเป็นสิ่งที่ไม่มีผิดมีถูก อยู่ที่เรา เราจะมีความคิดกับ มัน เราก็ใส่เข้าไปได้ เพราะในตอนที่เรียน มันก็มีถึงขนาดเรื่องสั้นจะต้องยาวได้
ไม่เกินกี่คำ กี่คำ แต่ที่หลังกฎข้อนี้ก็หายไป แล้วก็มีกฎอะไรตั้งหลายอย่างเกี่ยว
กับนิยายเรื่องสั้นที่คนไทยถือๆกันอยู่ แต่ก็ไม่อยากจะสนใจ อยากจะเขียน อยากจะใส่อะไร อย่างอันหนึ่งที่โดนว่าตลอดเวลาก็คือใส่วงเล็บภาษาอังกฤษ
ใส่ไปทำไม มันรก งานวรรณกรรมมันไม่มีหรอก ลองนึกถึงงานเขียนที่มีความ
คอนทราสต์สูงๆ อย่างงานโพสโมเดิร์นหรืออะไรก็ตามแต่ แต่งานสารคดีมันจะ
เป็นงานที่แข็ง ก็เลยอยากจะเอาการเขียนและอารมณ์ความรู้สึกไปสู้กับมัน คืออยากให้มีส่วนหนึ่งในงานที่แข็งๆ แล้วเอาส่วนอารมณ์ความรู้สึกไปสู้ นี่เป็น ความทะเยอทะยานส่วนตัวในการเขียน
ก็ไม่รู้หรอกว่ามันออกมาดีหรือไม่ดี แต่ก็อยากจะทำ แต่พอมีคนบอก
ว่าไม่ควรจะทำก็เลยอยากจะลองทำ แต่ก็ดีใจที่มีคนส่วนหนึ่งที่รับได้ แต่ก็มีบาง ส่วนที่ไม่เห็นด้วย
กิตติพล : คุณมีวิธีคิดเกี่ยวกับตัวละครชื่อ จอม ตัวเอกในนวนิยาย โลกของจอม นี้อย่างไร หรือคิดอย่างไรกับคำวิจารณ์ว่าตัวละครนี้ มีชีวิตเหมือนละเมอเดิน
ทินกร : ก็อาจจะจริงนะ เพราะมีคนวิจารณ์ว่าตัวละครนี้เหมือนไม่มีตัวตน
อยู่จริงบนโลก แบบเป็นอุดมคติ แต่ว่ามันก็อาจจะใช่ เพราะไม่ต้องการที่จะเขียน เกี่ยวกับตัวละครที่มีชีวิตอยู่จริงๆ บนโลก แต่อยากที่จะเขียนถึงเรื่องที่มีอยู่จริงๆ บนโลก คือเหมือนกับที่เราเคยอ่านนิทาน ตัวละครเหล่านั้นก็อาจไม่ได้มีอยู่จริง บนโลก แต่เมื่อเราอ่าน เราจะรู้สึกได้ว่า มันเป็นสิ่งที่เราสามารถเจอได้ในชีวิต ประจำวัน หรือว่ามีอยู่จริงบนโลก มันเป็นกระจกที่ไม่ได้สะท้อนในเชิงกายภาพ หากเป็นการสะท้อนของสิ่งอยู่ข้างในออกมา ตั้งใจว่าจะให้งานเขียนมีลักษณะ ออกมาเป็นแบบนี้ ไม่ได้สนใจว่าตัวละคร จะมีหรือไม่มีจริง อย่างเขียนถึง นางเอกก็จะเป็นตัวละครที่สวยมาก หรือตัวละครเด็กผู้ชาย ก็จะอืม…ทำไมอ่าน หนังสือเยอะจัง ซึ่งจริงๆ แล้วคนแบบนี้มันมี แค่เราจะปฏิเสธว่าโดย ส่วนใหญ่ มันไม่มี คืออย่างวัยรุ่นโดยทั่วไป เราก็จะเห็นอยู่แล้วไม่มีสาระอะไรเลย ตัวละคร
เหล่านี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อบอกว่าเป็นใคร เป็นใครอยู่ แต่มันเป็นตัวแทนของ
คนทุกคน แล้วที่ผมชอบเขียนถึงมัน ก็เพราะอายุ 18 เป็นวัยที่ยืนอยู่ระหว่าง ความเป็นเด็กและความเป็นผู้ใหญ่ แล้วชอบที่จะให้สองสภาวะที่กระโดดไปมา
กระโดดไปมา
กิตติพล : ในงานเขียนของคุณเราจะไม่เห็นตัวละครเหล่านี้เติบโต เพราะดูเหมือนเด็กเหล่านี้จะไม่เคยถูกนำเสนอให้เห็นความเปลี่ยนแปลง ไปจนกระทั่งพวกเขากลายไปเป็นผู้ใหญ่จริงๆ
ทินกร : ใช่ครับ คนที่ทำงานศิลปะหลายคนก็เป็นแบบนี้นะ คือหวงแหนความ
สดใสแบบวัยเด็ก คือวัยเด็กมันฝันได้โดยไม่มีกรอบอะไร และก็เหมือนกับที่ตั้ง
ข้อสังเกตไว้ก็คือตัวละครของเหล่านี้จะเจ็บปวดกับโลกของผู้ใหญ่มาก แล้วมันก็มีเกราะห่อหุ้มตัวเองเอาไว้ ก็คือมีส่วนหนึ่งละที่คงความเป็นเด็ก แต่ก็จะมีส่วนที่เป็นผู้ใหญ่ด้วย เพราะตัวละครเหล่านี้ก็จะรู้ทั้งในเรื่องการเมือง
ระหว่างประเทศ หรือเพราะผมชอบเรื่องแบบนี้ด้วย ก็เลยอยากจะเล่นกับมัน
กิตติพล : ขณะที่เรานั่งอ่านงานเขียนจากจินตนาการ โลกของความ เป็นจริงรอบตัวเราก็ยังดำเนินไปอยู่ คุณเคยย้อนกลับไปอ่าน ผลงานของตัวเอง แล้วคิด อยากปรับแก้มันเพื่อให้มันสัมพันธ์หรือ สอดพ้อง กับสภาพเป็นจริงบ้างหรือเปล่า?
ทินกร : ไม่เลย เพราะโลกที่เป็นอยู่ปัจจุบัน เป็นโลกที่มาผิดทาง และการเขียน
หนังสือก็อาจเป็นการบำบัดจิตใจนักเขียนด้วยส่วนหนึ่ง เพราะมันพูดถึงสิ่งที่
ควรจะเป็น ไม่ใช่กำลังเป็นอยู่ งานเขียนของผมก็เลยถูกมองว่า เป็นงานที่กำลัง
จะเข้าไปเทศนาคนอื่น ที่จริงก็ไม่ได้เทศนาก็เลย ก็แค่เขียนความคิดของเราไป
คนที่อ่านไม่เห็นด้วย เขาก็มีสิทธิ์ ก็เหมือนเรามานั่งโต้เถียงกันอยู่ รู้สึกว่างาน
วรรณกรรมก็ไม่ควรจะไปตัดสินใจอะไรแทนคนอ่าน
ผมคิดว่า นักเขียนก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งทำไมจะมีสิทธิ์ใส่ความคิด เห็นในงานไม่ได้ เหมือนกับมีนักเขียนหลายคนอย่าง มิลาน คุนเดอรา หรือ ซัลมาน รัชดี ก็ทำใช่ไหมครับ อย่างงานเขียนยุคใหม่ๆ ก็ทำ เป็นงานเขียนที่ไม่ พยายามจะตัดสินอะไร อย่างนี้น่าจะเป็นงานเขียนของช่วงศตวรรษที่ 19 หรือต้นศตวรรษที่ 20 มีจิตรกรชาวเยอรมันคนหนึ่งพูดว่า คนทำงานศิลปะ ที่ทำงานตามคิดของตัวเองโดยไม่กลัวว่าจะมีคนต่อต้านเป็นศิลปินที่มีความ กล้าหาญที่สุด เพราะว่า มันเป็นการประกาศตัว พอคนไม่เห็นด้วยมันก็โยน หนังสือทิ้ง ทำไมเราจะต้องไปกลัวแค่นั้น
ผมมองว่าคนทำงานศิลปะต้องมีความกล้าหาญบ้าง เหมือนกับ ที่ดูเรื่อง 9 Songs หนังอังกฤษธรรมดาๆ เป็นเรื่องราวโรแมนติก เรียบง่าย แต่ที่ไม่ธรรมดาคือฉากเลิฟซีนนั้นโจ่งแจ้งแบบหนังโป๊ มีคำถามว่าทำไมต้อง ทำอะไรขนาดนั้น? จริงๆแล้วหนังไม่ได้ดีอะไร แต่ก็ชอบคำให้สัมภาษณ์ของ ผู้กำกับมากเลยเพราะว่ามันประหลาดดี คือในหนังโรแมนติกเราจะเห็นแค่ฉาก พระเอกกับนางเอกนอนกัน พอจูบกันก็ตัดเลย เขาก็เลยบอกว่าทำไมจะทำให้ เห็นไม่ได้ เขาก็เลยทำออกมาแบบนั้น ผมชอบคนทำงานศิลปะแบบนี้
มนุษย์เราจะมีกฎเกณฑ์บางอย่างที่จะไม่นำเสนอภาพ ในลักษณะนี้ ก็ไม่ใช่หลักเหตุผลด้วยซ้ำ มันเป็นอะไรที่ต้องเป็นแบบนั้นจริงๆ นี่คิดเองนะ ผิดหรือถูกอีกเรื่อง จุดมุ่งหมายสูงสุดของสิ่งมีชีวิตที่มีชีวิตอยู่ก็คือต้องมีลูก แต่มนุษย์พัฒนาด้านสมอง คือว่ามันฉลาด ถ้ามันต้องเสนอภาพโป๊หรือการ ร่วมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่ามันจะชิน ไอ้ความรู้สึกปรารถนาของมนุษย์จะลดลง เพราะความรู้สึกของมนุษย์จะพิเศษเหมือนปลาโลมา คือมีการเคล้าคลอกันของ เพศหญิงเพศชายซึ่งมีผลในแง่ของจิตใจด้วย ขณะที่สัตว์อื่นๆ จะไม่เข้าใกล้กัน เลย ถ้าไม่ใช่ฤดูผสมพันธุ์ แล้วพอมีลูกก็แยกกันไปหรือไม่ก็ฆ่ากัน แต่มนุษย์ บางครั้งผู้หญิงอาจจะยังไข่ไม่ตก แต่ความรู้สึกใกล้ชิดระหว่างคนที่รักมันช่วย ในแง่จิตใจด้วย มันอาจเป็นภาระบางอย่างที่มนุษย์ต้องรับตรงนี้ไป
กิตติพล : ผลงานที่ตีพิมพ์ออกมาของคุณ ชอบงานชิ้นไหนเป็น พิเศษบ้าง? หรือถ้าให้วิจารณ์งานตัวเองมีข้อวิจารณ์อย่างไร?
ทินกร : ผมชอบหมดทุกงานนะ แต่ถ้าจะให้วิจารณ์ก็จะมีแบบว่า… 'เขียนไปได้ไงวะ?' แต่ก็จะมีแบบ 'เขียนไปได้ไงวะ ดีจัง' ด้วย เมื่อเราต้องโต ความคิดก็ต้องเปลี่ยนตลอดเวลาละครับ มันก็เป็นธรรมชาตินะ สำหรับการ ทำงานประเภทนี้คือโดยทั่วไปแล้ว เราก็อยากจะทำให้ดีขึ้น แต่จะดีหรือไม่ดีนั้น อีกเรื่อง ก็เราก็ไม่รู้ ซึ่งนี่อาจจะเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการทำงานศิลปะก็ได้
กิตติพล : ระหว่างเรื่องสั้นกับนิยายชอบงานเขียนประเภทไหนมากกว่า?
ทินกร : ไม่รู้สิ ก็ต่างกันนะ อย่างเรื่องสั้นนี่จะเสนอซับพล็อตก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ แต่ก็เป็นงานเขียนเหมือนกัน เหมือนการเขียนบทความก็เป็นงานเขียนเหมือน
กัน ก็เลยไม่ค่อยรู้สึกว่า จะชอบอะไรไปมากกว่ากัน และถ้าจะทำงานเขียนเรา ก็คงต้องอ่านงานของคนอื่นๆด้วย จะได้เห็นมุมมองที่ต่างไป หรืออย่างน้อย ก็จะได้เห็นว่าเขาก้าวไกลไปถึงไหนแล้ว ก็จะได้ให้ตัวเองรีบปีนป่ายขึ้นไปบ้าง ก็เป็นเรื่องของการแสวงหาความรู้และสร้างแรงบันดาลใจ มันยากที่นักเขียน จะไม่อ่านงานของใครเลย
กิตติพล : มีงานเขียนชิ้นไหนที่ถือว่าเป็นงานสำคัญขนาดที่เปลี่ยนแปลง
ชีวิตหรือมุมมองของคุณ
ทินกร : เป็นคำถามที่ตอบบ่อยนะ ก็คือตอนเด็กๆ ผมจะชอบงานของฮานส์
คริสเตียน แอนเดอร์สันมากเลย เดี๋ยวนี้ยังชอบอยู่แล้วก็อีกเล่มหนึ่ง มันมีแต่ละช่วงนะ บทเรียน ของ เฮสเส ความตายอันแสนสุข ของ อัลแบรต์ กามูส์ หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว ของ มาร์เกซ ความเบาหวิวเหลือทน ของชีวิต ของ มิลาน คุนเดอรา กลองสังกะสี ของ กุนเทอร์ กราส แต่ก็มีหนังสือ อื่นๆ ด้วย ก็อาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับจักรวาล ดาราศาสตร์ หรือปกรณัมต่างๆ แต่นี่เราพูดถึงในแง่วรรณกรรมที่จริงก็ยังมีอีกหลายเล่ม อย่างหนังสือ ฉันกับฬา ของ ฆวน รามอน เจมิเนซ ก็ชอบ
กิตติพล : คุณเคยคิดจะทำงานแปลบ้างไหม?
ทินกร : เคยมีคนเสนอให้ทำนะ แต่ก็ยังรู้สึกว่าอยากทำงานของตัวเองมากกว่า แปลนี่น่าจะเป็นงานในช่วงที่เราทำอะไรของตัวเองไม่ได้แล้ว คือไม่รู้สินะ คนอื่น
อาจะมีเวลาอาจจะทำได้ แต่ไม่รู้สิถ้าแปลอารมณ์ความรู้สึกต้องมาอยู่กับตรงนี้ แต่ตอนนี้อยากเขียนงานของตัวเองมากกว่า อย่างมีหลายเล่มอ่านแล้วชอบ แต่ก็
กลายเป็นแรงบันดาลใจมาเขียนของตัวเองมากกว่า
กิตติพล : แล้วถ้าจะมีงานแปลในชื่อของทินกร หุตางกูร งานเขียนจาก ต่างประเทศชิ้นนั้นจะเป็นของใคร
ทินกร : ก็มีซัลมาน รัชดีที่ตอนนั้นยังไม่เป็นที่รู้จักของคนไทยสักเท่าไรก็อยาก
จะแปลเหมือนกัน อ่านเรื่อง Midnight's Children ก็ชอบ เออคนไทยไม่ค่อยสนใจ งานของนักเขียนคนนี้ก็เลยอยากจะแปล แต่ก็ยังไม่ได้แปล
กิตติพล : คุณอ่านงานของนักเขียนไทยหรือเปล่า?
ทินกร : ก็มีนะ อย่างงานของ วีร์วิศ ผมก็อ่านนะ (หัวเราะ) งานเขียนไทยที่ อ่านมากที่สุดก็คืองานของเพื่อนๆกัน ก็คืออยากจะรู้ว่าเพื่อนเขากำลังคิดอะไรอยู่ บางทีเพื่อก็ให้มาอ่านเพื่อขอข้อคิดเห็น
กิตติพล : ขณะที่มีนักเขียนไทยพูดว่าอยากให้งานของเราแปลเป็น ภาษาต่างประเทศ แต่ก็มีนักเขียนต่างประเทศจำนวนหนึ่งที่มองว่า ไม่ว่าจะเขียนด้วยภาษาใด งานของเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้อยู่แล้ว มีความคิดเห็นต่อคำพูดนี้อย่างไรบ้าง?
ทินกร : ลึกๆ แล้วนักเขียนเกือบทั้งหมดคงอยากจะให้คนอ่านงานของเรา เยอะๆ คืออยากจะรู้ว่าคนอื่นคิดยังไงกับสิ่งเราเขียน คืออาชีพนักเขียนโดยเฉพาะ ในประเทศไทย เกี่ยวกับค่าใช่จ่ายนี่ก็เลิกพูดกันเลย มันก็คงอยู่กันลำบากมากถ้า เขียนอย่างเดียว ความสุขใจอย่างหนึ่งก็คือเรารู้ว่ามีคนที่รับได้นะ มีคนที่คิด เหมือนเรา อย่างคนที่อยากให้งานของเราแปลเป็นภาษาต่างประเทศ ก็เป็นธรรมดานะ ก็เพราะเราอยากจะรู้ว่าคนอื่นเขาคิดยังไง แต่มันอาจจะเป็น คนละแง่กับคนที่คิดว่าเขียนอะไรก็เป็นส่วนหนึ่งของโลก เป็นคนละจุดมุ่งหมาย เขาคิดในมุมที่ว่าเขาได้สร้างบางสิ่งให้กับโลกแล้วนะ เป็นอันหมดหน้าที่ของเขา เขาก็เก่งนะที่คิดแบบนี้ คิดแบบนี้ก็ดีมันทำให้เราสงบดี
ทินกร หุตางกูร ในโลกแห่งความจริง
วีร์วิศ : งานเขียนของคุณ จะเรียกว่าเป็นศิลปะของชนชั้นกลางได้หรือไม่?
ทินกร : น่าจะเป็นอย่างนั้น คือจริงๆ ผมก็ไม่กล้าพูดแบบนั้นนะ แต่ผมมองว่า งานเขียนของผม มีน้อยคนมากที่อ่านรู้เรื่อง มันเป็นงานที่มีลักษณะเฉพาะกลุ่ม อยู่เหมือนกัน ที่ว่าจะมีคนชอบก็ชอบ คนไม่ชอบก็ไม่ชอบเลย ถ้าพูดกันแบบ จริงใจหน่อย ก็คือในประเทศนี้หาได้น้อยนะที่งานเขียนจะเป็นของคน ในทุกชนชั้น ส่วนมากจะเป็นชนชั้นกลางนั่นละจะเป็นเป้าหมายหลัก ใหญ่ของคนที่จะอ่านงานประเภทนี้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนที่ไม่ใช่ชนชั้นกลางจะอ่าน งานของผมไม่ได้ เพียงแต่คนที่อาจจะมีฐานะต่ำกว่าชนชั้นกลางโดยทั่วไป เขาก็อาจจะมีเรื่องวุ่นวายอย่างอื่น การอ่านหนังสือไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ หรือถ้าสูงขึ้นไปเขาก็จะรู้สึกว่ามีช่องทางเขาอาจจะไปอ่านงานภาษาต่างประเทศเลย
วีร์วิศ : เป็นคำถามที่ชวนให้นักเขียนลำบากใจหรือเปล่า?
ทินกร : ไม่ได้ลำบากใจ แต่จะพูดยังไงดี จริงๆ แล้วไม่ต้องพูดถึงชนชั้นเลยก็ได้
เอาภาพรวม สังคมไทยก็ไม่ใช่สังคมที่อ่านหนังสืออยู่แล้ว ชนชั้นกลางเขาอาจจะ อ่านหนังสือเยอะสุด แค่ร้อยสองร้อยคนจากคนจำนวนมาก คนอ่านหนังสือ ส่วนใหญ่ก็เลยอยู่ในชนชั้นนี้
กิตติพล : หรือเพราะชนชั้นกลางมีกำลังในการบริโภค?
ทินกร : ครับ หรือเข้าใจได้ว่าเขียนอะไรอยู่ โดยเฉพาะคนที่อ่านหนังสือของผม ก็ไม่ต้องชนชั้นอะไรหรอก เอาเพื่อนกันเองนี่ละ ที่เรียนกันมาด้วยกัน ก็บอกว่า อ่านงานของผมไม่เห็นเคยจะรู้เรื่องเลย ก็โอเค มันเป็นเรื่องปรกตินะ
กิตติพล : แล้วเป็นไปได้ไหมที่จะนักเขียนจะเขียนงานโดยไม่ติดว่า คนอ่านจะต้องไล่ตามความคิดทุกอย่างได้หมด เพราะเราคงไม่สามารถ ให้ความกระจ่างกับทุกคนได้อยู่แล้ว
ทินกร : ที่จริงผมก็เขียนแบบนี้นะ แบบที่ชอบหนะก็ไม่สนใจหรอกว่าใครจะ
ต้องเข้าใจไหม ก็มีคนบอกให้ปรับมัน ให้เข้าใจง่ายขึ้น แต่ก็ไม่ได้ปรับ
วีร์วิศ : สำหรับงานเขียนของคุณที่ดูเหมือนกับต้องปีนบันไดอ่าน ถ้าเป็นเพลงก็ต้องปีนบันไดฟัง ในวันหนึ่งมันจะถูกจัดหมวดหมู่ไว้ที่ วรรณกรรมแบบไหน?
ทินกร : ผมไม่รู้ว่าโพสิชั่นมันต้องอยู่ตรงไหน? คือผมเขียนในสิ่งที่อยากเขียน และก็เหมือนกับนักเขียนโดยทั่วไปที่อยากให้งานขายได้บ้าง สงสารตัวเอง สงสารสำนักพิมพ์ แต่ถามว่าแรงพอที่จะให้เปลี่ยนไปเขียนแนวที่ไม่อยากเขียน
หรือเปล่า รู้สึกว่ายังทำไม่ได้ เพราะตัวเองก็พออยู่ได้โดยไม่ได้เดือดร้อนอะไรมาก มาย ทางสำนักพิมพ์ก็ยังยิ้มแห้งๆ ก็คือ คุณก็เขียนของคุณไป ต่างฝ่ายก็ยังไม่ลด ขั้นจากความสุขไปสู่ความรู้สึกในทางต่ำมากนัก ก็ยังโอเคกับสภาพตรงนี้ แต่พอเขียนเสร็จแล้ว ก็ไม่ใช่หน้าที่ของผม ตอนนี้ก็คิดแบบนี้ละ อาจจะเป็น เพราะตัวเองยังไม่มีแรงกดดันอะไร แต่เท่าที่มีบางคนที่รู้จักเป็นนักเขียนด้วยกัน
ก็มีที่ไม่รู้ว่าจะไปพิมพ์ที่ไหน ไม่มีรายได้ ไม่มีบ้าน เขามีแรงกดดันมากกว่า
วีร์วิศ : สิ่งที่เป็นโชคดีที่สุดและโชคร้ายที่สุดในชีวิตของ ทินกร หุตางกูร คืออะไร?
ทินกร : คือเกิดมาเป็นแบบนี้ก็โชคร้ายมากแล้ว แต่เปรียบกับคนทั่วไปก็ถือว่า
เลวร้ายน้อยมากเลย เออ มันก็เป็นโชคร้ายละ โชคดีมันคือว่า ผมก็สามารถใช้
ชีวิตเหมือนคนปรกติโดยทั่วไปได้ค่อนข้างมาก คือไม่ได้คิดว่าตัวเองจะ… มากมายนักเท่าไร ก็รู้สึกบ้าง ก็คือมนุษย์ มีบางอารมณ์บางเวลาที่…มันก็เซ็งว่ะ!
แต่ผมก็ผ่านจุดนั้นมาแล้ว พอถึงขั้นที่ว่า เราคิดเป็น เฮ้ย! มันเป็นแบบนี้ก็ต้องเป็น ก็รับสภาพไปก็พยายามแบบจัดการกับตรงนี้ให้ดีที่สุด
วีร์วิศ : ช่วงเวลาเลวร้ายที่ว่านี้ หมายถึงเมื่อไหร่?
ทินกร : ตอนวัยรุ่นนี่ละ เป็นจัดๆ เลย คือในช่วงที่อยากสนุกสนาน อยากไปไหน มาไหนคล่องแคล่วว่องไว มันก็มีบ้าง แต่ผมจะโชคดีที่มีคนช่วยเหลือเยอะ คือผมอาจจะไม่สามารถซื้อมอเตอร์ไซค์ ขับไปเที่ยว แต่ก็จะมีเพื่อนที่ดีๆมา ให้เราซ้อนท้าย จะไปไหนก็ได้ไป
ความโชคดีก็คือผมจะมีคนช่วยเหลือ โดยตลอดทุกขั้นตอนของชีวิต อย่างตอนนี้ก็ถือว่าโชคดีมากที่ได้มาเจอ นิด (แฟน) ทำให้ชีวิตผมปรกติ ถือว่าค่อนข้างปรกตินะ คือไม่ได้รู้สึกว่าตัวเอง…โอ้ย! มีอะไรมากมายนัก
วีร์วิศ : ช่วงวัยรุ่นของคุณเป็นช่วงที่ดูจะมีปัญหามากที่สุด และงานเขียนส่วนใหญ่ก็นำเสนอชีวิตของตัวละครในช่วงวัยรุ่นแทบ ทั้งนั้น มีส่วนสัมผัสกันไหม?
ทินกร : จริงๆ แล้วไม่ได้มีส่วนสัมผัสกันเลย คือว่า อย่างเมื่อกี้ที่บอกว่าเป็นช่วง
ที่แย่ที่สุด แต่จริงๆ แล้วก็แค่วูบวาบ โดยพื้นที่ที่เหลืออีกแปดสิบเปอร์เซ็นก็แทบ
จะไม่รู้สึกอะไรเลย ผมก็มีสิ่งชดเชยแบบที่เล่าให้ฟัง
วีร์วิศ : งานเขียนของคุณมมุมมองของความเป็นเด็กชายแฝงอยู่ เป็นผลจากการดูแลจากครอบครัวใช่ไหม ที่ทำให้งานของทินกรดู มีความเป็นเด็กหรือรักษาความเป็นเด็กไว้ได้นาน?
ทินกร : ผมไม่แน่ใจเกี่ยวกับการรักษาความเป็นเด็ก แต่ว่างานเขียนตัวละคร ของผมตั้งใจ เพราะผมชอบวัยเด็ก ซึ่งเป็นช่วงเวลาของความสดใส อุดมคติ และความสุข ก็จะมาขัดแย้งกับช่วงเวลาที่เราโตขึ้น อย่างวัยเด็กของตัวผมเอง ผมจะเป็นคนที่ค่อนข้างมีความสุขนะ หรือลึกๆแล้วผมอาจจะเป็นคนที่ ต่อต้าน ระบบหรือเปล่าไม่รู้ และอะไรที่มีใครบอกว่าทำไม่ได้ก็จะลองดู อย่างตัวละคร จอม ผมเองก็อยากจะทำให้มันเป็นตัวแทนของมนุษย์คนหนึ่ง อาจจะฟังดูโอหัง ไปหน่อย แต่ผมก็ไม่ได้มองว่าจะเป็นเด็กอายุเท่าไร แต่ชอบตัวละครอายุ ขนาดนี้ก็เพราะอยากจะเล่นกับตัวละครอายุขนาดนี้เล่นกับลักษณะที่แตกต่าง อย่างด้านหนึ่งตัวละครอยากเดินทางไปดูรุ้งกินน้ำ กับอีกด้านที่รับฟังข้อมูล หนักๆ ได้รู้ข่าวสารปลาวาฬโดนฆ่าก็รู้สึกเจ็บปวด ผมอยากจะเล่นกับการ กลับไปกลับมาระหว่างสองด้าน ไม่อยากเขียนงานที่เป็นสำหรับเยาวชนอ่านไป เลยอย่างเดียวเพราะถ้าจะกลับมาพูดในประเด็นหนักๆ ก็จะทำไม่ได้อีก
วีร์วิศ : คุณเป็นเด็กดื้อหรือเปล่า?
ทินกร : ก็มีบ้างนะ กับพ่อแม่ก็น้อยนะ แต่ก็ดื้อบ้าง แต่ไม่ใช่ดื้อแบบน่าเกลียด ผมอาจจะได้รับอิทธิพลจากพ่อด้วยมั้ง คือในตอนที่ผมโตนี่ก็มีปัญหาเรื่อง คอมมิวนิสต์ พ่อของผมซึ่งเป็นหมอก็มีความเห็นอกเห็นใจทางโน้นมากเลย ถึงกับร่วมกันตั้งพรรคการเมืองที่มีชื่อว่าพรรคพลังใหม่ ซึ่งเคยมี หมอประสาน ต่างใจ เป็นหัวหน้า แล้วก็ตอนผมเด็กๆ ก็จะมีคนมาที่บ้านแล้วก็คุยกันเรื่องการ เมือง ด้วยความเป็นเด็กก็ไม่ได้สนใจมากนัก แต่ก็ได้ยินบ้าง แล้วก็จะได้เห็น หนังสือที่พ่อเก็บเอาไว้ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาจะค้นบ้าน ก็ยังจำได้ว่ามีการขน หนังสือ ตอนที่ช่วงผมเป็นเด็ก พ่อเคยทำงานในโรงพยาบาลรัฐ เป็นข้าราชการ แต่พ่อก็ไปเขียน บทความลงหนังสือพิมพ์ไปด่าผู้ว่าฯ ผู้ว่าก็เลยจะย้ายพ่อจาก นครศรีธรรมราชไปกระบี่ พ่อไม่ยอมย้าย ก็ลาออกแล้วก็มาเปิดคลินิกส่วนตัว อย่างตอนที่มีปัญหาคนเข้าป่าก็มีคนลงมาเอายาที่บ้าน ไม่รู้สิ ผมก็เลยมองว่า สังคมที่มันเป็นอยู่อย่างนี้จะต้องแก้ไข และประเทศไทยเองก็ค่อนข้างเป็นพวก หัวเก่าไปเสียทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นกฎเกณฑ์ในการเขียน การเรียน การสอน เป็นกฎเกณฑ์ซึ่งผมไม่ชอบเอาเสียเลย ผมไม่ชอบพวกอนุรักษ์นิยม ผมก็เลย ต่อต้านมันหมดเลย ก็อาจจะสะท้อนออกมาในงานเขียนด้วย
วีร์วิศ : แล้วการนั่งรถเข็นนี่มีส่วนที่ทำให้จินตนาการของคุณกว้างไกล
เป็นพิเศษหรือเปล่า?
ทินกร : ผมไม่เคยตั้งคำถามกับตัวเอง คำถามนี้ แต่ถ้าพูดในหลักการทั่วไป คืออาจจะเป็นกฎแห่งความสมดุล ก็คือเสียอะไรไป อีกอย่างก็จะมีแรงเพิ่มขึ้น อย่างตัวผมเองอาจจะไปไหนมาไหนไม่สะดวก หลักธรรมชาติก็คือผมน่าจะมี
การใช้จินตนาการที่มากขึ้น การใช้บ่อยๆ ก็เหมือนกับการฝึกกล้ามเนื้อ หรือการฝึกทักษะในการเล่นดนตรี จินตนาการของเราอาจจะไปไกล แค่คิดนะ เป็นในแง่ของหลักเหตุผล ผมรู้สึกมีความสุขกับการจินตนาการ คือมีความสุข
กับมัน คือถ้าผมไปไหนมาไหนสะดวก ส่วนที่เราต้องจินตนาการก็จะน้อยลง
เราก็ได้ใช้ในสิ่งที่ตาเห็นมากกว่า
วีร์วิศ : นักเขียนร่วมสมัยส่วนใหญ่มักจะเขียนในเรื่องราวของตัวเอง หรือกระทั่งเปลี่ยนสถานภาพของตัวเองเป็นผู้เล่า แต่ในงานของคุณจะ ไม่มีอะไรเหล่านี้เลย เป็นเพราะอะไร
ทินกร : ใช่ครับ มันคงต่างกันตรงที่ว่า ชีวิตของผม มันไม่มีอะไรน่าสนใจ อย่างนักเขียนคิดว่าน่าจะเกินครึ่งด้วยซ้ำที่เขาเขียนเกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง อย่างมาร์เกซเรื่องที่เราคิดว่ามหัศจรรย์จริงๆ ก็มาจากเรื่องราวในบ้านของเขา
หมดเลย ผมอ่านนวนิยายชีวประวัติของเขา ก็ไม่น่าเชื่อเลย อย่างอะไรที่แปลกๆ เขาก็เคยเห็นมาแล้วนะ เขาอาจจะมาเสริมมันเข้าไปด้วยจำนวน อย่างมาร์เกซ
อาจจะใช้หลักในการคูณเพิ่ม มาร์เกซมองว่าเขาไม่ได้กำลังเขียนเรื่องเหนือจริง นะ เขาแค่เพิ่มอารมณ์ความรู้สึกให้กับเรื่อง อย่างในเรื่องฝนที่จะตกลงมาแค่ เดือนหนึ่ง เขาก็อาจจะเพิ่มเข้าไปเป็นสี่เดือนหรือปีหนึ่ง ในความคิดของมาร์เกซ
นี่เป็นแค่การลงน้ำหนักให้กับเรื่องราว แต่ผมก็งงมากเลยว่า ทำไมชีวิตเขาถึงได้ มหัศจรรย์ขนาดนี้ ผมอ่าน Love in the Time of Cholera เป็นชีวิตของ พ่อกับแม่เขาเลย พ่อที่ทำงานที่ไปรษณีย์เป็นนักไวโอลินและกวีไม่เคยมี งานเขียนรวมเล่มก็ไปช่วยโสเภณีเขียนจดหมายรักอะไรแบบนี้ หรืออย่าง ตัวละครที่มาโผล่ในงานเขียนของเขาจะเป็นตัวละครที่มาร์เกซเจอในตอนเด็กๆ อะไรแบบนี้ตลอด
สำหรับตัวผม ผมไม่คิดว่ามันมีอะไรที่สนุก เป็นสีสันของชีวิต คือพอ คิดไปถึงชีวิตตัวเองก็เรียบง่ายสบายๆ ก็เลยทำให้รู้สึกไม่อยากจะเขียนอะไร เกี่ยวกับตัวเอง หรืออีกอย่างหนึ่งก็คือผมสนุกกับการจินตนาการมั้ง ก็เลยมอง ตัวเองเหมือนพระเจ้าหรือนักสร้างหนังที่สร้างโลกอีกอันหนึ่งขึ้นมา แน่นอน แต่ละจุดที่เรายืนก็ส่งผลต่องานเรา ถ้าเราไม่ได้เกิดมาเป็นแบบนี้ งานมันต้อง ต่างอยู่แล้ว งานเขียนมันมีความน่าสนใจตรงที่แต่ละคนก็มีความต่างกัน
วีร์วิศ : สิ่งที่ทำให้คุณมีความสุขที่สุดคืออะไร เกิดขึ้นแล้วหรือยังไม่เกิด
ทินกร : ก็ยังไม่มีอะไรที่รู้สึก ผมลองมานั่งนึกดูว่าอยากได้อะไรจริงไหม? หรือ
อยากได้มากเลย โอเค ผมก็มีที่อยากได้อะไรที่งี่เง่าหน่อยก็คือทีวีจอพลาสม่า หรือคอมพิวเตอร์ความเร็วสูงอะไรแบบนี้ แต่ถ้าถามว่าเป็นเรื่องหลักๆ ใหญ่ๆจริง
ก็นึกไม่ออก เพราะผมก็รู้สึกว่าชีวิตจริง ที่เป็นอยู่ตอนนี้ โอเค
สิ่งที่อยากได้คงเป็นไปไม่ได้แล้ว ผมอยากจะเดินได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ แล้ว ผมอยากจะคิดให้ นิด แฟนผม เมื่อเขาแก่เฒ่าลงจะสบาย มีหลักฐานมั่นคง กว่านี้ ต้องเป็นแบบไหนนะถึงจะเรียกว่ามีความสุขมากๆ อาจจะเป็นในแบบที่ ผมได้ทำงานที่สุดยอดแล้ว อาจจะเป็นความรู้สึกว่าได้เขียนงานแบบนี้ละ
วีร์วิศ : แล้วจากจุดที่นั่งอยู่นี่มองไปยังโลกภายนอก ไม่ต้องไปไกล เอาแค่โลกรอบตัว คุณเห็นว่ามันเป็นอย่างไร
ทินกร : นั่น ผมว่ามันผิด ผมไม่เชื่ออะไรละ ผมไม่เชื่อระบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า เรากำลังจะไปไหน คือมองไม่เห็นทางเลยว่าระ