พลานุภาพ “นิยายรัก” ครั้งแล้วครั้งเล่าไม่เสื่อมคลาย

ในห้วงบรรยากาศวันแห่งความรัก จุดประกายวรรณกรรม ถือโอกาสหยิบบางเรื่องราวของ "วรรณกรรมรัก" ที่ก้าวผ่านกาลเวลามาพบปะกับ "ผู้อ่าน"
ไม่ว่า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ จะยอมรับว่า ความรัก มีพลานุภาพเกินกว่ากฎวิทยาศาสตร์ใดๆ จะมาอธิบายได้หมดจด …หรือ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ จะเปลี่ยนศัตรูเป็นมิตรด้วยความรัก หรือ ออสการ์ ไวลด์ จะเปรียบเปรยชีวิตที่ไร้รักเสมือนสวนไร้แสง และล้มตาย ก็ตาม แต่ทุกคนต่างเข้าใจดีว่า ความรัก นี้ สามารถกลายเป็นอะไรที่แสนอัศจรรย์ ลึกล้ำเท่าที่จินตนาการของคนคนหนึ่ง จะหยั่งถึงและยังทรงอำนาจเสมอ
หากไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว เรื่องราวของโรมิโอ และจูเลียตคงไม่กรีดอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนให้หม่นเศร้าตลอดมา ทั้งๆ ที่รู้ว่าหลังฉากนั้นคือ ปลายปากกาของ เชคสเปียร์
เช่นเดียวกับเรื่องราวของพระรามกับทศกัณฐ์ที่เปิดศึกชิงนางกันจนกลายเป็นมหากาพย์ รามเกียรติ์ …รวมทั้งพระลอไม่ต้องพบโศกนาฏกรรมพร้อมๆ พระเพื่อน พระแพง กระทั่งนางวันทองก็คงไม่ถูกตีตราบาปว่าเป็นหญิงสองใจมาจวบจนปัจจุบันนี้
จากเหตุการณ์สู่เรื่องเล่า จากเนื้อในอากาศจดหน้ากระดาษ ตำรับวรรณกรรมไทยก็จดจารเรื่องรักมาตั้งแต่อุษาคเนย์รู้จักประดิษฐ์ตัวอักษร
จุดเริ่มต้นของ เรื่องสั้น และนวนิยายสมัยใหม่ในประเทศไทยเกิดพร้อมๆ กับการเข้ามาของเครื่องพิมพ์จากชาติตะวันตก ในปี พ.ศ. 2378 อีก 51 ปีต่อมา คนไทยถึงได้รู้จัก "สนุกสิ์นึก" นวนิยายที่แต่งตามขนบตะวันตก แต่ตีพิมพ์ได้เพียงตอนเดียวก็ถูกระงับเนื่องจาก ถูกมองว่ามีเนื้อหากระทบกระเทียบต่อศาสนาในสมัยนั้น ทำให้นวนิยายแปลเรื่อง "ความพยาบาท" โดย พระยาสุรินทราชา หรือ แม่วัน ซึ่งแปลมาจากหนังสือชื่อ vandetta ของ marie corelli ขึ้นทำเนียบนวนิยายเรื่องแรกของไทยแทน
สำหรับฟากของเรื่องรักนั้น "ความรักของคู่รัก" โดย ธรรมรัศมี ก.ล. ที่ตีพิมพ์ในนิตยสาร สยามสมัย พ.ศ. 2455 ถือเป็นนิยายรักเรื่องแรกๆ ก่อนผ่านการเพาะบ่ม แตกแขนง และสอดแทรกดำเนินความคู่ไปกับสภาพสังคมในแต่ละยุคสมัย นับตั้งแต่ "คณะสุภาพบุรุษ" ต้นทางสำคัญไปสู่ "รุ่งอรุณแห่งวรรณกรรมไทย" จนถึงยุค "14 ตุลา" อันถือเป็น "จุดเปลี่ยน" วรรณกรรมกลายเป็นภาพสะท้อนสังคม ก่อนกระแสความผันผวนทางวัฒนธรรมจะแปลงกลิ่นอายนิยายรักให้เป็น "ลูกผสม" มากขึ้นอย่างในปัจจุบันนี้
ถึงอย่างนั้นผู้คนก็ยังสัมผัสได้ถึง หัวใจของจะเด็ดที่มอบให้ตะแลแม่กุสุมา รอยน้ำตาของอ้ายขวัญ-อีเรียมแห่งทุ่งบางกะปิ วลีเด็ดหัวใจของกีรติถึงนพพร เรื่องรักต่างชนชั้นระหว่างสาย สีมา กับรัชนีย์ หรือ การต่อสู้ของพจมาน สว่างวงศ์ รวมทั้งนวนิยายอีกหลายต่อหลายเรื่อง
ในห้วงบรรยากาศวันแห่งความรัก จุดประกายวรรณกรรม ถือโอกาสหยิบบางเรื่องราวของ "วรรณกรรมรัก" ที่ก้าวผ่านกาลเวลา บางครั้ง หอมหวานหยาดเยิ้ม บางครั้งก็เย้ยฟ้าท้าดิน หมุนเวียนเปลี่ยนหน้ามาพบปะกับ "ผู้อ่าน" ทั้งในหน้าหนังสือ และ "ผู้ชม" หน้าจอโทรทัศน์และจอภาพยนตร์ …ครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนี้
1. บ้านทรายทอง
การต่อสู้ของหญิงสาวสามัญชนอย่าง "พจมาน" ที่จำเป็นต้องจากบ้านสวนเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียนหนังสือต่อ ตามความประสงค์ของบิดาที่เขียนสั่งไว้ก่อนเสียชีวิต ทำให้เธอต้องไปอาศัยอยู่กับครอบครัวหม่อมพรรณราย ซึ่งเป็นพี่สาวแท้ ๆ ของพ่อที่ "บ้านทรายทอง" จุดกำเนิดของเรื่องราวต่างๆ
บ้านทรายทองจัดเป็นนวนิยายอมตะเรื่องหนึ่งของวงการวรรณกรรมไทย จากปลายปากกาของ ก.สุรางคนางค์ (กัณหา เคียงศิริ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ปี 2529) ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารรายปักษ์ชื่อ "ปิยมิตร" ประมาณปี พ.ศ. 2493 เคยถูกนำมาทำเป็นละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ซึ่งมักจะได้รับความนิยมสูง
บ้านทรายทองมีสองภาค ภาคแรกจบเรื่องตรงที่ชายกลางแต่งงานกับพจมาน ต่อมา ก.สุรางคนางค์ ก็ได้แต่งเพิ่มหลังจากละครเวทีใน พ.ศ. 2494 และได้นำมาแสดงเป็นละครโทรทัศน์ ช่อง 4 บางขุนพรหม หลังจากนั้นทั้งสองภาคก็รวมกันเป็นเรื่องเดียวตลอดมา
นวนิยายเรื่องนี้ถูกทำเป็นละครเวที 4 ครั้ง คือ พ.ศ. 2493, พ.ศ. 2495, พ.ศ. 2542-2543 และ พ.ศ. 2548 สร้างเป็นภาพยนตร์ เมื่อ พ.ศ. 2499 เป็นภาพยนตร์ฟิล์ม 16 มม. ช่วง พ.ศ. 2522-2523 เป็นภาพยนตร์ฟิล์ม 35 มม. และทำเป็นละครโทรทัศน์อีก 5 ครั้งตั้งแต่ พ.ศ. 2501, พ.ศ. 2513, พ.ศ. 2521, พ.ศ. 2530 และพ.ศ. 2543 โดยเพลงนำที่ เป็นที่รู้จัก คือ เพลง บ้านทรายทอง
2. คู่กรรม
นวนิยายรักโศกนาฏกรรมที่มีฉากหลังเป็นประเทศไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถือเป็น นวนิยายที่มีชื่อเสียงมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ของ "ทมยันตี" หรือ คุณหญิงวิมล ศิริไพบูลย์ เขียนขึ้นในปี พ.ศ. 2508 ตีพิมพ์เป็นตอนในนิตยสารศรีสยาม (ในเครือนิตยสารขวัญเรือน) และรวมเล่มเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2512
เรื่องราวความรักของ อังศุมาลิน ชลาสินธุ์ นิสิตสาวคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับโกโบริเป็นนายช่างใหญ่ประจำอู่เรือของทหารญี่ปุ่นที่ต่างพบพานในช่วงจังหวะเวลาที่สถานการณ์ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง และเป็นไปตามเงื่อนไขของสงคราม เป็นอุปสรรคให้ทั้งคู่ต้องฝ่าฟันไป แม้ท้ายที่สุดแล้ว โกโบริจะต้องจากอังศุมาลินไปอย่างไม่มีวันกลับก็ตาม
คู่กรรม เคยถูกสร้างเป็นละครโทรทัศน์ 5 ครั้งในช่วงปี พ.ศ. 2513, พ.ศ. 2515, พ.ศ. 2521, พ.ศ. 2533 และ พ.ศ. 2547 ภาพยนตร์ 3 ครั้งในช่วงปี พ.ศ. 2516, พ.ศ. 2513 และ พ.ศ. 2538 และละครเวทีอีก 2 ครั้งคือ พ.ศ. 2547 และกลางปี พ.ศ. 2550
นอกจากนี้ ยังมีภาคต่อคือ คู่กรรม 2 เรื่องราวของ กลินท์ หรือ โยอิจิ ลูกชายคนเดียวของโกโบริและอังศุมาลิน ซึ่งได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ ในปี พ.ศ. 2539 และถูกสร้างเป็นละครโทรทัศน์ออกอากาศในช่วงต้นปี พ.ศ. 2547 อีกด้วย
3. ข้างหลังภาพ
"ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็อิ่มใจว่า ฉันมีคนที่ฉันรัก" วลีอมตะของกีรติ เป็นตัวแทนแสดงความรักในหัวใจของหญิงสาว เป็นที่จดจำพอๆ กับ เรื่องราวของความรักต่างวัย ต่างสถานะ ที่กินใจอยู่เสมอ
นวนิยายเรื่องนี้ ประพันธ์โดย "ศรีบูรพา" หรือ กุหลาบ สายประดิษฐ์ เริ่มตีพิมพ์เป็นตอนๆ ลงในหนังสือพิมพ์ประชาชาติรายวัน เมื่อ พ.ศ. 2479 ด้วยภาษาที่ใช้ในเรื่องเป็นภาษาที่งดงาม มีวลีที่เป็นที่ชื่นชอบมากมาย ทำให้เมื่อรวมเล่ม ข้างหลังภาพ ได้รับการตีพิมพ์ซ้ำถึง 39 ครั้ง อีกทั้งยังได้รับการยกย่องถึงความงามในเชิงวรรณศิลป์อีกด้วย
กุหลาบ สายประดิษฐ์ เขียนเรื่องนี้โดยอาศัยประสบการณ์จริงที่เคยไปดูงานที่ประเทศญี่ปุ่น ช่วงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2479 และจากความคุ้นเคยกับเจ้านายในราชสกุลวรวรรณ ตีพิมพ์ตอนแรกในหนังสือพิมพ์ประชาชาติ ฉบับวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2479 ต่อเนื่องจนจบบทที่ 12 ในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2480 ถึงตอนที่ ม.ร.ว.กีรติ ลาจากนพพรที่ท่าเรือโกเบ โดยเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ต่อมาเมื่อรวมพิมพ์ครั้งแรกโดย สำนักงานนายเทพปรีชา ศรีบูรพาได้แต่งเพิ่มอีก 7 บท รวมเป็น 19 บท โดยตอนที่แต่งขึ้นใหม่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
ต่อมาในปี พ.ศ. 2486 ศรีบูรพาได้เขียนเรื่องสั้นชื่อ "นพพร-กีรติ" เป็นจดหมายรัก ที่เขียนถึงระหว่างกัน ตีพิมพ์ในหน้า 255 ถึง 273 ของหนังสือรวมเรื่องสั้น "ผาสุก" ของสำนักพิมพ์อุดม และได้นำไปรวมเล่มใน ข้างหลังภาพ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 3 ในเวลาต่อมา
ข้างหลังภาพ ถูกนำไปแสดงเป็นละครโทรทัศน์ ภาพยนตร์ รวมถึงละครเวที ในรูปแบบละครเพลงอีกด้วย
4. ผู้ชนะสิบทิศ
ผู้ชนะสิบทิศ เป็นนิยายที่ยาขอบ หรือโชติ แพร่พันธุ์ ผู้เขียนเรียกว่า "นิยายปลอมพงศาวดาร" โดยหยิบพงศาวดารพม่าเพียงแค่ 8 บรรทัด ในครั้งแรกใช้ชื่อว่า "ยอดขุนพล" เริ่มเขียนใน พ.ศ. 2474 จบลงใน พ.ศ. 2475 ในหนังสือพิมพ์ "สุริยา" และเริ่มเขียน "ผู้ชนะสิบทิศ" ในหนังสือพิมพ์ "ประชาชาติ" เมื่อ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 จบภาคหนึ่งเมื่อ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2476 รวมเล่มพิมพ์เมื่อ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2482 เขียนรวมทั้งหมด 3 ภาค เมื่อ พ.ศ. 2482 แต่ยังไม่จบ เนื่องจากขาดข้อมูลบางอย่างที่จะต้องใช้ประกอบการเขียน
ในเนื้อเรื่องกล่าวถึงราชวงศ์ตองอูตอนต้น เริ่มตั้งแต่รัชสมัยของพระเจ้าเมงจีโย ไปจนถึงพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ หรือ มังตราราชบุตร โดยคำว่าผู้ชนะสิบทิศนั้น มาจากคำที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวถึง พระเจ้าบุเรงนองว่าเป็น The Conqueror of Ten Direction
แต่สำหรับชื่อนิยาย จากหนังสือประวัติยาขอบ อ้างอิงว่า มาลัย ชูพินิจ เป็นผู้ตั้งให้ ผู้ชนะสิบทิศตีพิมพ์ครั้งแรกลงใน นสพ.ประชาชาติ เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ในตอน "ความรักครั้งแรก" ฉบับพิมพ์รวมเล่มใช้ชื่อ "ลูกร่วมนม" สร้างชื่อเสียงให้ยาขอบได้แจ้งเกิด จนกลายเป็นกระแสไปทั่วทุกเพศทุกวัย ว่ากันว่าแม้แต่บรรพชิตก็ยังอ่านอย่างไม่กลัวอาบัติ
ผู้ชนะสิบทิศ ถูกสร้างเป็น ละครโทรทัศน์ ละครเวที และ ภาพยนตร์ มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง โดยมีเพลงประกอบที่เป็นที่รู้จักและยังติดอยู่ในความทรงจำตราบจนปัจจุบัน 2 เพลง คือ "บุเรงนองลั่นกลองรบ" ขับร้องโดย สุเทพ วงศ์กำแหง และ "ผู้ชนะสิบทิศ" ขับร้องโดย ชรินทร์ นันทนาคร
อย่างไรก็ดี ผู้ชนะสิบทิศ เป็นนิยายที่ว่าถึง กษัตริย์พม่าองค์ที่สามารถชนะเอกราชของกรุงศรีอยุธยาได้ จึงเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์เสมอ ๆ เมื่อมีผู้จะสร้างเป็นละครหรือภาพยนตร์ในแต่ละครั้ง ว่าสมควรหรือไม่ที่จะเผยแพร่เรื่องเช่นนี้ออกมาสู่สังคม
5. ชั่วฟ้าดินสลาย
ชั่วฟ้าดินสลาย เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2498 สร้างจากนวนิยายขนาดสั้นเรื่อง ชั่วฟ้าดินสลาย ของมาลัย ชูพินิจ หรือ เรียมเอง เป็นโศกนาฏกรรมรักของชายหนุ่ม-หญิงสาวคู่หนึ่ง ที่เชื่อกันว่าจะรักกันตราบชั่วฟ้าดินสลายจนเส้นทางรักนั้นนำไปสู่ความตายในที่สุด
โดยในพิธีมอบรางวัลตุ๊กตาทอง ครั้งที่ 1 ประจำปี พ.ศ. 2500 เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2500 ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับ 3 รางวัลสำเภาทอง ในสาขาบทประพันธ์ยอดเยี่ยม บันทึกเสียงยอดเยี่ยม และถ่ายภาพยอดเยี่ยม ประเภทฟิล์ม 35 ม.ม.
ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเพลงประกอบที่มีความไพเราะมาก คือเพลง ชั่วฟ้าดินสลาย ประพันธ์คำร้องโดย ครูมารุต ผู้กำกับภาพยนตร์ ทำนองโดย แมนรัตน์ ศรีกรานนท์ ขับร้องโดย พูลศรี เจริญพงษ์ ได้รับรางวัลแผ่นเสียงเงินพระราชทาน
ก่อนจะมีการนำมาสร้างอีกครั้ง ในปี พ.ศ. 2523 ดัดแปลงเป็นละครโทรทัศน์ พ.ศ. 2526 และสร้างเป็นภาพยนตร์ ในพ.ศ. 2553 โดยหม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล มี อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม, เฌอมาลย์ บุณยศักดิ์, ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์ และศักราช ฤกษ์ธำรงค์ ร่วมแสดงในครั้งนี้
6. วนิดา
วนิดา เป็นบทประพันธ์นวนิยายของ วรรณสิริ จัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2484 ในนิตยสารวารสารศัพท์ ภายหลังเมื่อตีพิมพ์แล้ว ได้รับความนิยมแพร่หลายมาก มีเนื้อเรื่องที่มีลักษณะแบบไทยๆ อย่างที่คนอ่านรู้จักกันดี เช่น ความขัดแย้งระหว่างแม่ผัว ลูกสะใภ้ รักสามเส้า คุณสมบัติของหญิงไทยที่อ่อนโยนเรียบร้อย ซื่อสัตย์ กตัญญู เป็นต้น
ว. วินิจฉัยกุล เคยวิเคราะห์ไว้ในบทความตีพิมพ์ในวารสารสมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทย และพิมพ์รวมเล่มในหนังสือ ปากไก่วรรณกรรม ของสำนักพิมพ์ดอกหญ้า เมื่อ พ.ศ. 2537 ว่าวรรณศิริเขียนเรื่องวนิดาโดยดัดแปลงมาจากนวนิยายแปลเรื่อง "โชคมาวาสนาเกื้อ" ซึ่งไม่ทราบชื่อผู้แต่ง ผู้แปลและชื่อหนังสือต้นฉบับ ตีพิมพ์เป็นตอนๆ ในวารสารมิตรสภา เมื่อ พ.ศ. 2450 และมีเนื้อเรื่องคล้ายคลึงกับเรื่อง นิจ (พ.ศ. 2472) ของหม่อมหลวงบุปผา นิมมานเหมินท์ เนื่องจากมาจากนวนิยายต้นฉบับเรื่องเดียวกัน
บทประพันธ์ได้รับนำมาสร้างเป็นละครเวที ละครโทรทัศน์ ละครวิทยุและภาพยนตร์มาแล้วหลายครั้ง ในสมัยแรกที่ศาลาเฉลิมนคร โดยหม่อมหลวงรุจิรา อิศรางกูร ณ อยุธยา รับบทเป็น ประจักษ์ ในยุคนั้น จากนั้นในฉบับที่โด่งดังคือละครในปี พ.ศ. 2534 มีนักแสดงอย่าง ลลิตา ปัญโญภาส เล่นเป็น วนิดา และศรัณยู วงศ์กระจ่าง เป็น พ.ต. ประจักษ์
ในปี พ.ศ. 2553 ได้รับนำมาสร้างใหม่เป็นละครทางช่อง 3 เขียนบทโทรทัศน์โดยปณธี กำกับการแสดงโดย ยุทธนา ลอพันธ์ไพบูลย์ ดำเนินงานสร้างโดย บริษัท ละครไท จำกัด นำแสดงโดยเจษฎาภรณ์ ผลดี รับบทเป็น พ.ต. ประจักษ์ และทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ รับบท วนิดา
7. แผลเก่า
ผลงานประพันธ์เรื่องแรกของ ไม้ เมืองเดิม หรือ ก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2479 นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2483 และ พ.ศ. 2489 ต่อมา เชิด ทรงศรี นำกลับมาสร้างภาพยนตร์อีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2520 ทำสถิติรายได้สูงสุดเมื่อออกฉายครั้งแรก ลบสถิติภาพยนตร์ทุกเรื่องที่เข้าฉายในเวลานั้นทั้งไทยและหนังต่างประเทศ
นอกจากนี้ยังได้ไปประกาศศักดาของภาพยนตร์ไทยโดยคว้ารางวัลชนะเลิศจากงานประกวดภาพยนตร์ ณ เมืองน็องต์ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี พ.ศ. 2524 นอกจากนี้ยังถูกสร้างเป็นละครในชื่อ "ขวัญเรียม" ฉายทาง ช่อง 4 บางขุนพรหม และสร้างใหม่อีกหลายครั้ง โดยครั้งล่าสุดเมื่อ พ.ศ. 2544
8. ทวิภพ
ทวิภพ เป็นชื่อหนึ่งในบทประพันธ์ของ "ทมยันตี" ที่นำเสนอเรื่องราวของความรักต่างภพ ระหว่างอดีต และปัจจุบัน มาบรรจบกัน ระหว่าง "เมณี่" หรือ มณีจันทร์ กับ "คุณหลวง อัครเทพวรากร" ข้าหลวงประจำกรมเจ้าท่า โดยมีเรื่องของประวัติศาสตร์บ้านเมืองมาเกี่ยวข้องด้วย เพื่อให้มีอรรถรส ในการอ่านให้ดูเข้มขึ้น เป็นนวนิยายรักที่แฝงไปด้วยเรื่องของประวัติศาสตร์บ้านเมือง และเกร็ดความรู้ ทางด้านความเป็นอยู่ของบุคคลสมัยนั้น
จากอรรถรสดังกล่าว ทำให้ "ทวิภพ" ถูกสร้างเป็นละคร และภาพยนตร์ รวมทั้งละครเวที มาหลายครั้ง หลายคราว โดยมีการแก้ไข แต่งเติม ดัดแปลงบทไป ตามเจตนารมณ์ของผู้สร้าง
9. มนต์รักลูกทุ่ง
ตำนานความรักของคล้าวหนุ่มบ้านนา ที่รักอยู่กับทองกวาว แต่ถูกพ่อกับแม่ทองกวาวกีดกัน เพราะฐานะทางสังคมต่ำต้อยกว่า เป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาจากบทประพันธ์เรื่อง "มนต์รักลูกทุ่ง " ของ รังสี ทัศนพยัคฆ์ โดยใช้นามแฝงว่า "มหศักดิ์ สารากร" โดยมิตร ชัยบัญชา มีส่วนร่วมในเนื้อเรื่องด้วย
มนต์รักลูกทุ่ง ออกฉายเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2513 ทำรายได้ถล่มทลายจากทั่วประเทศถึง 13 ล้านบาทและฉายติดต่อกันนาน 6 เดือน ที่โรงภาพยนตร์โคลีเซียม จนถึงวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2513 คู่พระ-นาง คือไอ้คล้าว กับ ทองกวาว รับบทโดย มิตร ชัยบัญชา กับเพชรา เชาวราษฎร์ ส่วนคู่รอง คือแว่น กับบุปผา รับบทโดย ศรีไพร ใจพระ กับบุปผา สายชล ก่อนจะได้นำกลับมาสร้างฉายใหม่อีกครั้งในปี พ.ศ. 2525 และปี พ.ศ. 2548
นอกจากนี้ มนต์รักลูกทุ่งยังถูกนำมาสร้างเป็นบทละครอย่างต่อเนื่อง พ.ศ. 2538, พ.ศ. 2548 และพ.ศ. 2554 จุดเด่นของมนต์รักลูกทุ่งอยู่ตรง เพลงประกอบที่ได้นักแต่งเพลงระดับชั้นครู อย่าง ไพบูลย์ บุตรขัน, สุรินทร์ ภาคสิริ, ประดิษฐ์ อุตตะมัง, สมาน เมืองราช และพงษ์ศักดิ์ จันทรุกขา รวมทั้งนักร้องฝีมือดีมาร่วมขับร้องมากมายทำให้อัลบั้มเพลงมนต์รักลูกทุ่งประสบความสำเร็จไม่แพ้กัน
10. จำเลยรัก
จำเลยรัก ถือเป็นต้นฉบับ "รักตบจูบ" จากฝีมือการประพันธ์ของ ชูวงศ์ ฉายะจินดา เมื่อนิยายเรื่องนี้ออกวางแผงครั้งแรกนั้นได้ความนิยมจากผู้อ่านเป็นอย่างดี เพราะเป็นนิยายรักที่ฉีกรูปแบบออกมาจากขนบการเขียนสมัยนั้นอย่างสิ้นเชิง เรียกได้ว่าเป็นต้นตำรับของนิยายประเภท "ตบจูบ" เลยทีเดียว
จำเลยรัก ถูกนำไปดัดแปลงเป็นบทภาพยนตร์ครั้งแรกในปี 2506 โดยมี มิตร ชัยบัญชา เป็น หฤษฎ์, พิศมัย วิไลศักดิ์ เป็น โศรยา และ อมรา อัศวนนท์ เป็น ศันสนีย์ และหวนกลับมาโด่งดังอีกครั้งในปี 2551 นี้ เพราะได้อั้ม-อธิชาติ ชุมนานนท์ พระเอกมาดขรึมมาสวมบทบาท "หฤษฎ์" และ แอฟ-ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ มาถูกทารุณในบท "โศรยา" สิ่งที่ผู้ชมชื่นชอบมากอีกอย่างหนึ่งของละครเรื่องนี้คือ เพลงประกอบละครที่แต่งโดย ชาลี อินทรวิจิตร และขับร้องโดย สวลี ผกาพันธุ์
11. เวลาในขวดแก้ว
เวลาในขวดแก้ว เป็นนวนิยายไทยยุคใหม่ของ ประภัสสร เสวิกุล มีเนื้อหาสะท้อนชีวิตและปัญหาของวัยรุ่นในด้านต่างๆ ทั้งครอบครัว ความรัก การศึกษา สังคม และการเมือง จัดพิมพ์เป็นพอคเก็ตบุ๊คครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2528 จนกระทั่งปี พ.ศ. 2534 ได้มีการสร้างเป็นภาพยนตร์ไทย โดย ประยูร วงศ์ชื่น นำแสดงโดย นฤเบศร์ จินปิ่นเพชร, ปวีณา ชารีฟสกุล และ วาสนา พูนผล
ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำนิยม โดยได้รับรางวัลจากสองสถาบันคือ รางวัลสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ ครั้งที่ 1 ประจำปี พ.ศ. 2534 จำนวน 4 รางวัล และรางวัลภาพยนตร์ไทย ชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 2 ประจำปี พ.ศ. 2534 อีก 2 รางวัล
ในปี พ.ศ. 2535 มีการสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทางไทยทีวีสีช่อง 3 โดย มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช ออกอากาศเดือน มีนาคม-พฤษภาคม 2535 นำแสดงโดย สมชาย เข็มกลัด, แอน ทองประสม และยังได้นักแสดงจากภาพยนตร์ คือ ปวีณา ชารีฟสกุล และ จรัล มโนเพ็ชร มาร่วมแสดงในบทเดิม ออกอากาศทุกคืนวันพุธ และวันพฤหัสบดี เวลา 20.55-21.55 น.
ต่อมา บริษัท อาร์เอส ได้นำเรื่องนี้มาสร้างเป็นละครอีกครั้ง ออกอากาศในปี พ.ศ. 2544 ทุกเย็นวันเสาร์ และวันอาทิตย์ ทางช่อง 3 นำแสดงโดย ธนา สุทธิกมล, อลิชา ไล่ศัตรูไกล และ ฌัชฌา รุจินานนท์
และทั้งหมดนั้นคือเรื่องราว"ความรัก"ที่ถูกถ่ายทอดผ่านงานเขียนในรูปแบบของนวนิยาย ที่ถูกถ่ายทอดผ่านทั้งหนังสือ ละครทีวีและภาพยนตร์ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะผ่านวันเวลามาเนิ่นนานสักปานใดก็ตาม
ด้วยพลานุภาพแห่งความรักที่งดงาม….จุดประกายวรรณกรรมขอให้ความรักจงเบ่งบานในใจของทุกท่าน…จุ๊บๆ…รักนะ!
โดย : ชัยณรงค์ กิตินารถอินทราณี บทความดีๆจาก : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ