พบกันที่ร้านหนังสือ
ถ้าอยากให้คนแวะเข้ามาจิบกาแฟ ร้านกาแฟต้องน่านั่ง ถ้าอยากให้คนสนใจซื้อเสื้อผ้า ต้องเอาชุดสวยๆ ออกมาโชว์หน้าร้าน และถ้าอยากให้คนเข้าร้านหนังสือ ก็ต้องจัดร้านและมีสินค้าที่ดึงดูดใจนักอ่านและนักอยากอ่าน
เมื่อพูดถึงการส่งเสริมการอ่าน ใครๆ มักพากันนึกถึงห้องสมุด การบริจาคหนังสือ หรือโครงการรณรงค์หลากหลายรูปแบบ แต่ไม่ค่อยมีใครจะนึกถึง “ร้านหนังสือ”ในฐานะที่เป็นผู้เล่นตัวสำคัญในขบวนการส่งเสริมการอ่าน เพราะร้านหนังสือเป็นแหล่งกระจายสินค้า หรือจุดนัดพบของหนังสือกับผู้อ่านทั่วไปได้ดีที่สุดนั่นเอง
แม้ว่าการซื้อขายหนังสือทางอินเทอร์เน็ตจะบูมมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ร้านหนังสือก็ยังไม่ล้มหายตายจากไปไหน สำหรับในประเทศไทย ศูนย์ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าในปี 2551 จำนวนร้านหนังสือนั้นเพิ่มขึ้นจากปี 2550 ถึงร้อยละ 29.8 อยู่ที่ 2,483 ร้านทั่วประเทศ ส่วนจำนวนหนังสือใหม่ที่เข้าสู่ร้านหนังสือเฉลี่ยประมาณ 1,112 ชื่อเรื่องต่อเดือน (13,344 ชื่อเรื่องต่อปี) เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.4
แม้จำนวนร้านหนังสือจะเพิ่มขึ้น แต่มันได้ทำหน้าที่ส่งหนังสือให้ถึงมือผู้อ่านได้มากน้อยแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งการจัดร้าน การคัดสรรหนังสือมาจำหน่ายและกิจกรรมส่งเสริมการขายอื่นๆ
ปัญหาอย่างหนึ่งของร้านหนังสือไทยที่สำนักพิมพ์หนังสือเด็กแอบบ่นมาก็คือ ร้านหนังสือส่วนใหญ่จะเปิดพื้นที่ให้กับหนังสือเด็กน้อยมากเมื่อเทียบกับหนังสือประเภทอื่นๆ หรือถ้ามีก็มักซ่อนอยู่ในซอกหลืบของร้าน ไม่ค่อยจะนำหนังสือเด็กออกมาอวดหน้าร้าน
การสำรวจเมื่อเดือนสิงหาคม 2552 พบว่าศูนย์หนังสือจุฬาฯ ร้านนายอินทร์ และร้านซีเอ็ด มีปริมาณหนังสือเด็กปฐมวัย (0-6 ปี) อยู่ในช่วงร้อยละ 4-6 ของจำนวนรายการหนังสือทั้งหมด เลือกเฉพาะรายการที่เป็นภาษาไทย กล่าวได้ว่าในจำนวนหนังสือ 20 เล่มจะมีหนังสือสำหรับเด็กปฐมวัยอยู่ 1 เล่มเท่านั้น ทั้งๆ ที่ตัวเลขจากทุกสำนักบอกตรงกันว่า ตลาดหนังสือเด็กมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2551 มูลค่าตลาดหนังสือรวมในประเทศไทยมีประมาณ 18,900 ล้านบาท เป็นตลาดหนังสือเด็กมูลค่า 4,500 ล้านบาท เติบโตจนมีขนาดเป็นสัดส่วนกว่า 1 ใน 4 ของตลาดหนังสือโดยรวม
ร้านหนังสือที่ดีนั้น อาจไม่มีนิยามที่ชัดเจน แต่การจัดอันดับ “10 ร้านหนังสือที่ดีที่สุดในโลก”ของหนังสือพิมพ์ Independentของประเทศอังกฤษ อาจพอเป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการร้านหนังสือในเมืองไทยได้บ้าง
The American Book Center ในกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ มาเป็นอันดับหนึ่งซึ่งมีจุดเด่นอยู่ตรงที่มีวรรณคดีอังกฤษขายมากที่สุด แถมยังมีวรรณกรรมคลาสสิคของนักเขียนอเมริกันอีกเป็นจำนวนมาก, Shakespeare and Company Bookshop ในกรุงปารีสติดอันดับด้วยการให้บริการที่เหนือชั้นโดยมีเตียงให้ลูกค้าที่มาจากแดนไกลพักค้างอ้างแรม โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องช่วยงานต่างในร้านและต้องอ่านหนังสือในร้านวันละ 1 เล่ม, ร้าน Smoker’s Cornerในมุมไบ ประเทศอินเดีย มีจุดเด่นตรงที่ขายหนังสือราคาถูกอย่างกับแจกฟรี ทางร้านยังมีบริการซื้อหนังสือเงินผ่อนให้ลูกค้าขาประจำที่กระเป๋าฉีกแต่อยากอ่านหนังสืออีกด้วย, City Lights bookshop ในกรุงซานฟรานซิสโก มีดีตรงที่มีหนังสือให้เลือกหลากหลาย และมีเก้าอี้หนานุ่มตั้งอยู่ทั่วร้านพร้อมป้ายเชิญชวนให้ลูกค้านั่งอ่านได้อย่างไม่ต้องเกรงใจเจ้าของร้าน
นี่เป็นตัวอย่างสุดยอดร้านหนังสือที่เป็นขวัญใจนักอ่านที่ไม่เพียงนำพาให้หนังสือเดินทางมาพบนักอ่านเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่สร้างสีสันและเสน่ห์ให้กับการอ่านหนังสืออย่างขันแข็งมาเนิ่นนานหลายสิบปี
อันที่จริง ร้านหนังสือในประเทศไทยก็มีมากมายที่เป็นขวัญใจนักอ่าน แต่ในภาพรวมดูเหมือนยังมีอะไรที่ต้องทำอีกเยอะเพื่อพัฒนาตัวเองให้ติดอันดับโลกกับเขาบ้าง
ภาพจาก:http://oneyearinamsterdam.blogspot.com