มิตรจากลาว แม่หญิงดวงเดือน บุนยาวง

แม่หญิงดวงเดือน บุนยาวง เป็นคนลาวที่รู้จักเมืองไทยดีมาตั้งแต่เด็กๆ
สาเหตุหนึ่ง เพราะบ้านเกิดอยู่ใกล้เมืองไทยเพียงแค่น้ำโขงขวางกั้น
สาเหตุหนึ่ง เพราะคุณพ่อของเธอคือ มหาสิลา วีระวงส์ ปราชญ์คนสำคัญของชาวลาวซึ่งถือกำเนิดในเมืองไทย
สาเหตุหนึ่ง เพราะคุณแม่เป็นคนไทยซึ่งมีบรรพบุรุษอยู่ที่จังหวัดนครนายก และต่อมาพ่อและแม่ของเธอก็ได้ย้ายไปตั้งรกรากอยู่ในประเทศลาว และให้กำเนิดแม่หญิงดวงเดือนที่เวียงจันทน์เมื่อปี ๒๔๙๐
หากไม่ยึดหลักกฎหมายสากลเป็นบรรทัดฐาน แล้วนับกันแบบเครือญาติชาติพันธุ์ แม่หญิงดวงเดือนคือชาวต่างชาติที่เป็น “ญาติ” ใกล้ชิดที่สุดของคนไทยนั่นเอง
“คุณพ่อดิฉันเกิดที่จังหวัดร้อยเอ็ดและบวชเรียนที่อำเภออาจสามารถ จึงมีญาติมิตรในเมืองไทยมาก คนเหล่านี้จะส่งหนังสือไปให้ท่านอ่านเสมอ ดิฉันเองจึงได้อ่านไปด้วย เท่าที่จำได้ก็มี สังคมศาสตร์ปริทัศน์ สตรีสาร และหนังสือธรรมะชื่อ ทัมมะลักสุ
“ในวัยเด็ก ดิฉันได้รับการศึกษาในระบบคล้ายกับที่เมืองไทยมี ต่างก็แต่ระบบการศึกษาของลาวยุคนั้น ฝรั่งเศสเป็นผู้วางหลักสูตรให้ ประถมศึกษาจะมีตั้งแต่ ป. ๑-ป. ๖ ส่วนมัธยมศึกษามีตั้งแต่ ม. ๑-ม. ๗“
ขณะที่ดวงเดือนอยู่ในวัยเรียนนั้นเอง สถานการณ์ในภูมิภาคอินโดจีนก็ร้อนแรงด้วยเกิดสงครามขึ้นในภูมิภาค และในลาวเองก็เกิดการปฏิวัติรัฐประหารขึ้นหลายครั้ง
“ดิฉันผ่านสงครามกลางเมืองมาครั้งหนึ่งตอนเรียนชั้นประถม ช่วงนั้นต้องหยุดเรียนเพราะเกิดความวุ่นวายในเมืองหลวง พอเรียนจบชั้นประถม ดิฉันจึงไปเรียนต่อที่วิทยาลัยครูโดยไม่เรียนชั้นมัธยม ก่อนจะสอบชิงทุนรัฐบาลได้ไปเรียนต่อระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาฟิสิกส์นิวเคลียร์ที่ประเทศฝรั่งเศส พอเรียนจบก็มาสอนวิชาฟิสิกส์ เคมี อยู่ระยะหนึ่ง ในสถาบันเก่าซึ่งต่อมาได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยแห่งชาติ ก่อนจะได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาเอกในสาขาเดิมที่ฝรั่งเศสอีกครั้ง เพราะช่วงนั้นรัฐบาลลาวต้องการจะตั้งมหาวิทยาลัยแห่งชาติ จึงต้องการอาจารย์ระดับปริญญาเอก แต่ยังเรียนไม่ทันจบก็เกิดการปฏิวัติขึ้นในประเทศลาวเสียก่อน (ปี ๒๕๑๘) ดิฉันเลยต้องเดินทางกลับประเทศ
“ปฏิวัติครั้งนั้นคุณพ่อไม่ได้รับผลกระทบอะไร เพราะท่านเกษียณแล้ว อีกอย่างงานของท่านก็ไม่เกี่ยวกับการเมือง รัฐบาลใหม่ของลาวก็ให้ความสำคัญกับท่านและเชิญท่านเป็นที่ปรึกษากระทรวงศึกษาธิการ ดิฉันเองก็ไปทำงานที่กระทรวงเดียวกัน ก่อนจะย้ายไปอยู่กระทรวงวัฒนธรรมในเวลาต่อมา”
ดวงเดือนต้องเดินทางไปต่างแดนอีกครั้ง หลังแต่งงานในปี ๒๕๑๙ เนื่องจากต้องติดตามสามีไปทำงานด้านการทูตที่สหภาพโซเวียต (ปัจจุบันคือประเทศรัสเซีย) ต่อมา เมื่อดวงเดือนกลับจากโซเวียตได้สักพัก เธอก็ตัดสินใจลาออกจากราชการ หันมาทำงานอิสระแทน
“ดิฉันมาพบตอนหลังว่าชอบงานวิชาการและงานเขียนหนังสือมากกว่า เลยลาออกมาทำงานอิสระกับ ALC หรือ Action with Laos Children องค์กรเอกชนของญี่ปุ่น ซึ่งทำงานด้านหนังสือสำหรับเด็กในประเทศลาว”
ปัจจุบันดวงเดือนเดินทางข้ามไปมาระหว่างสองฝั่งโขงอยู่เสมอ ซึ่งนอกจากการมาเยี่ยมญาติในเมืองไทยตามปรกติแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งก็คือผู้จัดงานเสวนาทางด้านวัฒนธรรมในเมืองไทยมักเชื้อเชิญ “พี่เอื้อยดวงเดือน” มาร่วมงานในฐานะตัวแทนของชาวลาวอยู่บ่อยๆ
แน่นอน เมื่อไทยกับลาวอยู่ใกล้กันแค่คนละฝั่งโขง การกระทบกระทั่งย่อมเกิดบ่อยครั้ง โดยเฉพาะค่านิยมดูถูกเพื่อนบ้านของคนไทย ที่นักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ชี้ว่า เกิดจากการเรียนประวัติศาสตร์ชาตินิยมมานาน ทำให้สิ่งนี้ฝังอยู่ในความคิดโดยไม่รู้ตัว
ปัจจุบันปัญหาซึ่งเกิดจากค่านิยมเหล่านี้ก็เด่นชัดขึ้น เมื่อคนลาวสามารถรับชมสื่อไทยที่เผยแพร่ข้ามโขงไปถึงฝั่งลาวได้อย่างชัดเจน การออกข่าวว่าดาราไทยบางรายให้สัมภาษณ์ดูถูกแม่หญิงลาว การตีพิมพ์ข้อความที่กระทบกับแม่หญิงลาวของนิตยสารไทยฉบับหนึ่ง หรือกรณีการสร้างภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาล้อเลียนคนลาว แน่นอนทั้งหมดนี้กระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศค่อนข้างรุนแรง
เราจึงอดถามแม่หญิงดวงเดือนไม่ได้ว่า มีทัศนะต่อปัญหานี้อย่างไร
“ไม่ว่าเรื่องภาพยนตร์หรือละครที่ก่อความไม่พอใจระหว่างกัน สาเหตุอาจมาจากความไม่รู้ ความเข้าใจผิดในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ซึ่งนำไปสู่การดูถูก สื่อมวลชนไทยอาจเขียนอะไรไปโดยไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องเพียงพอ ทางแก้คือเราต้องสื่อสารกันมากขึ้นและเผยแพร่ข้อมูลเชิงสร้างสรรค์ให้มากขึ้น สื่อมวลชนไทยต้องทำการบ้านให้ดีก่อนจะเขียนหรือทำอะไรลงไป การมีมารยาทสำคัญมาก นอกจากนี้การให้ความรู้แก่ประชาชนทั้งสองประเทศให้เข้าใจกันมากขึ้นก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
“เมื่อเร็วๆ นี้ในลาวก็มีข่าวว่า อเล็กซานดร้า บุญช่วย บอกว่าถ้าเกิดเป็นคนไทยคงดังกว่านี้ ทำให้เธอต้องขอโทษคนลาว แล้วบอกว่าจริงๆ เธอไม่ได้พูด แต่สื่อมวลชนไทยเองที่ไปเขียนแบบนั้น นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด”
ดวงเดือนยังได้พูดถึงประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับลาวในแง่อื่นๆ อีกว่า
“ที่ผ่านมาคนไทยไปเที่ยวลาวเยอะ โดยเฉพาะที่หลวงพระบาง บางคนไปอยู่ที่นั่นไม่นาน ก็บอกว่ารู้จักลาวดี ทั้งที่จริงๆ หลวงพระบางเป็นเพียงส่วนหนึ่งของลาวเท่านั้น ดิฉันอยากให้คนไทยที่ไปลาว ทำความเข้าใจวัฒนธรรมลาวให้มากกว่านี้ ไม่ใช่เห็นการตักบาตรเป็นแฟชั่น แล้วก็มุ่งไปตักบาตรอย่างเดียวจนไม่ทำความรู้จักวิถีชีวิตคนลาว การท่องเที่ยวยังทำให้เกิดเรื่องไม่สมควร เช่น นักท่องเที่ยวไม่เคยเห็นพระอาบน้ำก็เบิ่ง (ดู) และถ่ายรูป
“ส่วนเรื่องประวัติศาสตร์ระหว่างลาวกับไทย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว แก้ไขไม่ได้ ถ้าต่างฝ่ายต่างศึกษาประวัติศาสตร์อย่างถูกต้อง ก็จะทำให้เข้าใจกันและกัน มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ถ้าคิดจะแข่งกันอย่างเดียวแล้วเอาประวัติศาสตร์มาใช้ข่มกัน ก็ยากที่จะเข้าใจกัน
“ต้องอ่านประวัติศาสตร์เพื่อที่จะรู้ว่าในอดีตเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่อ่านเพื่อเอามาโกรธกัน เช่น ไทยโกรธว่าพม่าเคยเผาอยุธยา ลาวโกรธว่าไทยเคยเผาเวียงจันทน์ มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น สมัยก่อนมีฝรั่งคนหนึ่ง เขาเป็นนักเขียน มาถามคุณพ่อดิฉันว่า ในฐานะที่คุณเป็นคนลาว โกรดบ่ที่เมื่อก่อนไทยเผาเวียงจันทน์ คุณพ่อตอบว่า “โกรดจะใดล่ะ มันผ่านไปแล้ว” คนเผาเวียงจันทน์ก็ตายหมดแล้ว เช่นกัน คนพม่าที่เคยเผาอยุธยา ปัจจุบันก็ตายหมดแล้ว
“ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องโหดร้าย แต่ในความโหดร้าย ถ้าเราทำความเข้าใจได้ เราก็จะอภัยให้กันได้ หลายคนไม่กล้าเล่าเรื่องบางเรื่องทั้งที่คับอกคับใจ คนรุ่นใหม่อาจไม่รู้ว่าสมัยสงครามเย็น สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดลงในลาวกินพื้นที่ถึง ๒ ใน ๓ ของประเทศ ปริมาณระเบิดมากถึง ๓ ล้านตัน มากกว่าที่อเมริกาใช้ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ เสียอีก คนลาวสมัยนั้นมี ๓ ล้านคน ดังนั้นเกิดมาก็มีระเบิดคนละ ๑ ตันเป็นมรดก คนกู้ระเบิดบอกบางทีอีก ๑๐๐ ปี ถึงจะกู้หมด เพราะมีอยู่ทุกตารางนิ้ว คนลาวบางคนยังไม่รู้เลยว่าตอนนั้นคนลาวแถบเชียงขวาง อัตตะปือ และสะหวันนะเขต ตายไปมากขนาดไหนในแต่ละวัน
“ฐานทัพเครื่องบินทิ้งระเบิดเหล่านี้อยู่ในไทย ในจังหวัดนครราชสีมา อุดรธานี พี่น้องบางท่านของคุณพ่อ ตอนนี้อายุ ๖๐ ปี บางคนเกือบเป็นบ้าเพราะไปทิ้งระเบิดที่บ้านปู่ย่าของตัวเอง แน่นอนโดยกฎหมายเขาเป็นคนไทย ต้องทำตามหน้าที่ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาก็มีญาติในฝั่งลาวด้วย เรื่องเหล่านี้อาจทำให้ความแค้นไม่หมดไปง่ายๆ แต่ดิฉันถามว่า แล้วจะแค้นไปเพื่ออะไร ในเมื่อมันผ่านมาแล้ว คนไทยบางคนก็ญาติแท้ๆ ของเรา อย่าง จินตหรา พูนลาภ คุณพ่อดิฉันก็เล่าว่าเป็นหลาน ตัวคุณพ่อเองก็เกิดที่ร้อยเอ็ด บางทีก็มีคำถามว่าท่านเป็นไทยหรือลาว “ของกินบ่กินมันเน่า ของเก่าบ่เล่ามันลืม” ที่ผ่านมาการเมืองระหว่างประเทศทำให้เราห่างเหินกัน จริงๆ เราไม่สามารถแบ่งแยกได้หรอกว่าไทยหรือลาว
“ในอุษาคเนย์ เราใกล้ชิดกันมากที่สุด ทั้งภาษาและวัฒนธรรม คิดดูว่าเราคุยกันได้ด้วยภาษาพูดแม้ว่าภาษาเขียนจะต่างกัน ซึ่งไม่มีประเทศในแถบนี้เหมือน ดิฉันจะดีใจมากถ้าไทยใช้แบบเรียนและประวัติศาสตร์ฉบับใหม่ที่ไม่สอนให้โกรธเพื่อนบ้าน ให้ข้อมูลที่จะช่วยให้สองประชาชาติเข้าใจกัน และใช้วัฒนธรรมเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างกัน
“อย่างไรก็ตาม ดิฉันเชื่อว่าคนรุ่นใหม่ของเราจะสามารถเข้าถึงและรับรู้ข้อมูลได้ดีกว่าคนรุ่นเก่า เพราะเขามีโอกาสอ่านหนังสือมากขึ้น ยิ่งในเมืองไทยมีสื่อเยอะมาก ถ้าให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ลาวจะดีขึ้นแน่นอน
“ความแตกต่างระหว่างลาวกับไทยตอนนี้คือ ดิฉันไม่ค่อยเห็นคนไทยใส่ชุดพื้นเมืองเข้าวัดแล้ว แต่ที่ลาว คนยังนุ่งซิ่นเข้าวัด ส่วนเรื่องที่เหมือนกันคือ เรากำลังเผชิญกับปัญหาลัทธิบริโภคนิยมที่รุกล้ำเข้ามา”
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจากนิตยสารสารคดี ฉบับที่ 260 > ตุลาคม 49 ปีที่ 22