Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

รอไว้อ่านตอนอนุบาลก็สายเกิน

          มีตัวอย่างสนับสนุนความคิดของ อ. มาซาบุ ผู้เขียนเรื่อง กว่าจะถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว มากขึ้นเรื่อยๆ  เรื่องที่เด็กปฐมวัย (ก่อน 3 ขวบ) นั้นมีศักยภาพล้นเหลือ  สามารถเข้าใจดนตรีคลาสสิก บทกวี หรือภาพเขียนดี ๆ ของโลกได้  แหละเมื่อนำสิ่งใดไปป้อนให้ก็จะเกิดผลดีเป็นที่สุด  เนื่องจากเป็นช่วงเวลาสำหรับวางรากฐานอุปนิสัย สติปัญญา และความเฉลียวฉลาด  อันจะเป็นสิ่งกำหนดบุคลิกภาพและตัวตนของเด็กต่อไปในอนาคต
          เรื่องการอ่านก็เช่นเดียวกัน   หากพ่อแม่ได้อ่านหนังสือให้เด็กฟังตั้งแต่แบเบาะ  ทารกจะจดจำคำ เสียง รูปประโยค หรือวลีโดยการทำงานอันเยี่ยมยอดของสมอง  แต่ละเดือนที่เขาเติบโต  ความเข้าใจต่อหนังสือหรือภาษาจะขยายตัวเพิ่มทุกวัน  ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าจะให้ได้ผลเต็มที่ ควรมีวิธีเสริมแรงจากพ่อและแม่ด้วย  เช่น พูดคุยกับลูกเกี่ยวกับหนังสือที่อ่าน  ชี้ชวนดูภาพบ้าง หรือคิดเกมสนุก ๆ ค้นหาคำที่ซ้ำกันในแต่ละหน้าเป็นต้น  เพราะนอกจากแรงดึงดูดใจจากนิทานโดยตรงแล้ว  พวกเขาจะสนุกกับการเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติร่วมกับพ่อและแม่
เด็กที่พ่อแม่อ่านหนังสือให้ฟังเป็นประจำนั้นจะมีพัฒนาการทางภาษาเร็วและดีกว่าเด็กทั่วไป  ยิ่งพวกเขาได้ฟังมาก ก็จะสะสมและจดจำถ้อยคำไว้จำนวนมาก  แต่คำเหล่านั้นจะไม่ถูกเก็บแยกเป็นคำๆ  เรื่องเล่าซึ่งเกิดจากการลำดับความคิดผูกร้อยเชื่อมโยงจะช่วยให้พวกเขาเข้าใจภาษา  เข้าใจความหมายของสิ่งที่กลุ่มคำยืดยาวสื่อออกมา
         เด็กเล็กๆ จะเริ่มจดจำตัวอักษรก่อน บางคนแยกแยะนิทานเรื่อง ลูกหมูสามตัว กับหนูน้อยหมวกแดงได้ โดยการจำตัว น และตัว ม  ยิ่งเขาโตขึ้น ได้ฟัง(อ่าน)มากขึ้น  ก็จะยิ่งคุ้นเคยและเข้าใจภาษามากขึ้น  แต่การที่พวกเขาจะพูดจาฉะฉาน หรืออ่านออกเร็วกว่าเพื่อนวัยเดียวกันนั้น ไม่จำเป็นต้องพึ่งความรู้จากหนังสือเพียงอย่างเดียว  เขาสามารถหัดอ่านจากอย่างอื่นด้วย   ทารกคนหนึ่งรู้จักและสนใจรถยนต์จากหนังสือภาพ เมื่อได้ออกนอกบ้านกับพ่อแม่ก็ชี้ไปที่รถคันข้างหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจ พ่อจึงฉวยโอกาสนี้สอนเรื่องยี่ห้อรถยนต์  ปรากฏว่าหลังจากนั้นเด็กก็จดจำได้หมด  แม่บางคนสอนลูกอ่านป้ายข้างทาง  ไปรษณียบัตร หรือแม้แต่หนังสือพิมพ์  รวมทั้งฟังข่าวจากโทรทัศน์ด้วย แล้วก็ได้ผล
         เพราะเด็กเล็กจะเก็บรับทุกอย่างที่ได้พบเห็น ได้ยินได้ฟังทั้งหมด แม้จะไม่สามารถแยกแยะ  การอ่านหนังสือก็เหมือนกับที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ คือให้ทำซ้ำ ๆ จนคุ้นเคย และจดจำได้  พ่อแม่ที่อยากให้ลูกเป็นนักอ่านจึงไม่ต้องทำอะไรมาก นอกอ่านหนังสือให้เขาฟัง  อ่านนิทาน อ่านบทกวี บทกลอน หรือเรื่องเล่าดี ๆ ทุกวัน  พร้อมทั้งคอยสังเกตความสนใจของเขา  และไม่ลืมพูดคุย เรียนรู้ผ่านการเล่มเกมอักษร เกี่ยวกับหนังสือที่อ่าน  แล้ววันหนึ่งซึ่งคาดไม่ถึง เมื่อการประมวลผลอันเร้นลับในสมองน้อยๆ เสร็จสิ้น เขาจะอ่านหนังสือให้เราฟัง  เด็กน้อยวัย 3-4 ขวบอ่านออกแล้ว  ไม่ต้องสงสัเลยว่า ต่อไปเขาจะเข้าใจภาษาได้รวดเร็วปานใด 
        หากมัวรอจนเข้าอนุบาล นาทีทองของความสามารถเรียนรู้ทุกสิ่งก็แผ่วลงแล้ว

 

 

 

ภาพจาก : http://women.sanook.com/