ภาพสุดท้ายของ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์

วันที่ 31 มกราคม 2549 เราเดินทางกันด้วยความฉุกเฉินจากภูเก็ต มุ่งสู่นครศรีธรรมราช เพราะได้ข่าวแว่วมาจาก วิสุทธิ์ ขาวเนียม และสิระพล อักษรพันธุ์ ว่าเพื่อนนักเขียนของเรา กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ จะย้ายนิวาสสถานไปอยู่ทางเหนืออย่างถาวร
ในกล่องโฟมท้ายรถมีหมึกหอมสองกิโล และปลาตัวโตๆ สามตัวจากฝั่งทะเลอันดามัน เตรียมมาเพื่อเลี้ยงส่งเพื่อนเป็นครั้งสุดท้าย
ตลอดทางเราลุ้นให้เจ้าของบ้านอยู่บ้าน อย่าเพิ่งไปไหนเสียก่อน เพราะการมาครั้งนี้เป็นการมาอย่างไม่คาดฝันและไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า เราซึ่งหมายถึง ผม และเพื่อนนักเขียนอีกสามคน มีพี่เสน่ห์ วงษ์กำแหง พี่สมชายบำรุงวงศ์ วิโชติ ไกรเทพ และพลัง เพียงพิรุฬห์ ต่างพูดคุยกันมาในรถอย่างมีความสุขที่จะได้เจอเพื่อนและได้สร้างความแปลกใจเล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่เราจะอำลากันไปไกล
เมื่อเลี้ยวรถเข้าไปในตัวบ้านที่ พรหมคีรี เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว ภาพแรกที่เห็นทำให้เราใจชื้น ไฟรอบบ้านยังเปิดสว่าง รถปิกอัพคู่กายนักเขียนหนุ่มยังคงจอดอยู่ข้างบ้าน
เราเลี้ยวรถเข้าจอดไม่ถึงอึดใจ เจ้าของบ้านทั้งสองก็เปิดประตูออกมาต้อนรับ เราทักทายกันอย่างดีใจโดยไม่ทันได้สังเกตความผิดปกติ จนชมพูบอกว่ากนกพงศ์ เป็นไข้หวัดใหญ่ เพิ่งฟื้นได้นิดหน่อยวันนี้ (31 ม.ค.49) ไปให้น้ำเกลือที่คลินิกของหมอซึ่งเคยไปตรวจไข้เป็นประจำ
ผมจึงสังเกตเห็นว่าเขาผอมลงไปกว่าเดิมมาก
กนกพงศ์ เริ่มป่วยตั้งแต่วันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา จนกระทั่งถึงวันนี้ น้ำหนักลดไปห้ากิโล อย่างไรก็แล้วแต่ เขาก็ยังคงแสดงความสดชื่นและดีใจที่เพื่อนจากฝั่งอันดามันขับรถข้ามเขาหลวงมาเยี่ยมเยือน
เมื่อรู้ว่าพวกเรายังไม่ได้กินอะไรเพราะเตรียมตัวมาเลี้ยงส่งเขาเต็มที่ กนกพงศ์ก็หัวเราะ บอกให้ชมพูหญิงสาวคู่ชีวิตเข้าครัวติดไฟแกงส้มปลาหมอทะเลให้เรากิน เมื่อรู้ว่าเจ้าของบ้านป่วย พวกเราก็ช่วยกันเข้าครัว เป็นผู้ช่วยชมพูคนละไม้คนละมือ พี่เหน่ สับปลา วิโชติ ตำเครื่อง พี่สมชายและพลังช่วยกันก่อไฟ ส่วนผมเตรียมปิ้งหมึกและเผาปลา
ผมบอกกนกพงศ์ว่าทุกครั้งที่เรามาเยี่ยมเยือน เขาต้องทำอาหารให้เรากิน ไปเก็บผักกูดที่ริมลำธาร ตำเครื่องเอง อย่างมีความสุขที่ได้ต้อนรับเพื่อน
แต่วันนี้เขาทำไม่ไหว พวกเราจึงขอทำอาหารเลี้ยงส่งเขาตอบแทนบ้าง แต่พวกเราทำไม่เก่งเท่าเขาจึงทำได้แค่ปิ้งหมึกกับเผาปลาเท่านั้นเอง เขาหัวเราะ บอกว่านั่นเหมาะแล้วสำหรับคนที่ทำกับข้าวไม่เป็น
พอคุยเรื่องย้ายบ้าน เขายิ้มขำๆ พลางบอกว่าไม่รู้จะได้ย้ายเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าสิ้นปีนี้ก็อาจจะยังไม่ได้ย้าย ที่พวกเราได้ยินข่าวนั้นก็แค่จะไปดูลาดเลา และพาชมพูไปเยี่ยมบ้านที่เชียงรายเท่านั้นเอง อาจจะไปสร้างบ้านไว้หนีความชื้นของที่นี่ยามหน้าฝนก็เป็นได้ การมาเลี้ยงส่งเราจึงกลายเป็นการมาเยี่ยมไข้เพื่อนโดยมิได้ตั้งใจไปโดยปริยาย
ผมถามเขาว่าแล้วมีโปรแกรมอย่างไรอีกนอกจากนั้น กนกพงศ์บอกว่าหลังจากกลับจากเชียงรายก็จะแวะร่วมงานของเพื่อนที่กรุงเทพฯ ทำธุระเรื่องหนังสืออีกนิดหน่อยก็กลับนครเหมือนเดิม
ขณะที่เราปรุงอาหารกนกพงศ์ก็ขออนุญาตนั่งที่เก้าอี้ เอนคุยกันเรื่องต่างๆ เขาบอกผมว่าช่วงนี้อยากเขียนหนังสือ เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาทำงานเขียนได้ลื่นไหลมาก ได้เรื่องสั้นถึงสี่เรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องพิเศษมากสำหรับคนทำงานช้าอย่างเขา กนกพงศ์พูดยิ้มๆ แล้วตบท้ายว่า ในสี่เรื่องไม่รู้จะใช้ได้สักกี่เรื่อง
คืนนั้นหลังจากอิ่มหนำกันดีแล้วเราก็แยกย้ายเข้านอนกันตอน ห้าทุ่มซึ่งถือว่ายังหัวค่ำมากสำหรับผม แต่ด้วยความเกรงใจเจ้าของบ้านที่ยังไม่ฟื้นไข้ดี จึงรีบเข้านอนไว้คุยกันต่อพรุ่งนี้
เช้าวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เราตื่นกันแต่เช้า กนกพงศ์และชมพูก็ตื่นแต่เช้า ผมปิ้งหมึกที่ยังเหลือเมื่อคืน และเผาปลาเป็นอาหารเช้า กนกพงศ์สดชื่นกว่าเมื่อวานมาก เดินออกมานั่งคุยกับพวกเราที่ลานทรายหลังบ้านพูดจาหยอกล้อกันอย่างมีความสุข ชมพูบอกว่าพวกเรามาทำให้กนกพงศ์สดชื่นขึ้น
ผมน่าจะอยู่ต่ออีกสองสามวัน พอกนกพงศ์หายแล้วจะได้ขับรถไปส่งที่ภูเก็ต แล้วก็จะได้ถือโอกาสดูหนังดีๆ สักเรื่องสองเรื่อง แต่ด้วยติดภารกิจเราจึงไม่อาจจะอยู่ต่อได้
กนกพงศ์บอกผมว่าเดือนมีนาคมนี้มีทริปเดินป่ากรุงชิง ซึ่งผมยังไม่เคยไป ถ้าผมไปด้วยคราวนี้เขาจะพาไปดูฉากบ้านร้างในเรื่องสั้นชื่อบ้านคนตาย ซึ่งเป็นเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งในหนังสือรวมเรื่องสั้นใหม่ชุด โลกหมุนรอบตัวเอง ของเขา ผมเคยบอกกนกพงศ์ว่าอยากไปดูแบบบ้านหลังนั้นที่เขาบรรยายไว้ในเรื่องสั้น เพื่อนำมาทำเป็นแบบกระท่อมเขียนหนังสือของตัวเองบ้าง
เขาพูดถึงนิตยสารเรื่องสั้น ราหูอมจันทร์ เล่ม 1 เกือบเสร็จแล้ว ต้นฉบับจัดหน้าอยู่ที่พี่เล็กภรรยาของพี่จำลอง ฝั่งชลจิตร นัดส่งต้นฉบับจัดหน้าให้พี่เจนวันที่ 6 กุมภาพันธ์นี้
เช้าวันนั้น กนกพงศ์กินหมึกหอมได้สองสามชิ้นและกินไข่ลวกได้หมดฟองพร้อมทั้งซุบที่ชมพูทำมาให้
ผมบอกเขาว่าคนที่น้ำหนักลดเยอะๆ ต้องกินโปรตีนเข้าไปทดแทนให้มาก โดยเฉพาะไข่ขาวจะช่วยให้มีแรง และอย่าลืมกินวิตามินซีด้วยจะทำให้หายหวัดได้เร็วขึ้น
ก่อนจากพี่เหน่เขียนกลอนให้ผมอ่านให้เจ้าบ้านฟังสองบทว่า
เยือนบ้านกนกพงศ์
ชุมไฟฟืนชุกขึ้นปลุกเช้า ควันเฝ้าอ้อยอิ่งทิ้งกองก่อ
ตะวันฉายแสงฉานขึ้นผ่านทอ หอมห่อปลาเผาเคล้าถ่านไฟ
บ้านสวนร่มเย็นเป็นที่รัก พำนักพรักพร้อมหอมข้าวใหม่
กินข้าววงล้อมหอมน้ำใจ ครั้งได้มาเยือนเพื่อนรักเรา
เสน่ห์ วงษ์กำแหง
(ตัวแทน) กลุ่มวรรณกรรมภูเก็จ
31 มกราคม – 1 กุมภาพันธ์ 2549
———————————-
พวกเราลาเจ้าของบ้านทั้งสองมาตอนบ่ายสองโมงกว่าๆ โดยไม่รู้ว่านั่นเป็นการลาครั้งสุดท้าย ก่อนจากมาผมจับแขนเขาแล้วบอกว่าพักผ่อนเยอะๆ ค่อยเจอกันอีก ผมยังจำภาพเจ้าของบ้านทั้งสองโบกมืออำลาพวกเรา เป็นภาพสุดท้ายในวันนั้นได้ดี
จากนั้นเราต่างมาใช้ชีวิตตามวิถีของแต่ละคน โดยไม่สังหรณ์ใจแม้แต่น้อย ว่าเพื่อนกำลังเดินทางไกลสู่อีกภพภูมิ โดยที่เราไม่มีวันจะได้เจอกันอีกเลย
สายของวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พี่เหน่ ส่งเอสเอ็มเอสมาบอกว่า กนกพงศ์ เสียแล้วเมื่อเช้านี้ เพราะน้ำท่วมปอด
ทันทีที่ได้รับข้อความ ผมชาไปหมดทั้งตัว รู้สึกว่าชีวิตและความคิด มันถูกกระชากออกมาจากวิถีสามัญประจำวัน ลอยๆ โหวงๆ อย่างไรบอกไม่ถูก ในใจยังคงปฏิเสธข่าวที่ได้รับ ผมโทรไปเช็คกับเพื่อนๆ นักเขียนอีกสองสามคน ปรากฏว่ามันเป็นเรื่องจริง
เรื่องจริง จริงๆ ว่า กนกพงศ์ สงสมพันธ์ เพื่อนรักของเราได้จากพวกเราไปแล้วเมื่อเช้านี้
———————————-
หมายกำหนดการฌาปนกิจศพ
กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ นักเขียนซีไรต์ ปี 2539
ตั้งศพ ณ วัดพิกุลทอง ต.ชะมวง อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
การเดินทางด้วยรถไฟ : ลงที่สถานีพัทลุง แล้วเหมารถที่สถานีมายังวัดพิกุลทอง ค่ารถประมาณ 200 บาท
การเดินทางด้วยรถทัวร์ : มารถทัวร์สายกรุงเทพฯ-พัทลุง หรือกรุงเทพฯ-สตูล ก็ได้ ลงที่แยกโพธิ์ทอง (ถนนสายเอเชีย อ.ควนขนุน จ.พัทลุง วัดพิกุลทองอยู่ห่างจากถนนสายเอเชียประมาณ 200 เมตร ติดต่อรายละเอียดที่ เจน สงสมพันธุ์ 0-15621520 ชมพู 0-40623766
ตั้งศพตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2549 – 25 กุมภาพันธ์ 2549
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา 17.00 น.สวดพระอภิธรรม 20.00 น.ดนตรี, หนังตะลุง
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา 17.00 น.สวดพระอภิธรรม (สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ) 20.00 น.ดนตรี
วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา12.30 น.พระธรรมเทศนา 13.00 น.สวดมาติกาบังสุกุล 13.30 น.ทอดผ้าบังสุกุล 14.00 น.กิจกรรมวัฒนธรรมไว้อาลัย
16.00 น.ประชุมเพลิง ———————————-
เพื่อนอาลัยเพื่อน หลังพายุฝนพราก กนกพงศ์ สงสมพันธุ์
งานเปิดตัวอัลบั้มเพลงชุด ใต้ ลม รัก ของ วงสะพาน เมื่อวันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ณ ร้านโอลด์เล้ง บรรยากาศแม้จะดูคึกคักเป็นพิเศษ แต่เพื่อนพ้องนักเขียนและแฟนเพลงเพื่อชีวิตต้องตกอยู่ภายใต้ความโศกเศร้าอาลัยกับการจากไปอย่างกะทันหันของ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ นักเขียนซีไรต์กลุ่มนาคร ผู้ร่วมก่อตั้งวงสะพานสมัยเล่นตามมหาวิทยาลัยตั้งแต่ปี 2529
กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ เกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2509 ที่อำเภอควนขนุน จังหวัดพัทลุง จบมัธยมศึกษาจากโรงเรียนพัทลุง หลังจากนั้นเข้าศึกษาต่อ สาขาวิชาบริหารธุรกิจ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ทว่าไม่จบ และออกมาทำงานด้านสำนักพิมพ์ในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนหันไปใช้ชีวิตคลุกคลีกับชาวบ้านแถบเทือกเขาหลวง จังหวัดนครศรีธรรมราช
ผลงานเขียนของเขามีทั้งบทกวีและเรื่องสั้น บทกวีบทแรก 'ความจริงที่เป็นไป' ตีพิมพ์ในสยามใหม่ ขณะเรียนชั้นมัธยมต้น (2523) เรื่องสั้นเรื่องแรก 'ดุจตะวันอันเจิดจ้า' ตีพิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์ ขณะเรียนชั้นมัธยมปลาย (2527) เขาเป็นสมาชิกยุคก่อตั้งของ กลุ่มนาคร ที่ทำงานด้านศิลปะวรรณกรรมอันสำคัญของภาคใต้ และปี 2532 เรื่องสั้น สะพานขาด ได้รับรางวัลเรื่องสั้นช่อการะเกด และคัดเลือกแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น ปี 2533 ผลงานรวมเล่มบทกวี ป่าน้ำค้าง (2531) รวมเรื่องสั้น สะพานขาด (2534) คนใบเลี้ยงเดี่ยว (2535) และเรื่องสั้น โลกใบเล็กของซัลมาน (2535) ได้รับรางวัลเรื่องสั้นช่อการะเกดอีกครั้ง ส่วนรวมเรื่องสั้น แผ่นดินอื่น ก็ได้รับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ปี 2539
หลังจากรวมเรื่องสั้น แผ่นดินอื่น ได้รับรางวัลซีไรต์เมื่อปี 2539 เขาก็ไม่ผลงานวรรณกรรมออกมาอีกเป็นเวลานานเกือบ 10 ปี กระทั่งปี 2548 ที่ผ่านมา เขาเปิดตัวด้วยผลงานรวมเรื่องสั้น โลกหมุนรอบตัวเอง การกลับมาอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเขาพร้อมที่จะพรั่งพรูพลังทางวรรณกรรมที่เก็บสะสมมายาวนานออกมาเต็มที่ แต่น่าเสียดายที่เขาต้องมาด่วนจากไปเสียก่อน
และก่อนหน้าที่ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ จะเดินทางไปสู่ 'แผ่นดินอื่น' เมื่อเช้าของวันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2549 ที่โรงพยาบาลนครินทร์ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ด้วยโรคปอดชื้น กระทั่งติดเชื้อและเสียชีวิตลงในวัยเพียง 40 ปีนั้น เขามีกำหนดการจะเดินทางมาร่วมงานเปิดตัวอัลบั้มเพลงชุดใหม่กับสมาชิกของวงสะพาน นั่นคือ พีชพงศ์ พิทักษ์ และสุเมธ สอดจิตต์
การสูญเสียนักเขียนฝีมือฉกาจฉกรรจ์ของวงการวรรณกรรมครั้งนี้ ทุกคนในวงวรรณกรรมย่อมรู้สึกกันดี และยิ่งเป็นคนที่เคยได้สัมผัสและร่วมชีวิตกับเขา น่าจะมีอะไรลึกๆ บอกเล่าความรู้สึกถึง กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ผู้เข้าไปนั่งอยู่ในใจของเขาตลอดกาล…
———————————-
ชาติ กอบจิตติ : จากซีไรต์ถึงซีไรต์ผู้ล่วงลับ
"ผมทราบตอนแรก ตกใจ นึกว่าอำกันเล่น ไม่เคยตกใจอย่างนี้มาก่อน สงสัยอำกันแน่ๆ ไม่เชื่อ โทรเช็คดูตกลงว่าจริงหรือเปล่า ถึงรู้ว่าเป็นจริง รู้สึกเสียดายคนยังหนุ่ม กำลังเขายังจะขับได้อีก ยังเขียนยังพัฒนางานเขียนไปได้อีกมาก อย่างนิยายเราก็ยังไม่ได้เห็น รู้สึกเสียดายทั้งคนและก็งานด้วย เพราะเป็นเพื่อนเป็นน้องกัน
นิสัยเขาเป็นคนชอบอำ ตลก บางทีเขาเขียน ส.ค.ส.มาให้ก็ตลกดี งานเขียนของเขาเหมือนกำลังอยู่ในช่วงพีค พักหลังเชื่อว่าเขาจะต้องผลักงานตรงนี้ออกมา ผมยังคอยดูอยู่ เหมือนกับว่าเขายังพัฒนาได้ไม่ถึงที่สุดของเขา ยังได้แค่ครึ่งทาง กลางทาง เพราะงานเหล่านี้มันต้องวัดกันทั้งชีวิต นิยายก็ยังไม่ได้เห็น หรือว่ารูปแบบการเขียนของเขาอาจจะเปลี่ยนไป ตอนนี้เขาจะเก็บรายละเอียด งานเขียนเล่มใหม่ของเขาจะอ่านเพลิน ซอกแซก เหมือนกำลังจะเปลี่ยนอะไรบางอย่าง
เท่าที่ได้เจอกันก็ไม่ค่อยได้คุยเรื่องงานเรื่องการ คุยขำ คุยอำ บางทีมีมุขมาเล่า เขาเป็นคนเล่ามุข ผมประทับใจเขาในบุคลิกอย่างนั้น คือเราเป็นคนชอบอำ ชอบกินเหล้าเฮฮา เวลาเจอกันไม่คุยกันเรื่องงาน
ผมได้เจอกับเขาครั้งสุดท้ายที่กรุงเทพฯ แวบๆ แต่ไม่ได้ทักทายกัน ตอนนั้นยังไม่เห็นเป็นอะไร พูดถึงเรื่องนี้อยากฝากไว้เหมือนกันว่า บางทีเรานึกว่าเราไม่เป็นอะไร ไม่ได้ไปตรวจ เสร็จแล้วโรคพวกนี้มันฝังอยู่ข้างใน พอมาตรวจเจอก็ช้าไปแล้ว มันไม่ใช่เรื่องบุญวาสนาหรอก มันเป็นเรื่องการดูแลตนเอง ถ้าเกิดเขารู้ว่าเป็น เขาอาจจะรักษาแต่เนิ่นๆ หรือหาหมอดีๆ ไม่ต้องถึงขนาดนี้ เสียดายทั้งชีวิตและงานที่เขาจะทำ โดยเฉพาะนักเขียน ตอนนั้นผมก็เคยเจอกับตัวเอง ตับแข็ง ถ้าเราปล่อยไว้นานสัก 5 ปี จะแข็งจนรักษาไม่ได้แล้ว ตอนไปตรวจเจออาการเพิ่งเริ่ม ตอนนี้กินยาหายแล้ว
เรื่องนี้จะเป็นบทเรียนให้แก่พวกเรา เรื่องการดูแลรักษาตัวเอง"
———————————-
หงา คาราวาน : เพื่อนเพลงเพื่อชีวิต
"ผมได้เจอเขากับแฟน ทั้งคู่ก็น่ารัก คือบ้านเขาไม่มีโทรศัพท์ติดต่อได้เลย ต้องติดต่อไปที่บ้านอื่น โทรศัพท์ไปไม่ถึงว่าอย่างนั้นเถอะ โทรศัพท์มือถือก็ไม่ต้องพูดถึง เพราะสัญญาณไม่มี เจอกันหลังสุดตอนผมลงไปนครเมื่อสองสามอาทิตย์ที่แล้ว นึกถึงจึงชวนเขามานั่งคุยในร้านกาแฟชื่อร้านลิกอร์ คุยกันหลายชั่วโมง
แน่นอนว่าการจากไปของเขาอย่างกะทันหันเป็นการสูญเสียนักเขียนที่ดีอีกคนหนึ่ง เขาเป็นนักเขียนรุ่นใหม่และเป็นนักเขียนซีไรต์ด้วย ผมอยากจะขอให้เรามีการจัดงานร่วมกันสักครั้งหนึ่งในนามของเพื่อนกนกพงศ์ ไม่ว่าจะเป็นน้องๆ ที่เล่นดนตรีวงสะพาน วงมาลีฮวนน่า เพื่อนกนกพงศ์ทั้งนั้นแหละ น้องๆ เขาทั้งนั้น
แม้กระทั่งวงการนักเขียนหลายๆ คนที่คบๆ กันอยู่ในสังคมเมืองหลวงแต่ก่อน ถ้าอย่างจัดงานกันในเรื่องนี้อย่างไรผมยินดีร่วมมือเต็มที่ จริงๆ งานเปิดอัลบั้มชุด 'ใต้ ลม รัก' กนกพงศ์ก็จะมาร่วมงานด้วย ปกติเขาจะมานั่งอยู่แล้ว เขาไม่พลาดหรอกงานแบบนี้
ผมเองรู้จักพี่ชายเขาก่อน กนกพงศ์ก็เจอกันในแวดวงนักเขียน รู้จักกันมานานแล้วตั้งแต่สมัยที่เขาเริ่มเขียนหนังสือใหม่ๆ จนได้รับรางวัลซีไรต์ ผมได้อ่านงานของเขาเป็นบางเรื่อง แต่ไม่ได้อ่านทั้งหมด เขาเป็นคนที่เอาจริงเอาจังในเรื่องงานเขียน เป็นนักเขียนที่มีคุณภาพ และเขาก็แต่งเพลงด้วย เรียกว่าเขาอยู่แวดวงนักคิด นักเขียน นักแต่งเพลง
ถ้าพูดถึงนิสัยใจของเขาผมคงไม่ได้คลุกคลีมาก เท่าที่ได้รู้จักเขา อัธยาศัยดีมากเลย คุยกันถูกคอ มีเหตุผล ชอบเล่าเรื่องชาวบ้านให้ฟัง ผมก็ได้เรื่องสั้นมาจากเขา ช่วงนั้นกีตาร์หายที่พัทลุง เรื่องสั้น 'กีตาร์ที่หายไป' เป็นเรื่องราวพื้นเพของจิ๊กโก๋พัทลุง ได้รู้ว่าคนพัทลุงต้องการอะไร พื้นเพนิสัยวัยรุ่นของพัทลุงเป็นอย่างไร จึงได้นำมาเขียนเรื่องสั้น แต่ยังไม่เห็นพิมพ์ออกมา กนกพงศ์นี่แหละเป็นบรรณาธิการ
เขาเป็นคนเอ่ยปากขอให้ผมเขียนเรื่องสั้น ซึ่งการเขียนเรื่องสั้นสำหรับผมตอนนี้ไม่ได้ง่ายนัก แต่พอเขาเอ่ยปากขอ ผมกลับเขียนได้เลย อาจจะเกิดแรงบันดาลใจอะไรบางอย่าง นั่นเป็นเรื่องสั้นสุดท้ายของผมที่เขียนเหมือนกัน เพราะผมไม่ค่อยได้เขียนเรื่องสั้น นานๆ จะเขียนที"
———————————-
พีชพงศ์ พิทักษ์ : อดีตเพื่อนร่วมห้อง
นักร้องนำวงสะพานผู้ร่วมก่อตั้งวงและเป็นเพื่อนร่วมห้องกับกนกพงศ์สมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ปัจจุบัน เขาขึ้นเหนือไปเป็นนักพัฒนาสังคมที่ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์เด็กชาวเขา กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดน่าน พร้อมทั้งสร้างผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง เขาเล่าย้อนถึงวันวารว่า
"ตอนเข้าเรียนมหา'ลัยใหม่ๆ มีประชุมเชียร์ คนๆ หนึ่งออกไปแนะนำตัวว่าชื่อ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ผมสะดุดชื่อนี้เพราะว่าผมเป็นคนอ่านกวี และได้ยินชื่อนี้ในมติชนสุดสัปดาห์ เขาเขียนบทกวี เรื่องสั้น ไปลงตั้งแต่สมัยมัธยม อยู่ห้องเดียวกันยังไม่รู้ตัว พอได้คุยกับเขา หลังจากนั้นก็เกิดความสัมพันธ์ที่ดี และพักอยู่ห้องเดียวกันตลอด
แต่ภาพช่วงสมัยนั้นเราไม่ค่อยได้เรียนกัน เน้นไปทำกิจกรรมมากกว่า ทำงานชมรมอาสาพัฒนา ชมรมศิลปวัฒนธรรมภาคใต้ ออกค่ายอาสาต่างๆ ที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็นการออกหนังสือในมหาวิทยาลัย วารสารโรเนียวชื่อ 'ชะเวิ้ง' เขาทำเองหมดเลย ตั้งแต่จิ้มดีด ลงกระดาษไข กระทั่งโรเนียวออกมา เพื่อตีพิมพ์งานเขียนของเพื่อนๆ ที่อยากจะเป็นนักกวี นักเขียน หรือมีบทความวิจารณ์ต่างๆ ก็เอามาลง โดยใช้ห้องที่อยู่ด้วยกันนี่แหละพิมพ์แล้วเอาไปโรเนียวที่องค์การนักศึกษา ทำอยู่หลายฉบับ
ระหว่างนั้นก็มีกิจกรรมอื่นๆ เช่น ทำคัตเอาท์เวลามีงานกิจกรรมของค่ายและเล่นดนตรีโฟล์คซอง เขาเป็นคนที่สนับสนุน แต่งเพลงให้บ้าง ตั้งชื่อวงให้ 'วงสะพาน' ก็มีที่มา คือตอนไปเล่นเปิดวงให้วงด่านเกวียนและของน้าหมู-พงษ์เทพ เขาไปเขียนว่า 'เปิดวงโดยวงสะพานและลานสะตอ' ผมถามว่าวงสะพานนี้ใคร เขาบอกว่าก็คุณนี้แหละ ตอนนั้นยังไม่มีชื่อวง ผมถามว่า สะพาน หมายความว่าอย่างไร เขาบอกว่าจริงๆ ชื่อยาวกว่านี้ สะพาน คือ สะพานเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งยาวที่สุดในสงขลา เลยยึดชื่อนี้มาโดยตลอด
เขาแต่งเพลงชื่อ 'คนเลว' ตอนนั้นเขาแต่งแล้วเอามาร้องให้ผมฟัง ดีดกีตาร์ ฟังไปก็คล้ายเพลง 'ช่างมันฉันไม่แคร์' ของ น้าหงา ผมเลยเอามาปรับทำนองใหม่ หลังจากนั้นก็ใช้เพลงนี้เล่นในวงนักศึกษามาโดยตลอด เป็นเพลงประจำตัว ถือว่าเป็นเพลงมาร์ชของเราเลยสำหรับคนที่ไม่ยอมเรียน ซึ่งเราโดนตั้งคำถามจากสังคมว่าทำไม่ถึงไม่ยอมเรียน ทำไมถึงทำตัวเป็นคนเลว เอาแต่กินเหล้า กลางคืนไม่ยอมหลับยอมนอน ตอนเช้าคนอื่นเขาเดินไปเรียน แต่ตัวเองเดินไปนอน มันเลยกลายเป็นภาพที่กนกพงศ์เขียนเพลงนี้ออกมาว่าเราเลวเพราะว่าเขาตีค่าตามมาตรฐานของอะไร ในขณะที่เราเลวตรงนี้ เราอาจจะเป็นคนดีของคนอีกกลุ่มหนึ่ง เป็นคนเลวของพ่อแม่ อาจจะเป็นคนดีของเพื่อน คนเลวของพระอาจจะเป็นคนดีของคนรัก ถือเอาเพลงนี้มาเป็นจุดเริ่มต้น แต่เพลงนี้วงสะพานก็ไม่เอามาบันทึกเสียง เพราะว่าหลังจากมาลีฮวนน่าเอาไปถ่ายทอดแล้วรู้สึกว่าทำได้ดี และเขาก็ตีความเพลงไปตามนั้น
เขาหนักไปทางกวีมากกว่า เหมือนกับกวีหลายๆ คนที่สามารถแต่งเพลงได้ สิ่งที่น่าจะเด่นคือแนวคิดที่เขาให้เรามากกว่า เขาไม่ได้แต่ง แต่เขาพูดกับเรา เราเห็นว่ามุมตรงนั้นมุมตรงนี้ดี แต่เขาไม่ได้บอกให้เรามาแต่งนะ คุยกันแล้วเราได้อะไรจากเขามากกว่า เขาชอบทำ แต่เขาทำไม่ได้ดี เพราะต้องใส่ทำนอง แต่เขาเขียนบทกวีได้ เขียนเรื่องสั้นได้
สิ่งที่ไม่สามารถเขียนเป็นเรื่องสั้นหรือบทกวีได้ เขาก็เอามาพูดเป็นคอนเซปต์ แลกเปลี่ยนกัน เวลาไปคุยกับเขามันจะมีอะไรดีๆ อย่างนี้เสมอ ทำให้เราสามารถที่จะแต่งเพลงได้ บางครั้งสิ่งที่เขาบอกก็ไม่ใช่สิ่งที่เราแต่ง แต่เราไปคิดต่อเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ถือว่าต้นรากมาจากเขา เกิดแรงบันดาลใจกัน ถือว่าเป็นที่ปรึกษา ถ้ามีงานอะไรเขาก็จะมาร่วมด้วยตลอด ทุกคนรักเขาหมด แวดวงนักดนตรีรู้จักเขาหมด จริงๆ แล้วแวดวงนักดนตรีเพื่อชีวิตรักเขาหมด แทบเรียกได้ว่าถ้าเป็นนักดนตรีเพื่อชีวิตทุกคนต้องรู้จักเขา
นิสัยเขาเป็นคนนิ่ง เยือกเย็น ครุ่นคิด สุขุม ไม่กระโตกกระตากโวยวาย ต่อต้านก็แบบไม่ก้าวร้าว แต่เขาจะนิ่งแล้วคิด เวลาเขียนจะแรง เวลาพูดช้าๆ และน่าฟัง แต่ว่ากลุ่มที่อยู่ด้วยกันจะนับถือความคิดเขามาก เขามีอิทธิพลต่อความคิดของใครหลายๆ คน เด็กๆ น้องๆ ชอบในทางวรรณกรรมนี้ก็จะชื่นชมเขา ถือว่าเป็นต้นแบบ แต่ที่ไม่ตามเขาคือไม่ออกมหาวิทยาลัยตามไปด้วย คือเขาชัดเจนถึงขนาดว่าออกเป็นออก
กนกพงศ์มีกวีรุ่นพี่คือ อ.สถาพร ศรีสัจจัง เป็นที่ปรึกษาอย่างดี บ่อยครั้งที่สับสนหรือมีปัญหาก็จะไปนั่งคุยกับอาจารย์ แกเป็นพี่ใหญ่ที่คอยดูแล เพราะพวกเราตอนนั้นเป็นหนุ่มวัยกำลังแรงๆ ภาพความทรงจำสมัยนั้น อย่างเวลาอ่านหนังสือ เขาจะนอนเหมือนสิ่งไม่มีชีวิต แต่มือจะถือหนังสือค้างอยู่ ผมก็เป็นคนอ่านหนังสือนะ แต่ผมไม่เคยเห็นคนที่อ่านหนังสืออย่างฉกาจฉกรรจ์อย่างนี้มาก่อน หลับคาหนังสือ บางครั้งคีบบุหรี่ ขี้บุหรี่หล่นใส่ตัวยังไม่รู้ตัว
ผมอยากฝากว่าส่วนที่กนกพงศ์ทำไว้เท่าไหร่ก็เป็นผลงานแก่โลกไว้เท่านั้นในสังคม ส่วนพรรคพวกที่เทำเพลงเพื่อชีวิตที่เป็นปิยมิตรกับกนกพงศ์ก็คงจะทำงานอย่างนี้ต่อไป ไม่หยุดคิด ไม่หยุดฝัน พร้อมที่จะทำจนถึงวาระสุดท้ายเหมือนกนกพงศ์ก็แล้วกัน ช่วงที่เขาเงียบหายไปไม่มีรวมเล่ม จริงๆ เขาก็ยังทำงานอยู่ตลอด เขาเคยพูดว่าทำไมนักเขียนเมืองนอกเขียนแล้วเขาอยู่ได้นานเป็นหลายๆ ปี กว่าจะเขียนอีก แต่นักเขียนเราเหมือนกับจะต้องเขียนหากินกันทุกวันๆ ถึงจะรอด จริงๆ ออกได้สักเล่มหนึ่งน่าจะสามารถอยู่ได้นาน มันสอดคล้องกับที่ผมทำเพลงเหมือนกัน วัฒนธรรมการอ่านกับการฟังมันอ่อนแอ เราคุยเรื่องนี้กันบ่อย ทำยังไงจะให้คนอ่านมากขึ้น คนฟังมากขึ้น สุดท้ายมันก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากทำงานเราให้ดี เขียนให้ดี ทำเพลงให้ดีก็แค่นั้น แต่ว่ากลไกนโยบายอื่นๆ เราทำอะไรไม่ได้
สิ่งที่เราจะทำได้เหมือนกนกพงศ์ทำคือถ้าเขียนหนังสือก็ต้องเขียนให้ดี ทำสิ่งที่มีคุณค่ากับโลกและเป็นอมตะกับโลก ถึงแม้คนจะไม่ฟังเราปีนี้ ถ้าสักร้อยปีถ้าเป็นงานดีมันก็น่าจะมีคนฟัง ถ้าเราทำเป็นพาณิชยศิลป์เดี๋ยวเดียวมันก็ไป ตอนนี้อาจจะมีคนชื่นชมเราก็จริง คล้อยหลังก็หายวับ แม้เราอาจจะไม่มีชื่อเสียงเหมือนศิลปินที่อยู่ในพาณิชยศิลป์ แต่มันได้จารึกคุณค่าบางอย่างไว้กับโลกบ้าง"
———————————-
สุเมธ สอดจิตต์ : ต้นแบบทางความคิดสู่รุ่นน้อง
โปรดิวเซอร์วงสะพานที่ได้รับอิทธิพลหลายๆ อย่างมาจากกนกพงศ์ และถือเป็นต้นแบบทางความคิด ปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนวิชาดนตรีอยู่จังหวัดนครศรีธรรมราช เขาเล่าความหลังว่า
"ผมเป็นรุ่นน้องเขาประมาณ 2 ปี รู้จักกันตั้งแต่สมัยจัดตั้งกลุ่มนาคร ผมเป็นกลุ่มยุวนาคร ช่วงไปเรียนที่สงขลา ผมได้ไปคลุกคลีกับชมรมศิลปวัฒนธรรมที่กนกพงศ์เป็นโต้โผใหญ่อยู่ มอ.จบมาตกงานผมก็ขึ้นมาอยู่กับกนกพงศ์ที่นาครอยู่ 2-3 เดือน และออกมาเช่าบ้านอยู่ร่วมกัน ช่วงนั้นเขาทำงานอยู่สำนักพิมพ์ ครั้งหนึ่งผมมีเครื่องพิมพ์อยู่ ผมเอาเครื่องพิมพ์ดีดไปให้พิมพ์งาน เพราะเขาเขียนหนังสือ แล้วเขาเอาเงินมาให้ผม 2-3 พันบาท ผมเอาไปซื้อกีตาร์ ผมได้มีกีตาร์เล่น เขาได้มีเครื่องพิมพ์ปั่นต้นฉบับ ตั้งแต่ 'สะพานขาด' 'คนใบเลี้ยงเดี่ยว' งานช่วงแรกๆ ที่เขาพิมพ์เสร็จแล้วเอามาให้ผมช่วยอ่าน เขาเป็นเจ้าของไอเดียหลายๆ อย่าง
กนกพงศ์เป็นคนคิดไกลมาก คิดที่ทำวิจัยรอบลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาขึ้นมา เขาคิดว่าเราต้องขับเคลื่อนเป็นขบวน ไม่ใช่แค่ 5-6 คน แต่ต้องเป็น 5-60 คนขึ้นไป เป็นงานใหญ่ ไม่ใช่แค่ว่าชื่อวงสะพานของเราอย่างเดียว หรือว่ากนกพงศ์คนเดียวก็ไม่ได้ ฉะนั้นจากการคิดใหญ่ของเขา ทำให้เพื่อนๆ ได้มารวมกลุ่มกันที่จะทำงาน และกลุ่มนาครวรรณกรรมชัดเจนมาก กนกพงศ์เป็นเยื่อใหม่ทางวรรณกรรมปักษ์ใต้ช่วงนั้น
ผมซึมซับจากเขาทั้งหมด อย่างงานวรรณกรรมที่เขาเขียน เราอ่านมาตั้งแต่ต้น การอ่านงานของเพื่อนที่เราใกล้ชิดกันมันยิ่งเข้มไปในความคิด คือเราไม่สามารถทำงานได้เท่ากับเพื่อน ถ้าเป็นนักเขียนต้องทุ่มทั้งชีวิต เราพูดกันว่าหนัก ทำให้อายุสั้นเร็วมาก ตัวอย่างมันมีมาตั้งแต่ประวัติศาสตร์โลกด้านวรรณกรรมด้านศิลปะแล้ว อย่าง โมสาร์ท ก็ตายเร็ว
หลายคนเคยถามกนกพงศ์ว่าไม่คิดที่จะมีลูกหรือ เขาจะเงียบ แต่เขาจะชื่นชมกับลูกหลานที่เป็นผลผลิตของเพื่อนๆ ชื่นชมลูกสาวลูกชายของเพื่อน และเขาเคยคิดที่จะเขียนเรื่องราวแบบเด็กๆ ด้วย"
เรื่องโดย : ขวัญยืน ลูกจันทร จาก จุดประกายวรรณกรรม หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
เรื่องโดย : ขวัญยืน ลูกจันทร จาก จุดประกายวรรณกรรม หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ