พชร สมุทวณิช คลื่นลูกใหม่ ( สมัยนั้น ) วงการหนังสือ
.jpg)
เมื่อสรุปได้ว่าแขกรับเชิญคนต่อไปในคอลัมน์ คุยนอกรอบ
คือ พชร สมุทวณิช คนหนุ่มที่สื่อมวลชนขนานนามว่า คลื่นลูกใหม่แห่งวงการนักเขียน ก็วาดฝันไว้ว่าจะมีโอกาสได้นั่งคุยกันสองต่อสอง พร้อมด้วยเค้กช็อกโกแลตและกาแฟหอมกรุ่น ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นของร้าน บ้านพระอาทิตย์ ร้านของคุณเพชรเอง แต่ที่ไหนได้ บก.หนุ่มเกิดมีอาการปวดหลังกำเริบขึ้นมาและดูจะหนักหนาเอาการ งานนี้จึงต้องพึ่งพาเทคโนโลยี ส่งอีเมล ถาม-ตอบ แทน (เสียดายจัง)
…
From : Potcharan Samudavanija
To : editor@praphansarn.com
Subject : Re. รบกวนช่วยตอบคำถามค่ะ
พชร : หวัดดีครับ
ในการเขียนแต่ละครั้ง พี่มีวิธีเลือกเรื่องหรือประเด็นอย่างไร และส่วนใหญ่ใช้เวลาช่วงไหนเขียนคะ
พชร : คอลัมน์ที่เขียนอยู่ประจำตอนนี้ ชื่อคอลัมน์ "บนถนนพระอาทิตย์" เขียนทุกจันทร์ พุธ ศุกร์ ลงในผู้จัดการรายวัน ดังนั้นเวลาที่จะเขียนเรื่องส่วนใหญ่ก็คือก่อนปิดต้นฉบับ ต้องส่งต้นฉบับให้จัดหน้าตอนกลางคืนเพื่อตีพิมพ์ในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็ต้องพยายามจะจัดระบบให้ได้ ผมมักจะไม่ค่อยมีปัญหาเวลาเขียน เป็นคนเขียนหนังสือเร็ว แต่ปัญหาส่วนใหญ่คือการคิดประเด็น ถ้าวันไหนมีประเด็นเตรียมเอาไว้ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าวันไหนยังคิดไม่ออกก็จะหน้าเครียดคิ้วขมวดไปทั้งวัน
เนื่องจากผมเขียนลงหนังสือพิมพ์รายวัน ดังนั้นหลักๆ ประเด็นก็ต้องเลือกจากกระแสความสนใจของคน หยิบเอามามองในหลายๆ แง่มุม แต่ก็ไม่ใช่จะเขียนแต่เรื่องกระแสเสมอไป บางทีก็เลือกหยิบเอาเรื่องวิถีชีวิตประจำวันของคนในสังคมเอามาเขียนบ้าง เขียนเรื่องจากต่างประเทศบ้าง เพราะลักษณะคอลัมน์ของผมจะเปิดกว้างให้เขียนได้ทุกๆ เรื่อง ทำให้คนเขียนสนุกไม่เบื่อ
ส่วนใหญ่ผมจะเลือกหยิบเอาประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคนชั้นกลางรุ่นใหม่ โดยเฉพาะในแง่มุมทางวัฒนธรรม ซึ่งผมมักจะเอ่ยถึงบ่อยๆ ว่าคนรุ่นนี้เป็นรุ่นที่เกิดสภาวะที่เรียกว่า "ความสับสนทางวัฒนธรรม" เนื่องจากเป็นคนรุ่นที่อยู่ระหว่างการไหลเวียนถ่ายเทของกระแสตะวันตก-ตะวันออก ประเด็นนี้จะเป็นประเด็นที่ผมสนใจและเขียนถึงบ่อยที่สุด
หลังเขียนงานเสร็จ ก่อนตีพิมพ์ต้องให้ใครช่วยอ่านช่วยวิจารณ์ก่อนไหมคะ หรือว่าส่งพิมพ์เลยทันที
พชร : ส่วนใหญ่ไม่มีเวลาที่จะให้ใครอ่านต้นฉบับก่อนตีพิมพ์ครับ อย่างที่บอกไว้แล้วคือระบบงานของการเขียนลงหนังสือพิมพ์รายวันจะค่อนข้างไม่มีช่องว่างในตรงนั้นมากนัก แต่ก็มีบ้างที่บางเรื่องก่อนส่งต้นฉบับก็ให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ตอนนั้นช่วยอ่านให้บ้าง แต่ของผมจะสนุกกับเวลามีคนอ่านมาคอมเมนท์ เนื่องจากคอลัมน์ผมจะลงในเว็บของผู้จัดการด้วย www.manager.co.th ซึ่งจะมีระบบให้แสดงความคิดเห็น ใครชอบใครไม่ชอบอย่างไรก็คอมเมนท์กันได้ตรงนั้นเลย ก็มีมาชมบ้าง ติบ้าง (ด่านอกเรื่องบ้างในบางครั้ง) ผมอ่านทุกความเห็นของคนอ่านที่มีต่อบทความของผมอย่างละเอียดและตั้งใจทุกความเห็น และนำมาปรับปรุงแนวคิดแนวเขียนของผมอยู่เสมอๆ
เคยบ้างไหมที่เขียนอะไรไม่ได้เลย แล้วจัดการกับปัญหานี้อย่างไรคะ
พชร : พื้นที่คอลัมน์ที่เรายึดครองอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ และกำหนดเวลาจันทร์ พุธ ศุกร์ที่เรามีนัดกับคนอ่านทำให้ต้องหาทางเขียนให้ได้ครับ แต่ถ้าวันไหนเรารู้สึกไม่ไหวจริงๆ เขียนไปคนอ่านก็จะได้อ่านบทความที่ห่วยๆ เราก็จะโทรไปบอกว่าของด ไม่เขียน ซึ่งก็จะรู้สึกผิดมากๆ แต่ก็จะเกิดขึ้นน้อยมากนะครับ นอกจากเมื่อประมาณสองสามอาทิตย์ก่อน อาการปวดหลังกำเริบ คือผมจะมีปัญหาเรื่องหมอนรองกระดูกหลัง คราวนี้อาการหนัก นอนลุกไม่ขึ้นอยู่สองวันเต็ม และต้องพักเอนๆ อยู่เกือบอาทิตย์ หายหน้าไปเลยอาทิตย์นึง
เขียนที่ดี ควรมีคุณสมบัติอย่างไรคะ
พชร : อันนี้ขอไม่ตอบนะ ถ้าคิดว่าเป็นนักเขียนที่ดีได้เมื่อไรแล้วจะบอกให้ฟัง 🙂
พี่มีนักเขียนคนไหนเป็นแบบอย่างหรือเป็นครูหรือเปล่าคะ
พชร : หนังสือที่อ่านมาทุกเล่มคือครูของเรา นักเขียนที่เป็นแบบอย่างมีอยู่สามคน
หนึ่งคือพ่อ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช พ่อเป็นคนเขียนหนังสือที่มีความรับผิดชอบต่องานเขียนของตัวเองอย่างมาก และงานของพ่อส่วนใหญ่จะเป็นข้อเสนอแนะต่อสังคมไทย คนที่สองคือคุณสนธิ ลิ้มทองกุล บก.ใหญ่ของผู้จัดการ เป็นแบบอย่างในเรื่องการเขียนที่สนุก เข้าใจง่าย มีอุปมาอุปไมยที่เห็นภาพชัด คนที่สามคือ ป.อินทรปาลิต ผมอ่านพล นิกร กิมหงวน มาตั้งแต่สิบกว่าขวบ ถึงตอนนี้ผมยังอ่านเรื่องเก่าๆ ซ้ำไปซ้ำมาอยู่เลย เรื่องละไม่ต่ำกว่าห้ารอบ เขาทำได้ไงเนี่ย
แล้วนักเขียนที่ชื่นชมผลงานล่ะคะมีใครบ้าง
พชร : หลายคนครับ ทั้งในและนอกประเทศ เยอะมาก
ทราบมาว่าพี่ชอบอ่านหนังสือ มีเรื่องไหนที่เป็นหนังสือในดวงใจบ้างไหมคะ
พชร : พล นิกร กิมหงวน หนังสือที่ไม่เคยล้าสมัยสำหรับผม มาเป็นอันดับหนึ่ง ที่เหลือชอบเท่าๆ กันหลายเรื่อง บางทีก็ชอบเป็นคนๆ คือชอบที่เขาแต่งเกือบทั้งหมด เช่นนิยายของ ว.วินิจฉัยกุล หรือกำลังภายในของกิมย้ง แล้วก็มีหนังสือของคนในครอบครัวของพ่อ ของพลอย (จริยะเวช)
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.praphansarn.com