Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

มองตลาดหนังสือไทยผ่านงานบุ๊กแฟร์

 

 
  ภาพนักอ่านทั้งเด็กเล็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ต่างพากันไปเลือกซื้อหนังสือจนศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ดูแน่นขนัด ภายในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติประจำปีนี้ ชวนให้ชื่นใจว่าคนไทยหันมาสนใจการอ่านกันเพิ่มขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้สงสัยว่า ความสำเร็จของมหกรรม(ลดราคา)หนังสือที่จัดขึ้นทุกปีนั้นจะเป็นตัวชี้วัดได้ว่ารากฐานการอ่านของคนไทยเข้มแข็งขึ้นจริงหรือไม่
       
       ผู้ที่จะบอกเล่าสภาพการณ์ของตลาดหนังสือไทยในปัจจุบันได้ดีที่สุด คงจะหนีไม่พ้นคนในแวดวงอาชีพคนทำหนังสือ "ผู้จัดการปริทรรศน์" จึงขอเป็นตัวแทนพามิตรรักนักอ่านไปสนทนากับบรรณาธิการ ผู้บริหารจากหลากสำนักพิมพ์ ตั้งแต่สำนักพิมพ์ขนาด S,M,L ไปจนถึง XL (และบางแห่งอาจเข้าขั้น XXL)
 
 
 
       บ้านพระอาทิตย์ – มติชน เติบใหญ่ใต้ร่มเงาหนังสือพิมพ์
       
       การขยายตัวจากธุรกิจหนังสือพิมพ์ไปสู่สำนักพิมพ์อย่างผู้จัดการ และมติชนที่มีความพร้อมด้านต้นฉบับจากหนังสือพิมพ์รายวันและรายสัปดาห์ จนดูเหมือนว่าสำนักพิมพ์ดังกล่าวอยู่ใต้เงื้อมเงาของหัวหนังสือพิมพ์ แต่สุดท้ายก็สามารถพิสูจน์ตัวตนได้จากผลงานหนังสือที่ตีพิมพ์สม่ำเสมอและได้รับการต้อนรับจากผู้อ่านเป็นอย่างดี
       
       สรกล อดุลยานนท์ เจ้าของนามปากกาหนุ่มเมืองจันท์ ผู้จัดการสำนักพิมพ์มติชน ให้สัมภาษณ์ท่ามกลางบรรยากาศคึกคักในบ่ายวันอาทิตย์บริเวณบูทสำนักพิมพ์มติชนในงานมหกรรมหนังสือ
       
       "ผมว่าคนในกรุงเทพฯ นี้พอแล้ว ปีละ 2 ครั้งนี่ถือว่าเยอะแล้ว แล้วก็ยังของสำนักพิมพ์ที่ไปจัดเองอีกต่างหากก็ถือว่าเยอะแล้ว แต่ในต่างจังหวัดต่างหากที่ผมรู้สึกว่าเขาน่าจะมีโอกาสอย่างนี้บ้าง ผมเป็นคนต่างจังหวัดผมรู้ดี เพราะหนังสือพวกนี้อาจจะไม่มีในร้านที่มีอยู่ในต่างจังหวัด" สรกลกล่าวถึงสภาวะอิ่มตัวของบุ๊กแฟร์ในเมืองหลวง ขณะที่ในต่างจังหวัดนั้นตรงกันข้าม และนั่นคือที่มาของการออกตะลอนทัวร์ตามภูมิภาคต่างๆ ของสำนักพิมพ์
       
       "การออนทัวร์มันไม่ได้ไปเหยียบสำนักพิมพ์เล็กเลยนะครับ คือสำนักพิมพ์เล็กร้านหนังสือก็ขายได้ หนังสือนี่เป็นสินค้ารสนิยม ถ้าคุณชอบงานของวินทร์ เลียววาริณ คุณมาอ่านงานของหนุ่มเมืองจันท์ก็ทดแทนวินทร์ไม่ได้ ถ้าคุณชอบชาติ กอบจิตติ คุณก็ซื้อชาติ กอบจิตติ คุณไปซื้อคนอื่นก็ทดแทนชาติไม่ได้ ปัญหาของมันก็คือว่าใครมีตรงนี้มากกว่ากัน ช่องทางจัดจำหน่ายเป็นเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลัก"
       
       ปกติแล้วยอดขายของสำนักพิมพ์มติชนในงานสัปดาห์หนังสือฯ จะสูงกว่างานมหกรรมหนังสือประมาณ 20% แต่ในปีนี้สรกลคาดว่า จะเป็นปีแรกที่ยอดขายในงานมหกรรมหนังสืออาจจะสูงกว่า ซึ่งเป็นผลพวงจากความสะดวกในการเดินทางมายังงานโดยรถไฟฟ้าใต้ดิน แต่สภาวะฟูเฟื่องเนื่องจากยอดขายหนังสือในงานบุ๊กแฟร์ที่สูงขึ้นทุกปี อาจทำให้ตลาดหนังสือดำเนินเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ได้
 
 
       "ถ้าวันหนึ่งดีมานด์มันมีอยู่แค่นี้ ถ้าซัปพลายมันเพิ่มขึ้นมามากเกิน มันก็มีโอกาสแตกตัว ยกเว้นอย่างเดียวคือดีมานด์มันเพิ่มทันกับซัปพลาย ก็คือว่า หนึ่ง กำลังซื้อ สอง คนรุ่นใหม่อ่านหนังสือมากขึ้น ดีมานด์กับซัปพลายก็จะบรรรจบกันพอดี ธุรกิจนี้มันเหมือนกับธุรกิจอื่นๆ ที่ต้องผูกโยงกับสภาพเศรษฐกิจโดยรวม ถ้าสมมติเศรษฐกิจดีไปเรื่อยๆ คนอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจนี้ก็ยังไปได้ดี แต่ถ้าวันหนึ่งเศรษฐกิจทรุดขึ้นมา ธุรกิจนี้ก็ต้องล้มหายตายจากไปอย่างธุรกิจทั่วๆ ไป ที่จะไปก่อนก็คือสำนักพิมพ์ที่สายป่านสั้น ที่สองก็คือสำนักพิมพ์ที่ไม่มีทิศทางเป็นของตัวเอง"
       
       แวะเวียนมาที่บูทสำนักพิมพ์ในเครือแมเนเจอร์กันบ้าง วิทยา ร่ำรวย บรรณาธิการสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ที่เน้นผลิตหนังสือแนวสารคดี และไลฟ์สไตล์ รวมทั้งชีวประวัติบุคคล (ขณะที่สำนักพิมพ์ผู้จัดการจะดูแลการผลิตหนังสือแนวเศรษฐกิจ) กล่าวถึงความคึกคักของนักอ่านที่มาเลือกซื้อหนังสือมากมายในงานว่า
       
       "จริงๆ มีหนังสือเป็นจำนวนกว่าครึ่งที่สามารถขายในร้านหนังสือแล้วดีกว่าขายตามงาน ผมมีตัวเลขอยู่ในมือผมบอกได้เลย เพราะฉะนั้นงานมหกรรมหนังสือก็จะมีหนังสือจำนวนหนึ่งสำหรับนักอ่าน แต่หนังสืออีกจำนวนมากที่เป็นหนังสือเฉพาะทาง เป็นหนังสือที่เหมาะสมเฉพาะกลุ่ม หนังสือพวกนี้ร้านหนังสือยังคงทำหน้าที่ในการกระจายหนังสือได้เป็นอย่างดี บางเล่มขายในงานหนังสือได้นิดเดียว แต่ขายในร้านติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ เพราะฉะนั้นมันมีการแยกกลุ่มของตลาดเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าคนทุกคนที่อ่านหนังสือจะมางานหนังสือ"
 
       เมื่อถามถึงทิศทางของการทำสำนักพิมพ์ในบ้านเรา วิทยากล่าวว่า
       
       "เราผลิตหนังสือออกมาจุดประสงค์สำคัญก็คือให้มีผู้อ่าน ทำยังไงก็ตามให้หนังสือมีคนอ่าน ถ้าเราผลิตหนังสือออกมาแล้วนี่ต่อให้มันดีเลิศวิเศษยังไง แต่มันไปอยู่ในโกดังหรือว่าหนังสือออกมาแล้วมันอยู่บนหิ้งก็ไม่มีความหมาย ในฐานะบรรณาธิการ ไม่ใช่แค่ผมหรอก บรรณาธิการทุกคนก็ต้องคิดว่าจะทำยังไงให้หนังสือเล่มนี้มีคนซื้อไปอ่าน
       
       วิทยาบอกว่าเขาไม่อยากเห็นคนทำหนังสือในบ้านเราวิ่งตามไปกับกระแสความสำเร็จของหนังสือแนวใดแนวหนึ่ง ทั้งที่ยังมีช่องว่างทางการตลาดอีกมาก
       
       "วงการหนังสือบ้านเรามันมีส่วนที่ดีของคนทำหนังสือ คือว่าตลาดมันไม่ได้เต็มแบบว่าหาช่องว่างกันไม่ได้ การที่เรามีจังหวะก้าวของกระบวนการทำหนังสือห่างจากเมืองนอกมาก อาจจะมีเหตุปัจจัยจากการพัฒนาของตัวสำนักพิมพ์เอง เช่น สำนักพิมพ์ของบ้านเราที่มีอายุมายาวนานมากๆ จะไม่ค่อยมีการพัฒนาและปรับปรุงตัวเอง มันมีการเกิดและการดับอยู่เรื่อยๆ บางทีก็เป็นเรื่องสาเหตุทางธุรกิจ หรือบรรณาธิการลาออกไปบ้าง เพราะฉะนั้นการเกิดการดับ การไม่มีการส่งต่อกัน ไม่มีรุ่นต่อรุ่นมารับช่วงงานกันทำให้สำนักพิมพ์มันไม่มีอายุยาวนาน พอไม่มีอายุยาวนานช่องว่างในการผลิตหนังสือของเราจึงช้ากว่าเขา"
 
 
       "ถ้าเราพูดถึงการแข่งขันด้านการตลาด ผมคิดว่างานหนังสือต่างจากโปรดักต์ตัวอื่นๆ ตรงที่ว่า มันไม่ใช่การแข่งขันเพื่อจะล้างหรือทำลายกัน แต่มันเป็นการเสริมกัน ถ้าเขาอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วติดใจ เขาก็ไปอ่านเล่มอื่นอีก เพราะฉะนั้นตลาดมันจะโตไปจากการแข่งขัน ซึ่งไม่ใช่แข่งขันให้คนอื่นล้มไป แต่เป็นการแข่งขันที่เพื่อให้ตลาดมันโตมากขึ้น "
       
       "ผมไม่เห็นด้วยถ้าจะผลิตหนังสือออกมาแล้วทำให้สังคมมันแย่ลง เพราะหนังสือผมถือว่าเป็นงานที่ให้ความคิด ให้ปัญญา อย่างหนังสือดาราที่เขียนดีก็มี แต่ดาราคือบุคคลสาธารณะ ถ้าดาราเขียนออกไปคนรุ่นใหม่บางทีรับ เป็นปัญหาของบรรณาธิการแล้วที่จะพิจารณาว่าสิ่งที่ดาราคนนั้นเขียนให้ประโยชน์ต่อคนอ่านมากน้อยเพียงใด ถึงแม้เรื่องที่ดาราเขียนจะเป็นการเอาเรื่องส่วนตัวมาเล่า แต่เมื่อไรก็ตามที่เขามาผลิตเป็นหนังสือมันไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแล้ว มันคือเรื่องของสังคม"
       
       อมรินทร์กับมือวางอันดับต้น ร้านหนังสือเครือข่าย
       
       ถ้าจะกล่าวถึงสำนักพิมพ์ที่มีร้านหนังสือเครือข่าย หรือเชนเป็นอันดับต้นๆ และมีกิจกรรมประชาสัมพันธ์สม่ำเสมอ ต้องมีชื่อของเครืออมรินทร์พรินติ้งอยู่ในนั้น องอาจ จิระอร รักษาการบรรณาธิการอำนวยการอมรินทร์พรินติ้งที่มีสำนักพิมพ์ในเครือนับสิบ แม้จะล่วงเข้าสองทุ่มแล้ว แต่วันนั้นองอาจก็ยังแนะนำหนังสือแก่ลูกค้าที่บูทนายอินทร์อย่างขะมักเขม้น แต่เขาก็ยอมวางมือจากการขายชั่วคราวมาพูดคุยถึงตลาดหนังสือให้ฟัง
 
 
       "ทิศทางคนอ่านหนังสือบ้านเรามากด้วยความหลากหลาย อย่างตอนนี้แนว suspense ของอมรินทร์ขายดี แต่มันก็ไม่ใช่ข้อที่จะมองว่าทั้งประเทศอ่านอย่างนี้ มันก็ยังมีของสำนักพิมพ์อื่นๆ ที่เขาขายดีพอๆ กัน เรามองว่าเราเป็นหนึ่งในทางเลือกของผู้อ่านที่เรานำงานแนวนี้มาตอบสนองเขา แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ละเลยนักเขียนของเราเอง ว่าทำยังไงจะมีที่ทางอยู่บนแผง ทำยังไงให้หนังสือมันสวยและมีคุณภาพ บก.ก็มีหน้าที่ไปเคี่ยวงาน นักเขียนเองก็ต้องทำงานหนักมากขึ้น แต่ว่าผลมันน่าชื่นใจนะ ในเมื่อคนเดินเข้ามาในงานหนังสือเยอะมาก เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่งานโชว์อย่างอื่นนะที่มีคนเยอะ แต่งานหนังสือที่มีคนเยอะหมายถึงว่าเขาต้องการอาหารสมอง หนังสือมันทำให้เกิดวิธีคิด จินตนาการ และมันคือการเดินทางราคาถูก เมื่อวันหนึ่งในอนาคตเราก็จะตระหนักรู้ว่าหนังสือมันเป็นต้นทุนของชีวิตได้"
       
       "ที่สำคัญก็คือแล้วร้านหนังสือล่ะ มันมีงานมหกรรมหนังสือสมมติเดือนเว้นเดือนแบบนี้ แล้วร้านหนังสือจะอยู่ได้ไหม มันก็เกิดคำถามนี้ขึ้นมา เราในฐานะสำนักพิมพ์เราจะบริหารร้านหนังสือได้ไหม เพราะเราก็มีร้านหนังสือเหมือนกัน นั่นก็คือทำยังไงให้ราคาหนังสือของที่งานกับที่ร้านเท่ากันในช่วงเวลาที่มีงาน ในการวางแผนปีหน้าของผม หนังสือที่เป็นไฮไลต์ของงานเราจะต้องวางราคาหนังสือให้ในร้าน ไม่ว่าจะเป็นร้านนายอินทร์หรือร้านอื่นเท่ากับที่วางในงาน ถ้าเราจัดสรรอย่างนี้ได้ มันไม่ใช่ปัญหาว่าจะมีงานหนังสือมากหรือไม่มาก แต่ว่าการมีงานหนังสือบ่อยๆ มันกระตุ้น สอง ข้อดีของงานหนังสือ คือ คุณหาหนังสือที่ไม่วางในร้านได้ เพราะว่าตอนนี้อายุการวางหนังสือในร้านมันสั้นมาก แป๊บเดียวก็หายไปจากแผงแล้ว งานนี้มันเป็นโอกาสที่คนจะมาหาหนังสือที่เขาอาจจะซื้อไม่ทัน"
       
       การทำงานแบบครบวงจรทั้งมีโรงพิมพ์ สายส่ง และมีร้านหนังสือในเครือจำนวนมาก ทำให้อมรินทร์ถูกมองว่าเป็นเครือสำนักพิมพ์ที่ได้เปรียบในแง่การตลาด
       
       "ถามว่าคนที่ทำร้านหนังสือด้วยกันทำสำนักพิมพ์ด้วยกันเป็นศัตรูกันไหม ไม่ใช่คู่แข่งขัน แต่เราเป็นคู่ค้า หนังสือของอมรินทร์เองก็วางร้านอื่น หนังสือของสำนักพิมพ์อื่นก็มาวางที่ร้านนายอินทร์ ปัญหาก็คือว่าคุณจะเป็นร้านหนังสืออะไรก็แล้วแต่สำคัญอยู่ที่ว่าเมื่อลูกค้าเดินเข้าไปในร้านมีหนังสือให้เขาเลือกตลอด จริงอยู่หนังสือบางเล่มอาจจะไม่มีในบางที่ มันก็อยู่ที่แผนกของร้าน อยู่ที่ทำเล การที่มีร้านเยอะๆ นี่มันก็ทำให้หนังสือที่ถ้ามองเป็นสินค้ากระจายได้ทั่วถึงและรวดเร็ว สอง การที่มีร้านเป็นของเราเอง โอกาสที่หนังสือของสำนักพิมพ์เราจะอยู่บนแผงได้นานก็มากขึ้น คนที่จะซื้อหนังสือของอมรินทร์อย่างน้อยเข้าไปร้านนายอินทร์ก็จะเจอ"
 
 
 
       เสียงจากสำนักพิมพ์เล็กๆ
       
       "จริงๆ ผมว่าหนังสือที่เป็นอยู่หรือหนังสือที่คนไทยเขียนขายยากมาก คนจะอ่านหนังสือของนักเขียนต่างประเทศเป็นหลักเลยตอนนี้ หรือแม้แต่สำนักพิมพ์เองก็ตาม หันมาเล่นหนังสือแปลกันเยอะมากในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกว่าหนังสือที่คนไทยเขียนจะน่าอ่านหรือไม่มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำให้มันน่าอ่านหรือเปล่า แล้วในแง่หนึ่งผมว่าร้านหนังสือที่เป็นอยู่ตอนนี้มันคือช่องทางระบายหนังสือของตัวเอง แล้วทำไมผมจะทำบ้างไม่ได้…" อำนาจ รัตนมณี เจ้าของร้านหนังสือเดินทาง ถนนพระอาทิตย์ หัวเราะก่อนจะเล่าถึงที่มาของการเปิดสำนักพิมพ์ของตัวเองต่อว่า
       
       "มันไม่ใช่ความผิดไง คือในโมเดลการทำร้านหนังสือที่ใหญ่โต ร้านนายอินทร์ก็ต้องขายในเครือของอมรินทร์บุ๊ก ซีเอ็ดก็มีสำนักพิมพ์ของเขา ผมว่ามันก็ไม่ผิดที่สำนักพิมพ์เล็กๆ จะเริ่มพิมพ์บ้าง ซึ่งผมว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ เมืองนอกเขาก็ทำกัน คือตอนทำสำนักพิมพ์เราก็คิดเหมือนกันว่าตลาดเป็นยังไง ก็ไม่ได้ปฏิเสธตรงนั้น แต่ว่าในแง่หนึ่งผมรู้สึกว่าเราก็ต้องยืนยันในสิ่งที่เราเป็นน่ะ ว่าเราเป็นอย่างนี้ เราเสนอทางเลือกให้ เราแคร์ยอดขาย เราคำนึงถึงวงจรทางธุรกิจไหม เราคำนึง แต่ในขณะเดียวกันเราก็ไม่ได้ลืมในสิ่งที่เราอยากทำ ในสิ่งที่เราอยากเป็น ก็เลยทำสำนักพิมพ์นี้ขึ้นมา"
       
       แม้จะบอกว่าไม่ใช่เรื่องยาก แต่การตั้งสำนักพิมพ์หนังสือเดินทางก็มีอุปสรรคเรื่องสายส่งหนังสือ
       
       "บริษัทเคล็ดไทยไม่มีหน้าร้านของตัวเอง แต่ว่าเขามีสายส่งที่รับหนังสือทุกแนวจากสำนักพิมพ์ หนึ่งพันหรือพันห้าร้อยเล่มเขาก็เอา แต่ประเด็นคือเขาไม่มีหน้าร้าน พอไม่มีหน้าร้านก็จะกระจายหนังสือได้ไม่ดีเท่าที่ควร หรือแม้ว่ากระจายไปแล้วตามร้านเขาก็จะไม่โชว์ให้เขาตามที่ควร เพราะมันเป็นหนังสือเรียกว่านอกค่าย คือระบบหนังสือมันเป็นระบบเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว หน้าร้านก็จะได้เปอร์เซ็นต์ ถ้าเกิดขายหนังสือของตัวเองก็น่าจะได้เปอร์เซ็นต์มากกว่า พื้นที่บนเชลฟ์มันมีค่า มันก็ต้องให้ตัวเองก่อนเป็นหลัก…" ส่วนซีเอ็ดนั้นแม้จะมีหน้าร้านมาก แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นหนังสือเชิงวิชาการ สุดท้ายอำนาจจึงเลือกให้อมรินทร์เป็นสายส่งแทน
       
       ถึงแม้ว่าจะเป็นสำนักพิมพ์ที่เพิ่งเริ่มตั้งไข่ แต่อุดมการณ์ของสำนักพิมพ์หนังสือเดินทางก็แน่วแน่และแจ่มชัดในตัวเองตั้งแต่แรกเริ่ม ดังเช่นทรรศนะของอำนาจที่มีต่อการทำหนังสือในปัจจุบัน
       
       "ผมไม่ได้บอกว่าหนังสือแปลมันไม่ดี แต่ว่ามันคิดได้ 2 แบบ คือว่าทำหนังสือออกมาเพื่อให้หนังสือนั้นอยู่บนเชลฟ์ เป็นหนังสือที่ดีและก็มีคนถามถึงตลอดไป กับสอง คุณจะทำเพื่อหวังผลกำไร แล้วผ่านไปสักระยะหนึ่ง หลังจากนั้นหนังสือเล่มนั้นก็ไม่มีใครแตะต้องอีกเลยหรือเปล่า มันคิดได้ 2 แบบ โจทย์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ คิดว่าส่วนใหญ่คนมองว่าตลาดตอนนี้เป็นยังไง ทำออกไปแล้วโอเคคุณได้ตังค์แน่ แต่ว่าหนังสือเล่มนั้นผ่านไปสักพักจะไม่มีคนหยิบอีกเลย มันแตกต่างกับหนังสือแปลอีกประเภทหนึ่งที่ทุกวันนี้ยังมีคนถามหาอยู่ คนทำเขาเก่ง คือมองโจทย์แตก แต่ว่าในแง่ของรายได้มันอาจจะเปรียบเทียบกันไม่ได้ก็ได้นะครับ แต่มันน่าเสียดายทรัพยากรที่คุณไม่สามารถต่อยอดให้คนอ่านรุ่นใหม่ๆ ได้เลย มันได้ชั่วขณะนั้นขณะเดียวเหรอ ผมรู้สึกว่ามันไม่ควรเป็นอย่างนั้น"
 
 
       มุมมองจาก "สามัญชน"
       
       "สามัญชน" สำนักพิมพ์ที่แม้ไม่ใหญ่โตแต่ก็ผลิตหนังสือคุณภาพสู่บรรณพิภพไทยตลอดระยะเวลา 15 ปี ภายใต้การดูแลของผู้ชายนาม เวียง-วชิระ บัวสนธิ์ ผู้ที่คนในแวดวงยอมรับในฝีมือการทำหนังสือ โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่อยากจะทำธุรกิจหนังสือซึ่งมักจะแวะเวียนไปขอคำแนะนำจากเขาอยู่เสมอ
       
       ดังนั้น ทัศนะว่าด้วยตลาดหนังสือของเขาจึงน่าสนใจรับฟังเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเอ่ยถึงการจัดงานบุ๊กแฟร์ สิ่งที่เวียงหนักใจก็คือผลกระทบที่มีต่อร้านหนังสือเล็กๆ
       
       "ทั้งหมดนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือว่ามันจะทำให้ส่งผลกระทบต่อผู้ค้าปลีกก็คือร้านหนังสือ โดยเฉพาะร้านหนังสือที่เขาไม่มีเครือข่าย ส่วนหนึ่งพวกเราคือผมกับรายการคนค้นคนก็เข้าไปพยายามเชียร์เดินสายไปจังหวัดโน้นจังหวัดนี้ เราต้องช่วยสนับสนุนคนเล็กๆ ให้อยู่ให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นมันอันตราย ทุนใหญ่เขาเข้าไปบุกรุก เราไม่ได้ทำธุรกิจการค้าในแง่ที่เสรีจริง ถ้าเสรีจริงคือมีเงินอยู่คนละ 10 ล้านเท่ากัน อย่างนี้ถือว่าเสรีจริง เป็นธรรม แต่นี่บางเจ้ามีเงินสักสี่ห้าแสน บางเจ้ามีเงินเป็นสี่สิบห้าสิบล้าน
       
       โดยเจตนารมณ์การจัดงานหนังสือของสมาคมฯ เขาก็อยากจะให้เป็นการพบกันระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค หมายถึงว่าสำนักพิมพ์ขายตรงให้กับผู้อ่าน ถามพี่ว่าเห็นด้วยไหม ก็เห็นด้วยระดับหนึ่งเท่านั้น ทุกวันนี้เขาจัดกัน 2 ครั้ง ซึ่ง 2 ครั้งสำหรับเราก็ถือว่ามันมากไป จริงๆ ก็เห็นด้วยกับการจัดสองครั้ง แต่ว่าสักครั้งหนึ่งให้เป็นการพบกันระหว่างผู้อ่านกับสำนักพิมพ์ แต่ว่ายังไงก็ตามการขายหนังสือของสำนักพิมพ์จะต้องไม่ไปทำร้ายหรือว่าลายระบบของร้านค้าปลีก แล้วอีกประเด็นหนึ่งก็คือเรากำลังมุ่งเน้นการขายกันเกินเลยหรือเปล่า ถามว่าโดยภาพรวมส่วนใหญ่สำนักพิมพ์พออกพอใจกันหรือเปล่าก็ต้องตอบว่าพอใจกันทั้งนั้นล่ะครับ เพราะว่ามันขายได้ แต่ว่าสิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือว่าคุณก็ไปฝึกพฤติกรรมผู้บริโภคอีกแบบ จากที่เขาเข้าร้านหนังสือเป็นธรรมชาตินิสัยของเขา ใช่หรือไม่ว่าเราก็เป็นส่วนหนึ่งในการไปเปลี่ยนพฤติกรรมเขาในการซื้อหนังสือ เขาก็มาซื้อหนังสือเป็นเทศกาล ตรงนี้ถามว่าคุณจะได้ผู้อ่านที่มีความรักในการอ่านต่อเนื่องจริงจังไหม ก็ตอบได้ว่าไม่ แต่เราก็พูดกันปาวๆ เรื่องให้คนไทยรักการอ่าน ก็เป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับพี่"
       
       เวียงมองว่าความสำเร็จของการจัดงานมหกรรมหนังสือหรือบุ๊กแฟร์นั้นไม่ได้หมายความว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จในการรณรงค์ให้คนรักการอ่าน
       
       "ขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้กรอบความคิดตรงไหนไปพิจารณาเรื่องนี้ ถ้าหากว่าคุณมองแค่ตัวตั้งว่าเรื่องภาพรวมต่อปี ถ้าปีนี้คุณขายได้ 3,000 ล้าน ปีหน้าขยับไปขายได้ 3,500 ล้าน แล้วคุณก็แฮปปี้นะ ผมว่าถ้าเมื่อไรคุณคิดอย่างนี้แล้วมันต่ำต้อยน่ะ แล้วมันก็ต่ำตื้นด้วย จริงๆ แล้วถ้าเมื่อไรคุณเอาเงินหรือตัวเลขยอดรวมเป็นคำตอบ คุณก็จะพาตัวออกไปจากความเข้าอกเข้าใจในการดำเนินชีวิต ซึ่งมันอันตรายมาก สำหรับผมคือว่าต่อให้ภาพรวมต่อปีคุณขายได้มากกว่านี้อีก 5 เท่า 10 เท่า ไม่ใช่คำตอบทางสังคมที่เป็นทุน"
       
       เมื่อถามถึงทิศทางแนวโน้มของตลาดหนังสือ เวียงบอกว่าเขากลับไม่เคยเป็นห่วงอะไรเลย เพราะเขาไม่เคยมองว่าหนังสือคือสินค้า และสำนักพิมพ์คือธุรกิจ
       
       "เราไม่เคยคิดว่าการทำหนังสือเป็นธุรกิจ เราคิดว่ามันเป็นรูปแบบการสร้างความสัมพันธ์กับโลก กับชีวิตกับเพื่อน มันน่าจะมีสายใยเชื่อมร้อยระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค มันไม่ควรอยู่ในมิติของผู้ผลิตและผู้บริโภคสินค้าทั่วๆ ไป ถ้าเราจะมองว่าหนังสือเป็นสินค้าชนิดหนึ่งก็ได้ ไม่เป็นไร แต่ต้องมีสำนึกว่ามันเป็นสินค้าพิเศษ เราจะต้องไม่เอาเปรียบเขา ถ้าคุณมีสำนึกตรงนี้ คุณจะไม่ตั้งราคาปกที่มันล้นเกิน คุณจะไม่ใช้วิถีทางธุรกิจที่ทำให้เพื่อนคุณเดือดร้อน ถามว่ามีอย่างนี้จริงๆ หรือเปล่า ขอโทษนะครับ สัก 100% ก็มีสัก 0.01 หรือ 0.02 เท่านั้น
       
       ถ้าจะถามหาปรัชญามันก็เป็นของมันอย่างนี้ ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้ซะแล้ว มันจะไม่มีเรื่องความสำเร็จหรือความล้มเหลว เพราะว่าเมื่อใดก็ตามที่เราทำหนังสือแล้วเรายังสนุก ฉะนั้นก็มีความสุขอยู่ในตัว ส่วนว่ามันจะขายได้หรือไม่ได้นั่นเป็นอีกกรณีหนึ่งที่ต้องพิจารณา หนังสือขายไม่ได้ ก็หยุดไปสิ แล้วก็ไม่ต้องตัดพ้ออะไร ใครไปบังคับให้คุณทำ ถ้าคุณไปหลงอยู่ภายใต้อำนาจของยอดขาย มันก็จะทำให้คุณผิดเพี้ยนไปได้ง่าย แต่เรารู้สึกว่าเงินไม่ใช่คำตอบของชีวิตแน่นอน ตราบใดก็ตามที่คุณทำงานแล้วไม่หมิ่นแคลนหยามหยันตัวเอง ไม่ละเมิดความรู้สึกเพื่อน ก็อนุญาตให้ตัวเองทำได้" เวียงกล่าวถึงปรัชญาการทำสำนักพิมพ์สามัญชนมาตลอดระยะเวลา 15 ปี
       
       …………………..
       
       มีผู้เคยกล่าวว่าอยากรู้ว่าใครเป็นอย่างไรให้ดูจากหนังสือที่เขาอ่าน ในขณะเดียวกันคุณภาพของนักอ่าน ก็ย่อมเป็นผลสะท้อนมาจากสภาพความเป็นไปของตลาดหนังสือด้วยเช่นกัน
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.manager.co.th/