ร้านหนังสือเล็กๆ บนโลกใบใหญ่

ร้าน…
(ร้านหนังสือเดินทาง)
ถ้าพูดถึงร้านเล็กๆ อาจเป็นความใฝ่ฝันหนึ่งของคนหนุ่มคนสาวหลายคนที่คิดอยากจะมีร้านเล็กๆ เป็นของตัวเอง แต่จะเป็นร้านอะไรและอยู่ที่ไหน พวกเขาคงจะหมกมุ่นครุ่นคิดไปตามอารมณ์ฝันของตัวเอง ร้านกาแฟเล็กๆ ริมฝั่งแม่น้ำสักสายหนึ่ง ร้านขายโปสการ์ดในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ร้านขายของที่ระลึกในย่านตลาดเก่า ร้านขายเสื้อผ้า ร้านอาหาร ร้าน ร้าน และร้าน…
แต่จะมีใครสักกี่คนที่คิดอยากเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เป็นของตัวเอง คงมี… แต่อาจไม่มากนักเหมือนร้านที่กล่าวมา และอะไรคือแรงบันดาลใจทำให้พวกเขาคิดเปิดร้านหนังสือ ความเป็นมาเป็นไปของร้านหนังสืออาจซุกซ่อนอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ที่ปีกแห่งความฝันเป็นอิสระและพร้อมที่จะโบยบิน
แรงบันดาลใจเริ่มแรกก่อนจะมาเป็นร้านหนังสือเดินทางของผู้ชายชื่อหนุ่ม หรืออำนาจ รัตนมณี เกิดจากการตั้งคำถามหลังจากเข้ามาใช้ชีวิตทำงานประจำอยู่ในกรุงเทพฯ ว่าชีวิตที่ดีมันคืออะไร และมันมีชีวิตแบบนี้แบบเดียวหรือ ไม่มีชีวิตแบบอื่นอีกแล้วหรือในการที่จะมีชีวิตอยู่ พอเกิดคำถามบ่อยมากขึ้น เขาจึงคิดว่าน่าจะทำงานหาทุนรอนสักก้อนแล้วไปทำอะไรอย่างอื่น แต่บังเอิญได้ไปเห็นสถานที่ที่ถนนพระอาทิตย์ แทนที่จะรอจึงเลือกทำร้านหนังสือเดินทาง “ผมคิดว่าถ้าเริ่มก่อนมันน่าจะไปถึงปลายทางก่อน ถ้าเราต้องทนกับสิ่งที่เราไม่ชอบ ทำไมเราไม่ทนกับสิ่งที่เราชอบล่ะ ผมจึงเริ่มทำให้มันเป็นอาชีพจริงๆ ด้วยต้นทุนที่มีคือเราชอบอ่านหนังสือ ซึ่งเป็นต้นทุนที่คุ้มค่ามาก เพราะคำว่า ‘ชอบ’ หรือ ‘ใจรัก’ คือต้นทุนที่มีอยู่เดิมที่คุณจะรู้ว่าหนังสือเล่มนี้มีความเป็นมาอย่างไร ลูกค้าเข้ามาคุณก็มีเรื่องคุยกับเขา บางทีมันเป็นภูมิรู้ที่คุณต้องสร้างมาตลอด นี่คือหัวใจสำคัญสำหรับผมที่จะทำให้ร้านอยู่รอดหรือไม่รอด”
ความที่อยากทำร้านหนังสือตามแนวที่ตนถนัด บวกกับอารมณ์ของนักเดินทาง จึงกลายเป็นที่มาของชื่อร้านหนังสือเดินทาง “ตั้งแต่แรกคิดว่าจะขายหนังสือเกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยว ก็คิดว่าทำไมไม่ใช้ชื่อหนังสือเดินทางล่ะ ความหมายดีจะตาย หนังสือเป็นประธาน เดินทางเป็นกริยา หรือการนั่งอ่านหนังสือสักเล่มก็คือการเดินทางในโลกของตัวอักษร… แต่คำว่าเดินทางไม่ได้สโคปอยู่แค่หนังสือท่องเที่ยวหรือไก๊ด์บุ๊กอย่างเดียว มันนิยามไปในลักษณะที่ว่าหนังสือปรัชญาหรือวรรณกรรมดีๆ ที่อ่านแล้วรู้สึกว่าฉันต้องลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง หรือฉันอยากไปเห็นอะไรที่มันแตกต่างบ้าง ก็เป็นการเดินทางอย่างหนึ่ง หนังสือในร้านก็จะมีอารมณ์ประมาณนี้ คือเดินทางทั้งภายในและภายนอก”
๑๐ เดซิเบล และกิตติพล สรัคคานนท์ สองหนุ่มแห่งร้านหนังสือก็องดิด ที่เพิ่งเปิดเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๒ ริมถนนตะนาว ด้านหลังของอนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา เล่าถึงความคิดเกี่ยวกับการเปิดร้านหนังสือว่า “ผมมีสำนักพิมพ์ ก็คิดว่าถ้าเรามีร้านหนังสือของตัวเอง หนังสือคงมีพื้นที่วางได้เต็มที่ พอไปทำร้านที่ปายมันเวิร์ค ก็คิดว่าถ้ามีสามสี่สาขาน่าจะดี ถ้าผมทำคนเดียวหนี้ก็ท่วม จึงอยากให้เพื่อนมาช่วยแชร์ความเสี่ยง ยุให้เพื่อนคนนั้นคนนี้เปิดและขายแต่หนังสือของพวกเรา ผมคิดว่าสำนักพิมพ์เล็กๆ จะอยู่รอด” ๑๐ เดซิเบลเกริ่นนำ และส่งต่อให้กิตติพลพูดเสริม “เรามีสำนักพิมพ์เองน่าจะเป็นจุดเริ่มต้น แต่พอมาทำร้านหนังสือจริงๆ ก็พบข้อจำกัด เพราะนอกจากหนังสือของเราเอง เราก็อยากให้มันเป็นร้านหนังสือที่ดีด้วย พอดีมันอยู่ย่านถนนข้าวสาร หนังสือภาษาอังกฤษดีๆ วรรณกรรมดีๆ ที่เราเลือกมา ที่นี่ก็น่าจะเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่พวกนักเขียนได้มาสังสรรค์กัน กลายเป็นที่คุยงาน หรือกลายเป็นคาเฟ่ไปเลย ก็ลองจัดปาร์ตี้ มีดนตรีมาเล่นทุกวันศุกร์ โดยมีลักษณะเป็นพื้นที่ให้คนมาพูดกันถึงเรื่องหนังสือ เพราะบรรยากาศคนมานั่งผับแถวนี้เขาไม่มีหนังสือให้อ่าน เขาก็คุยกันเรื่องอื่น แต่พอเขามานั่งในร้าน เขากลับสนใจหนังสือ มานั่งดื่มกิน นี่คือสิ่งที่เรียกว่าการแชร์ เพราะธรรมชาติของคนมันหลากหลาย คนเขาอาจไม่ต้องการมาดูหนังสืออย่างเดียว แต่อยากมานั่งกินกาแฟ มานั่งเงียบๆ เขียนงาน ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ มันดีสำหรับเขา”
ถ้าเอ่ยถึงก็องดิด หลายคนคงจำได้ว่าก็องดิดเป็นตัวเอกในนวนิยายของวอร์แตร์ ซึ่งกลายมาเป็นชื่อร้านหนังสือ กิตติพลบอกว่า “ก็องดิดเป็นตัวละครที่น่าสนใจ เขาเป็นตัวละครที่มองโลกในแง่ดีตลอด อธิบายทุกอย่างตามสิ่งที่อาจารย์สอน ว่าเหตุการณ์ทั้งหมดมันเป็นไปเพื่อสิ่งที่ดีกว่า แต่น่าสนใจที่ว่าตอนจบของนวนิยายซึ่งผมคิดว่าเป็นปรัชญาของสิ่งที่เราทำคือ ก็องดิดบอกว่า ถึงแม้สิ่งที่อาจารย์พูดจะฟังดูดี แต่สุดท้ายเราก็ต้อง ‘กลับไปทำสวนของเราดีกว่า’ ก็องดิดเรียนรู้เกี่ยวกับโลกทุกอย่างมาแล้ว เขาจึงค้นพบคำนี้ ผมคิดว่าการเรียนรู้โลกกับการอ่านมันสำคัญ เพียงแต่ว่าก็องดิดไม่ได้อ่านหนังสือเพียงอย่างเดียว ผมอยากให้คนที่มาไม่ใช่มาเพื่อการอ่านหรือการพูดคุยแลกเปลี่ยนเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะเป็นสิ่งอื่นที่ร้านนี้รองรับอยู่ เป็นสังคม เป็นแวดวง มันก็คือโลกๆ หนึ่ง” คงเป็นเรื่องที่ดีหากร้านหนังสือเล็กๆ กลายมาเป็นโลกที่คนสามารถเข้าไปพลิกอ่านมันได้ตลอดเวลา
ในขณะเดียวกัน ร้านหนังสือเล็กๆ อีกหลายร้านก็ถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อรองรับหนังสือจากสำนักพิมพ์ของตัวเอง เช่น ร้านโกมลเกิดขึ้นเพราะต้องการรองรับหนังสือของสำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง หนังสือหายากในท้องตลาดหรือของกลุ่มองค์กรในเครือข่าย รวมถึงรองรับสินค้าทางเลือกด้วย ร้านหนังสือริมขอบฟ้า เดิมทีเป็นศูนย์ข้อมูลของสำนักพิมพ์เมืองโบราณ หลังจากก่อตั้งมูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์ จึงนำพวกเอกสารข้อมูลและสิ่งพิมพ์ต่างๆ ไปเก็บไว้ที่มูลนิธิฯ จึงเกิดความคิดในการตั้งร้านหนังสือขึ้นมาในช่วงปี ๒๕๔๘ ส่วนหนึ่งเพื่อรองรับหนังสือของสำนักพิมพ์เมืองโบราณ และขายหนังสือตามสโลแกน รอบรู้เรื่องเมืองไทย จำนงค์ ศรีนวล ผู้จัดการทั่วไปของร้านหนังสือริมขอบฟ้าเล่าถึงที่มาของชื่อร้านว่า “เป็นแนวคิดของคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ มาจากสาเหตุว่าท่านศึกษาด้านปรัชญาจีน ท่านเขียนหนังสือและสอนลูกหลานว่า เวลาจะคิดอะไรให้มองไกลๆ สร้างความหวังไว้ที่ริมขอบฟ้า เป้าหมายของเราอยู่ที่ริมขอบฟ้า และเราจะเดินไปให้ถึงตรงนั้น จึงเอามาตั้งชื่อ ร้านหนังสือริมขอบฟ้า”
แต่สำหรับร้านศึกษิตสยาม เป็นร้านหนังสืออีกแห่งหนึ่งที่คงอยู่มานานตั้งแต่ปี ๒๕๑๐ สุลักษณ์ ศิวรักษ์เปิดร้านหนังสือตรงสามย่านเพื่อเอาหนังสือต่างประเทศดีๆ เข้ามาขาย ปัญญาชนช่วงนั้นตื่นตัวกันมาก มีการจัดกิจกรรมศึกษิตเสวนา จนเกิดเป็นกิจกรรมทางปัญญา “ศึกษิตสยาม ไม่ใช่แค่ร้านหนังสือร้านแรกข้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยหรือตรงข้ามประตูวัด (หัวลำโพง) เท่านั้น แต่เป็นที่พบปะพูดคุยถกเถียงของนักคิดนักเขียน นิสิต นักศึกษา ศิลปิน พระสงฆ์องคเจ้า นักกฎหมาย นักการศึกษา ฯลฯ เป็นที่พบปะของปัญญาชนหลายสาขาอาชีพ เป็นที่สร้างความเป็นเพื่อนทางสติปัญญาของคนหนุ่มในวันเวลานั้น” ต่อมาทางจุฬาฯ เรียกที่คืน เลยมาเปิดร้านใหม่ตรงถนนเฟื่องนคร ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของสำนักพิมพ์มติชน วรนุช ชูเรืองสุข เล่าให้ฟังว่า “พอย้ายมาเปิดตรงนี้ มติชนเขาก็ย้ายไป ในเมื่อมีสำนักพิมพ์เองแล้ว อาจารย์สุลักษณ์จึงคิดทำสายส่งเคล็ดไทยด้วยเพื่อให้ครบวงจร เมื่อก่อนจะมีพี่สุดใจ เจิมศิริวัฒน์ ดูแลอยู่ พอเขาไปบวช ทางเคล็ดไทยก็รับไปดูแลต่อ เป็นหน้าร้านให้เคล็ดไทย และมีกิจกรรมศึกษิตเสวนา ซึ่งจะคุยกันเรื่องประเด็นทางสังคมเป็นหลัก บริษัทสวนเงินมีมาเริ่มเข้ามาดูแลตอนปี ๒๕๔๕ ก็ยังมีจัดเสวนาประจำทุกเดือน จนกระทั่งตอนหลังมันเหนื่อยก็เลยหยุด และช่วงนั้นจะมีเวทีเสวนาถี่มาก ที่ธรรมศาสตร์ก็มี ที่ร้านริมขอบฟ้าก็มี ที่ป๋วยเสวนาคารก็มี เยอะแยะไปหมด อีกสาเหตุหนึ่งคือเรารู้สึกว่าเสวนาบ้านเรามันไม่ต่อยอด พอจบเรื่องนี้ก็ไปเรื่องอื่น ไม่มีการเอาข้อมูลมาทำเพื่อให้มันพัฒนาต่อ ก็เลยเลิกทำ” อาจเป็นด้วยเหตุนี้ก็ได้ ที่ทำให้เสน่ห์ของร้านหนังสือเล็กๆ ที่เคยเป็นที่จัดงานเสวนาค่อยๆ ลดน้อยลง ซึ่งปัจจุบันเราพบได้น้อยมาก นอกจากร้านริมขอบฟ้าที่ยังคงมีประเด็นเสวนาสม่ำเสมอเป็นประจำทุกเดือน
ยังมีร้านหนังสือเล็กๆ อีกแห่งที่ตั้งขึ้นมามิได้เพื่อเป็นร้านหนังสือเพียงอย่างเดียว แต่มองว่าเป็นการสร้างพื้นที่ของการพูดคุยถกเถียงเหมือนย่านชอง เอลิเซ่ของฝรั่งเศส ที่เคยเป็นแหล่งรวมของพวกนักเขียนและศิลปินในยุคหนึ่ง ร้านนี้ซ่อนตัวอยู่ในบริเวณของเรือนร้อยฉนำ คลองสาน ชื่อร้านหนังสือของเรา หรือที่กิตติชัย งามชัยพิสิฐ กระซิบบอกว่าชื่อเต็มๆ คือ “บทสนทนาของเราในยามค่ำคืนอันมืดมิดและเหน็บหนาวจนเป็นดั่งแสงดาวส่องทางสู่สังคมใหม่ที่เป็นธรรมและยั่งยืน ที่ตั้งชื่อแบบนี้เพราะมันเป็นบทสนทนา ร้านหนังสือจะเป็นบทสนทนาของคนที่เข้ามา คือเป็นพื้นที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเพื่อไปสู่สังคมใหม่ที่ดีขึ้น เพราะหนังสือจะเป็นจุดเริ่มต้นในการสนทนา หนังสือไม่ได้เกิดมาเพื่อตัวมันเอง แต่เกิดมาเพื่อเป็นสื่อระหว่างคนเขียนกับคนอ่าน ระหว่างคนอ่านกับคนอ่าน เกิดเป็นความสัมพันธ์ใหม่ๆ ที่มันจะเป็นโลกของการปฏิบัติการอีกทีหนึ่ง” ร้านหนังสือของเราเริ่มต้นจากกิตติชัยและพัชรี อัจกูรทัศนัยรัตน์ ร่วมกันคิดทำและเลือกพื้นที่ตรงนี้ เพราะเป็นพื้นที่ซึ่งมีคนเข้ามาทำกิจกรรมต่างๆ อยู่เสมอ “มีพื้นที่ให้จิบกาแฟ มีหนังสือให้อ่าน และผมว่าร้านหนังสือไม่ควรรอนักอ่าน เพราะทุกวันนี้ร้านซีเอ็ด ร้านนายอินทร์ เขาบุกเข้าหาคนอ่าน แต่เราคงไม่ทำอย่างนั้น เราเลยคิดว่าต้องจัดงานขึ้นมา อย่างงาน ‘เทศกาลหนังสือของนักอ่าน’ ถือว่าเป็นงานแรก”
วาด รวี เคยทำร้านหนังสือใต้ดินอยู่บนชั้นสองของโรงหนังสยามช่วงปี ๒๕๔๖-๒๕๔๗ เผยถึงความคิดตอนทำร้านหนังสือว่า “ก่อนทำร้านผมทำสำนักพิมพ์สำนักหนังสือใต้ดิน บรรยากาศแวดวงช่วงนั้นยังชาจากพิษเศรษฐกิจ ไม่มีใครพิมพ์หนังสือ ช่อการะเกดก็เลิก พอมาพิมพ์เองมันทำให้เราได้เห็นรายงานเกี่ยวกับการจัดจำหน่าย ผมไปหาพี่กล้วย (ทิชากร ชาติอนันต์) ขอดูรายการยอดจำหน่ายวรรณกรรมโดยรวมมันขายไม่ได้ แต่เราก็พิมพ์มาเรื่อย จัดกิจกรรมบ้าง และเริ่มไปขายงานสัปดาห์หนังสือ ปรากฏว่ามันขายได้ ด้วยไอเดียที่เราพิมพ์เองขายเอง จึงชวนกันมาทำร้านหนังสือ อีกส่วนเป็นความอยากรู้อยากเห็นของผมด้วย ว่าทำไมงานวรรณกรรมมันขายไม่ได้ ผมค่อยๆ คลำทางไป ทำสำนักพิมพ์เองด้วย จัดจำหน่ายเองในบางช่วง แต่พอเราทำแล้วประสบความสำเร็จในงานหนังสือ ก็เกิดความมั่นใจว่าทำร้านมันน่าจะได้ เลยรวมกลุ่มเพื่อนๆ ชวนกันมาทำร้านหนังสือ”
อาจมีแรงบันดาลใจและความคิดหลากหลายที่ใครสักคนหนึ่งคิดจะลุกขึ้นมาทำร้านหนังสือ แต่สุดท้ายแล้วเหมือนแต่ละคนต้องการหาพื้นที่สักแห่งหนึ่งให้ตัวเอง บ้างอาจเพื่อหล่อเลี้ยงความฝันให้มันอยู่ได้ในโลกความเป็นจริง หรืออาจหล่อเลี้ยงความจริงให้ดำรงอยู่ได้ในโลกแห่งความฝัน
ร้านหนังสือ
(ร้านศึกษิตสยาม)
โลกของคนทำร้านหนังสือมีความเชื่อมโยงกับโลกของคนอ่านหนังสืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะถ้าไม่มีคนอ่านหนังสือแล้ว ร้านหนังสือก็คงดำรงอยู่ไม่ได้ หากเราลองสังเกตเวลาขึ้นรถเมล์หรือรถไฟฟ้า เราจะพบเห็นคนหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านกันมากขึ้น (ซึ่งแล้วแต่ว่าเป็นหนังสืออะไร) สิ่งนี้เป็นตัวบ่งชี้ให้พอมองเห็นวัฒนธรรมการอ่านของบ้านเราได้หรือไม่ หรือการที่ในสังคมยังมีคนลุกขึ้นมาเปิดร้านหนังสือกันอยู่ นั่นเป็นเพราะเขาพอมองเห็นแนวโน้มว่าโลกของคนอ่านหนังสือในสังคมอาจมีเพิ่มมากขึ้น? เราไปฟังบรรดาเจ้าของร้านหนังสือกันว่า พวกเขาเหล่านั้นมีมุมมองต่อวัฒนธรรมการอ่านอย่างไร
วรนุชผู้ดูแลร้านศึกษิตสยามมองว่า วัฒนธรรมการอ่านในสังคมไทยดูจะไม่ค่อยคืบหน้าไปเท่าไหร่นัก “เท่าที่มองเห็นนะ สมัยเรียนมัธยมและมหาวิทยาลัยฉันก็อ่านหนังสือเยอะ เพื่อนๆ เขาก็อ่านหนังสือกัน แต่ไม่รู้ว่าเด็กเดี๋ยวนี้เขาอ่านอะไร เพราะไม่ค่อยเห็นคนหนุ่มสาวเข้ามาที่ร้านสักเท่าไหร่ เลยไม่รู้ว่าการอ่านของเขามันขยายวงไปมากน้อยแค่ไหน อีกอย่างถ้าสังเกตดูจากกลุ่มลูกค้าที่มาซื้อหนังสือ เขาจะเป็นกลุ่มที่สนใจเฉพาะเรื่อง เช่น ถ้าเขาสนใจประวัติศาสตร์ เขาก็ดูเฉพาะประวัติศาสตร์ ไม่สนใจอย่างอื่นเลย เหมือนคนเข้าอินเตอร์เน็ตเขาก็จัดเป็นกลุ่มๆ ที่เขาสนใจ อะไรที่อยู่นอกขอบข่ายเขาจะปิดรับ ซึ่งคนเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นเยอะ อ่านเฉพาะที่ตนสนใจ ซึ่งฉันคิดว่ามันไม่ควรเป็นอย่างนั้น คือบอกว่าไม่อยากรับอะไรเยอะเดี๋ยวชีวิตจะสับสน ฉันว่าไม่ใช่นะ เพราะคนที่จะจัดการทุกอย่างให้มันลงตัว หรือจะพัฒนาศักยภาพของตัวเอง มันต้องสนใจทุกอย่างรอบด้านแล้วพิจารณาในภาพรวม” นั่นอาจเป็นเพราะว่าสังคมสมัยนี้คนมุ่งเน้นเรื่องเฉพาะด้านกันมากขึ้น
แต่สำหรับสุรพล ลีลาภาณุมาศ เจ้าของร้านหนังสือประตูสีฟ้า เขาเชื่อมโยงวัฒนธรรมการอ่านเข้ากับเรื่องการศึกษาที่ต้องแข่งขันกันอยู่ตลอดเวลา “การศึกษามันทำให้เด็กเรียนหนัก เด็กจึงไม่สามารถแบ่งเวลาไปอ่านหนังสืออย่างอื่น เพราะต้องติวเพื่อให้ทันคนอื่นอยู่ตลอดเวลา เด็กจึงไม่มีโอกาสได้หยิบเรื่องอื่นเลย หรือถ้าจะหยิบก็เลือกที่มันเบาสมอง ถ้าคุณให้เด็กเรียนแต่พอดี เขาก็มีเวลาไปหยิบอะไรที่มีประโยชน์ ทีนี้พอไม่มีเวลา เขาก็ต้องเลือกอ่านการ์ตูน หรือนิยายรักที่มันสดชื่นตามวัย เป็นเพราะการศึกษาสมัยนี้มันจึงทำให้วัฒนธรรมการอ่านเป็นอย่างนี้ อย่างเด็กอนุบาลครูก็ให้การบ้านแล้ว บ้าหรือเปล่า ยิ่งถูกบังคับเร็ว เด็กก็ยิ่งเกลียดการอ่านเร็วขึ้นเท่านั้น มีคนเคยบอกว่าควรให้เด็กเริ่มอ่านตอนป.๓-๔ ให้เขามีเวลาเลือกอ่านในสิ่งที่ตนชอบตามวุฒิภาวะของตน เขาก็จะอ่านไปตลอด หรืออย่างเมื่อก่อนมีเอ็นทรานซ์ครั้งเดียว ติดไม่ติดไม่เป็นไร แต่ตอนนี้มีให้ลองเอ็นฯ ได้สามครั้ง ยิ่งเครียดกันตลอดสามปีแทนที่จะเครียดครั้งเดียว คือระบบไปสร้างให้คนไทยไม่อ่านหนังสือ เรื่องเวลาในชีวิตคนไม่ค่อยมีมากกว่า ไม่ใช่คนไทยไม่มีนิสัยรักการอ่าน”
ขณะที่กิตติชัยจากร้านหนังสือของเรามองไปถึงเรื่องระบบการกระจายหนังสือที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมการอ่านของคนในประเทศ “พวกชมรมหนังสือสัญจรเคยเล่าให้ฟังว่า เวลาไปออกงานตามมหาวิทยาลัยมักมีคนถามว่า มีหนังสือแบบนี้ในประเทศไทยด้วยหรือ นั่นแสดงว่าการกระจายหนังสือของเราแย่มาก ไม่ค่อยมีร้านหนังสือขนาดเล็ก มีแต่ร้านขนาดใหญ่ที่ส่วนใหญ่ขายแต่หนังสือของตัวเอง การกระจายหนังสือของเราเป็นอย่างนี้ วัฒนธรรมการอ่านมันจึงไม่เกิด มันเกิดแต่พวกหนังสือขายดี วัฒนธรรมการอ่านของเราถูกกำหนดโดย เชนสโตร์ สำนักพิมพ์ และโดยวัฒนธรรมของเราเอง”
ทุกครั้งที่มีงานมหกรรมหนังสือหรืองานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ เรามักจะเห็นผู้คนหลายกลุ่มหลายวัยแห่แหนกันเข้าไปเลือกซื้อหนังสือภายในงาน ภาพที่เห็นเหล่านี้มันบ่งชี้ให้เห็นถึงวัฒนธรรมการอ่านได้มากน้อยแค่ไหนกัน วาด รวีบอกว่า “สำหรับผม งานสัปดาห์หนังสือมันเป็นลักษณะเทศกาล คือมันยังไม่ได้เป็นชีวิตประจำวัน ถ้าหนังสือหรือวัฒนธรรมการอ่านมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนจริงๆ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นอีกแบบหนึ่ง อารมณ์ของเทศกาลมันก็เป็นอีกแบบหนึ่ง แต่นี่มันเหมือนกับว่าวัฒนธรรมการอ่านหนังสือของประเทศยังเหมือนการไปเที่ยว เป็นเทศกาลปีละสองครั้ง เป็นฤดูกาล ชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ได้อยู่ในชีวิตประจำวันของคนส่วนใหญ่ นี่เป็นแง่ของพฤติกรรมคน ในแง่หนึ่งผมว่ามันสะท้อนภาพถึงปัญหาของระบบจัดจำหน่ายและปัญหาของระบบหน้าร้าน คือปัญหาของระบบหนังสือในประเทศไทยมันวิกฤตแล้ว นี่เป็นความเห็นของสำนักพิมพ์ที่เป็นผู้นำในวงการหนังสือด้วยซ้ำ เพราะระบบปกติตามร้านมันไม่สามารถตอบสนองได้ คนไม่สามารถอ่านหนังสือจากร้านได้จึงต้องไปที่งาน มันเป็นปัญหาของระบบหนังสือซึ่งเป็นเรื่องของระบบความรู้ด้วย ว่าเราจะกระจายความรู้นี่อย่างไรให้คนเข้าถึง”
วรนุชพูดถึงภาพที่เห็นจากงานสัปดาห์หนังสือว่า “คนเยอะจริง ยอดขายก็เพิ่มขึ้นถ้าดูตามปริมาณตัวเลข แต่ต้องลงไปดูว่ายอดขายหนังสือแนวไหนที่ขายได้เยอะ หนังสือแบบไหนที่คนสนใจกันมาก ก็จะเห็นว่าเป็นหนังสือกลุ่มวัยรุ่น นิยายรัก แฟนตาซีขายดีมาก เพราะกลุ่มวัยรุ่นเขามีกำลังซื้อมากกว่า เมื่อไรถ้าคุณจับตลาดวัยรุ่น คุณอยู่รอดแล้ว เพราะเขาซื้อโดยไม่ต้องคิดมาก” ดูเหมือนว่าวัฒนธรรมการอ่านของเราจะถูกกำหนดจากปัจจัยภายนอกหลายอย่าง ซึ่งแน่นอนรวมถึงปัจจัยภายในด้วย ถ้าเช่นนั้น คุณภาพในการอ่านของคนในประเทศล่ะ จะมีอะไรเป็นตัวบ่งบอกว่าดี-ไม่ดี เข้มแข็งหรือไม่ อำนาจ รัตนมณีบอกว่า “ถ้ามองจากงานสัปดาห์หนังสือปีละสองครั้ง คงชี้วัดแค่ว่า มีคนจำนวนหนึ่งไปที่งานหนังสือ แต่ถ้าเทียบกับจำนวนประชากรจริงๆ มันเป็นอัตราส่วนที่สรุปได้ว่า จริงๆ แล้วคนอ่านหนังสือในประเทศเรายังไม่พอ นี่ยังไม่พูดถึงคุณภาพหนังสือที่เขาอ่านว่าคืออะไรนะ ผมว่าหนังสือที่ทำรายได้มากๆ หรือบูธที่มีคนต่อคิวกันมากๆ อาจได้ในแง่ปริมาณ แต่ถามว่าหนังสือเหล่านี้จะอยู่นิรันดร์กาลมั้ย เป็นหนังสือที่อ่านกันรุ่นสู่รุ่นหรือเปล่า ส่วนตัวผมคิดว่าไม่ คงอนุมานได้ระดับหนึ่งว่าในเชิงคุณภาพมันยังไม่ได้ ผมว่าหนังสือที่ดีคือหนังสือที่เราอ่านแล้วอยากให้คนรุ่นลูกเราอ่านต่อ แต่หนังสือที่อ่านกันเยอะๆ ในเมืองไทยส่วนมากมันไม่ใช่”
กิตติพลบอกว่า “คุณภาพในการอ่านมันไม่ดีขึ้นหรอก เพราะการศึกษามันเป็นอย่างนี้ ความเป็นสแตนดาร์ดของประชาธิปไตยมันมีมากขึ้น แล้วการอ่านห่วยๆ มันก็มีมากกว่า เราต้องยอมรับว่าถ้าประชาธิปไตยเป็นแบบนี้ ความรู้ก็คงมีไม่มากนัก แต่เราก็ต้องให้โอกาสคนที่หันมาเป็นกลุ่มผู้อ่านที่ซีเรียสขึ้น เราทำได้แค่เปิดโอกาสให้เขาเข้ามา ยิ่งเราทำร้านหนังสือ เราต้องหาคำที่สั้นและง่ายมาอธิบายเขาว่าอะไรคือหนังสือเล่มนี้ ทำไมคุณต้องอ่านหนังสือเล่มนี้ สังคมมันเปิดให้คนได้อ่านมากขึ้น หนังสือมันอยู่กับเรานาน การจะอ่านหนังสือสักเล่มหนึ่งให้จบต้องใช้เวลา การจะอ่านหนังสือเล่มหนึ่งให้เข้าใจ บางทีมันต้องพึ่งหนังสือเล่มอื่นพอสมควร ความเข้มข้นมันทำให้เราต้องสนใจหนังสือมากกว่าหนึ่งเล่ม เป็นลักษณะของวัฒนธรรมการอ่านอยู่แล้ว”
วาด รวีอธิบายว่า “ถ้าพูดถึงวัฒนธรรมการอ่าน มีหลายคนพูดถึงตัวชี้วัดว่า สังคมนั้นมีวัฒนธรรมการอ่านแข็งแรงมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับหนังสือประเภทสารานุกรม ในสังคมไทยตอนนี้ถือว่ายังไม่แข็งแรง เพราะยังไม่มีหนังสืออย่างนี้ในระบบ ซึ่งพอมันมีทิศทางแบบนี้ ก็มีคนรู้สึกว่าคุณภาพการอ่านมันแย่ลง เพราะมันถูกกำหนดโดยตลาด โดยไม่มีนโยบายที่ชัดเจนของรัฐมากำกับให้มันเป็นการอ่านที่เป็นวัฒนธรรมความรู้ มันก็ไหลไปตามตลาดไหลไปตามความสนใจของกระแสหลัก ในแง่ของหนังสือซีเรียส คนอ่านมันอาจไม่ได้เพิ่มมากขึ้น แต่ความหลากหลายมันเพิ่มมากขึ้น มีหนังสือวรรณกรรมหลายเล่ม เช่น สานแสงอรุณ, UNDERGROUND, ช่อการะเกด, อ่าน, ฟ้าเดียวกัน ฯลฯ รสนิยมมันแตกกระจายยิบย่อยไปหมด แต่ก่อนคนอ่านกลุ่มนี้ทั้งวิชาการ ทั้งวรรณกรรมอาจเป็นคนคนเดียวกัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว”
สำหรับกิตติชัยผู้ริเริ่มร้านหนังสือของเรา พูดถึงวัฒนธรรมการอ่านที่เข้มข้นว่า “คือสังคมไทยตอนนี้เป็นสังคมที่ฟังความข้างเดียว ถึงจะมีเสียงอีกข้างก็ไม่ฟัง แล้วก็เป็นพวกสี่ขาดี สองขาเลว เช่นถ้าเป็นพวกนี้มึงเลว มันจึงไม่เกิดการถกเถียง ตรรกะเราไม่แน่น ประวัติศาสตร์เราไม่แน่น อ่านอนาคตของโลกไม่แน่น พื้นฐานทางจิตไม่แน่น ทำให้วัฒนธรรมการถกเถียงมันไม่อยู่บนฐานของความรู้หรือเหตุผลและการประเมินจริงๆ แต่ถ้าเราอ่านหนังสือมันจะเห็นประวัติศาสตร์ ผมเชื่อว่าถ้าวัฒนธรรมการอ่านของเราเข้มข้น มันจะเกิดการถกเถียง มีการเปิดโลกทัศน์ เกิดการพัฒนาทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ไม่ใช่รอฟังจากคนอื่นอย่างเดียว อย่างที่เราเคยได้ยิน สุ จิ ปุ ลิ คือตอนนี้เราฟังอะไรบางอย่างมากเกินไป แล้วไม่ได้สร้างวัฒนธรรมของการคิด หนังสือมันเป็นแค่วิธีการเรียนรู้หนึ่ง มันต้องฟัง แล้วก็ถกเถียงพูดคุย แล้วก็ทดลองปฏิบัติการ ถ้าวัฒนธรรมการอ่านไม่เกิด อย่างน้อยต้องส่งเสริมด้านอื่นที่ทำให้เกิดวัฒนธรรมการถกเถียงอย่างมีหลักการ ปฏิบัติให้เยอะๆ ไม่ใช่เดาหรือแสดงความคิดเห็นแล้วไม่รับผิดชอบต่อความคิดเห็นของตัวเอง ซึ่งในอินเตอร์เน็ตกำลังสร้างวัฒนธรรมแบบนี้อยู่”
กิตติชัยเสริมว่า “ผมคิดว่าหนังสือเป็นเครื่องมือหนึ่ง ยิ่งเราอ่านหนังสือมากเท่าไหร่จะยิ่งเกิดการถกเถียงที่สนุก ต่อยอดกันไป แต่ถ้าเราอ่านหนังสือเยอะแล้วไปดูถูกคนอื่น ไม่พูดคุยถกเถียงกับใคร ผมว่าไม่มีประโยชน์ เราขังตัวเองอยู่ในหนังสือ ไม่พูดคุยกับคน ไม่ปฏิบัติการ ผมเคยเห็นคนอ่านหนังสือเยอะ แน่นทฤษฎีมาก วิจารณ์ได้เป็นฉากๆ แต่ไม่ทำอะไร เพราะว่ามันทำไม่ได้ คือถ้าอ่านหนังสือแล้วไม่ปฏิบัติก็อย่าอ่านเลย ท่านพุทธทาสเคยบอกว่า พระนอนนี่ไม่ดี ต้องไปปฏิบัติ แต่ถ้าพระคุยกันนี่ไปนอนดีกว่า คือนอกจากไม่ได้ปฏิบัติแล้วมันยังฟุ้งซ่านอีก ที่สุดแล้วเป้าหมายของผมไม่ใช่ทำให้คนทั่วโลกอ่านหนังสือ แต่เป้าหมายของผมคือการทำให้คนลุกขึ้นมา เปลี่ยนแปลงสังคมให้มันดีขึ้น เปลี่ยนแปลงการเมือง เศรษฐกิจให้มันดี ให้คนมันเท่าเทียม ทำให้เศรษฐกิจมันเป็นเศรษฐกิจที่ไม่ทำร้ายผู้แพ้มากกว่า ผมเป็นหนอนหนังสือเพื่อการปฏิบัติการ ร้านก็เลยมีลักษณะแบบนี้ คือให้คนมาคุยกัน กลุ่มเป้าหมายเป็นคนที่ครุ่นคิดกับสังคม อยากทำอะไรให้สังคมตามแนวทางของตัวเอง ผมถึงชอบกลุ่ม Thai Poets Society มันไม่ใช่พวกนั่งอ่านกวีแล้วก็นั่งคุยกันเฉพาะกวี แต่มันไปอ่านกวีในที่สาธารณะ มันเอากวีไปให้คนอื่น ผมถือว่านี่คือ กวี”
แน่นอนว่า แม้หลายๆ คนจะมองวัฒนธรรมการอ่านในบ้านเป็นไปแบบนี้เรื่อยๆ อาจไม่ถือว่าดีมากนัก แต่ลึกๆ แล้วพวกเขาเชื่อเหมือนที่เรามีความเชื่อว่า ยังมีคนอ่านหนังสือกันอยู่ กิตติชัยบอกว่า “ยังไงหนังสือก็เป็นอาหารคลาสสิคสำหรับคนแสวงหาความรู้ อินเตอร์เน็ตหรือโทรทัศน์มันคนละอย่าง อย่างโทรทัศน์ผมว่ามันเป็นเหมือนฟาสต์ฟู้ด กินเร็วกินมากก็ท้องอืดท้องเฟ้อ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด ส่วนอินเตอร์เน็ต จริงๆ ผมก็บ้าอินเตอร์เน็ตนะ แต่ถึงที่สุดแล้วผมก็ต้องมานั่งอ่านหนังสือ แต่อินเตอร์เน็ตจะดีกว่าโทรทัศน์หน่อยตรงที่เราจัดการมันได้ คือผมเคยดาวน์โหลดหนังสือพวกวรรณกรรมคลาสสิคจากอินเตอร์เน็ตเยอะมาก แต่ไม่ได้อ่าน มันคนละอารมณ์ มันไม่เหมือนหนังสือ มันไม่ได้จับพลิก ไม่ได้ถนอม คือหนังสือมันจะมีกลิ่นของมัน บางเล่มไสกาวไม่ดีต้องค่อยๆ เปิด อารมณ์มันคนละแบบ คือเหตุผลที่เปิดร้านหนังสือ ผมคิดอยากจะเผยแพร่วัฒนธรรมการอ่านด้วยส่วนหนึ่ง เพราะหนังสือมันมีเสน่ห์ในตัวของมันเอง ถ้าเรามีร้านหนังสือเยอะๆ คนจะเข้ามาอ่านหนังสือกันเยอะขึ้น แต่ผมคิดว่าวัฒนธรรมการอ่านมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วในที่สุดร้านหนังสือก็จะอยู่ได้”
ร้านหนังสือเล็กๆ
(ร้านโกมล)
ความเป็นร้านหนังสือเล็กๆ จำเป็นต้องมีบุคลิกอะไรที่พิเศษแตกต่างไปจากร้านหนังสือใหญ่ทั่วไป ที่จะสามารถดึงดูดหรือชักชวนให้บรรดาหนอนหนังสือหันเหความสนใจของตนมายังร้านหนังสือเล็กๆ เหล่านี้ได้ อาจเป็นในแง่บรรยากาศของร้านที่ดูเป็นกันเอง มีเพลงเบาๆ มีกาแฟร้อนๆ และรวมถึงมีหนังสือที่อยู่ในความสนใจหนอนหนังสือ
ประโรม คณานุรักษ์ ผู้ดูแลร้านโกมลพูดถึงลักษณะของร้านหนังสือเล็กๆ ว่า “มันต้องสร้างความเป็นมิตรให้ได้ ควรจะมีลักษณะของมิตรต่อมิตร เป็นที่ที่คนรู้จักคุ้นเคยไปมาหาสู่กัน หรือพยายามสร้างบรรยากาศที่จะสื่อสารกับลูกค้าให้ได้ ผมว่าคนเราถ้ามีความเป็นมิตรมันก็ต้องเอื้อพยุงกัน บางทีลูกค้าอาจแนะนำคนขายบ้างก็ได้ พูดคุยกันด้วยมิตรภาพ” ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บรรยากาศของร้านหนังสือโกมลดูเรียบง่ายและเป็นกันเอง แม้จะเน้นขายหนังสือในแนวปรัชญา ศาสนา และวรรณกรรมเป็นหลักก็ตาม
ร้านหนังสือแต่ละร้านย่อมมีบุคลิกลักษณะที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของรูปลักษณ์หรือบรรยากาศในร้าน ร้านหนังสือริมขอบฟ้าจะมีบุคลิกแบบวารสารเมืองโบราณ เน้นหนังสือเกี่ยวกับความรอบรู้เรื่องเมืองไทย ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม การท่องเที่ยว ฯลฯ จำนงค์ ผู้จัดการทั่วไปบอกว่า “เรามีแนวคิดแบบนั้นอยู่แล้ว คือ มีสิ่งดีๆ ในเมืองไทยมาแนะนำให้ลูกค้าได้รู้จัก มีเอกสาร มีความเชื่อแบบนั้นอยู่ ซึ่งสมัยก่อนอาจจะเน้นเรื่องแนวคิดของการวิจัยแบบหนึ่ง แต่ตอนนี้มีเรื่องของชุมชนมากขึ้น หนังสือต่างๆ ที่หาไม่ได้ที่ไหน ก็มาหาได้ที่นี่” ส่วนหนึ่ง ร้านริมขอบฟ้ายังเป็นร้านหนังสือที่จัดงานเสวนาอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกเดือนซึ่งถือว่าแตกต่างจากร้านอื่น “คือร้านอื่นเขาจะมีจัดเป็นการเปิดตัวหนังสือ ซึ่งเราไม่ค่อยเน้นมากนักเพราะมันไม่ได้เนื้อหา ถ้าลงลึกในเนื้อหามันจะมีอะไรมากกว่า อย่างเช่น อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ชอบเรื่องชุมชน ท่านจะบอกว่าประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นมันอยู่ในชุมชน ก็พยายามไปเอาชาวมอญมาพูด เอาชุมชนชาวบางลำพูมาพูด ซึ่งคนเหล่านี้ไม่ใช่นักวิชาการโดยตรง แต่เป็นชาวบ้าน ส่วนใหญ่เราจะได้แนวคิดมาจากมูลนิธิฯ ในเรื่องของการจัดงานเสวนา”
ร้านศึกษิตสยามจะเน้นหนังสือไปทางด้านแนวจิตวิญญาณตามลักษณะหนังสือของสำนักพิมพ์สวนเงินมีมา รวมถึงวรรณกรรม เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ซึ่งมีลูกค้ากลุ่มผู้ใหญ่เป็นหลัก และมีโต๊ะกาแฟให้นั่งจิบบรรยากาศของร้านหนังสือ วรนุชบอกว่า “พอเราคัดหนังสือมาแบบนี้ มันก็เหมือนเป็นการสแกนลูกค้าไปในตัว บางคนเข้ามาในร้านพอดูหนังสือแล้วเขาก็รู้ว่าไม่ใช่ในแบบที่เขาต้องการ”
มีต่อ…