Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

พงศกร : ถักทอความหลอกหลอน สู่ตัวอักษรในนวนิยาย

 

 
          ถ้าจะพูดถึงนวนิยายไทยแนวลึกลับสยองขวัญ ชื่ออันดับต้น ๆ  ในใจนักอ่าน คงหนีไม่พ้นนักเขียนที่มีนามปากกาว่า 
‘พงศกร’ อย่างแน่นอน เพราะโดยส่วนใหญ่ ผลงานของพงศกรจะเป็นไปในแนวลึกลับสยองขวัญแทบทั้งสิ้น จึงถือได้ว่า
 ‘พงศกร’ เป็นเจ้าพ่อนวนิยายลึกลับสยองขวัญของ พ.ศ. นี้เลยก็ว่าได้ และที่สำคัญ      เขาไม่ได้จับปากกาแต่เพียงอย่างเดียว 
เพราะงานหลักของเขายังเป็นแพทย์คอยดูแลชีวิตของคนไข้ ทำให้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดและจิตใจของผู้คน รวมถึงส่งผล
ต่อการสร้างอารมณ์ในผลงานเขียนได้เป็นอย่างดี
         ‘ออล แม็กกาซีน’ พลาดไม่ได้ ที่จะขอนัดพบนักเขียนนาม ‘พงศกร’ ท่านนี้ เพราะด้วยเรื่องราวชีวิตที่น่าสนใจ รวมทั้ง
ผลงานสร้างชื่อของเขาที่ทำให้นักอ่านรู้จักกันจาก ชุดนวนิยายผีผ้าทั้ง 4 เรื่อง ไม่ว่าจะเป็น     สาปภูษา รอยไหม และผลงาน
ล่าสุด ‘กี่เพ้า’ รวมถึง สิเน่หาส่าหรี ที่จะตีพิมพ์ในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งทั้ง 4 เรื่อง ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ให้กับนวนิยายไทยบ้านเรา
 ในการนำเอาวัฒนธรรมมาผสมผสานกับความหลอนได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังเป็นการสร้างตัวตนในพื้นที่ทางวรรณกรรม
ให้กับ ‘พงศกร’ ได้เป็นผลสำเร็จ
 
all : รักการอ่านและชอบการเขียนมาตั้งแต่ชั้นประถมขนาดนี้ พี่หมอฝันอยากเป็นนักเขียนตั้งแต่เด็กเลยหรือเปล่าครับ 
พงศกร :  อยากเป็นนักเขียนนะ แต่ตอนเด็กมันยังนึกไม่ออกว่าจะเป็นอาชีพได้หรือเปล่า พี่รู้แต่ว่า พี่เองเขียนและอ่านหนังสือ
มาเยอะ อีกทั้งพี่ก็ฝันเอาไว้ว่าอยากเขียน เลยลงมือเขียน และบังเอิญพี่อาจจะโชคดี เพราะสมัยเด็ก ๆ มีนิตยสารเด็กค่อนข้างมาก 
ซึ่งทางนิตยสารจะเปิดรับเรื่องสั้น ไม่ก็แต่งเรื่องจากภาพ แล้วให้เราส่งไป ซึ่งพี่เป็น ‘นักล่ารางวัล’ (หัวเราะ) เลยแต่งส่งไปดู
 พออยู่ประมาณ ป.5 เขียนเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง ส่งไปที่นิตยสารสวิตา ผลออกมาคือได้ลง ได้ค่าเรื่องเป็นเงิน 200 บาท (หัวเราะ) 
เพราะ 200 บาท ถือว่าเยอะมากสำหรับเด็กในยุคนั้น แต่พอเริ่มเรียนหนักขึ้น ก็ไม่ได้เขียนเป็นเรื่องเป็นราวอีกเลย
 
all : แล้วทำไมถึงเลือกประกอบอาชีพแพทย์ครับ เพราะดูจะไม่ตรงกับสิ่งที่ตัวเองชอบ
พงศกร :  จริง ๆ อยากเป็นทั้ง 2 อย่าง คืออยากเป็นหมอตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะเวลาเล่นชอบจับเด็กแถวบ้านมาผ่าตัด รู้สึกสนุก 
เลยอยากเป็นหมอ แล้วพอดีมีจุดหักเหช่วง ม. ปลาย คุณพ่อล้มป่วย ป่วยได้ประมาณ 1 เดือนก็เสียชีวิต ตอนนั้นพี่งงมาก 
เพราะไม่รู้ว่าพ่อเป็นอะไร เนื่องจากพ่อแข็งแรงมาโดยตลอด อีกทั้งคุณหมอก็ไม่ได้อธิบายอะไรมากเกี่ยวกับการเสียชีวิตของพ่อ 
พี่เลยรู้สึกว่า อยากเป็นหมอตั้งแต่ตอนนั้น ตอน ม.6 เลยตัดสินใจเลือกสอบเอ็นทรานซ์เป็นแพทย์  แล้วพี่คิดอยู่อย่างหนึ่งคือ 
การเขียนหนังสือ เราทำอะไร เราก็เขียนได้ ไม่จำเป็นจะต้องเรียนจบด้านนั้นมาโดยตรง พี่ว่า ‘การเขียน’ มันเป็นทักษะที่ทุกคน
สามารถพัฒนาได้ครับ
 
all : ทั้งเขียนงานและรักษาคนไข้ไปด้วย จัดวางส่วนผสมระหว่าง 2 อาชีพนี้ให้มีความสมดุลอย่างไร 
พงศกร : พี่ไม่ต้องอยู่เวรดึก ก็เลยมีเวลาเขียนหนังสือ ซึ่งพี่จะทำงานในเวลาปกติ 8.30 – 16.30 น. กลับบ้านก็มีเวลาดูโทรทัศน์ 
อ่านหนังสือนิดหน่อย และหลังจากนั้น ถึงจะเริ่มเขียนหนังสือครับ 
all : พี่หมอเริ่มจับปากกาเขียนหนังสือจริงจังช่วงไหนครับ 
พงศกร : หลังจากพี่ได้รางวัลสุภาว์ เทวกุลฯ ครับ โดยประกาศรางวัลในปี 2544  ประจวบเหมาะกับนวนิยายเรื่อง ‘ทะเลราตรี’ 
ที่พี่ส่งไปก็ได้ลงปี 2544 เช่นกัน เลยถือได้ว่าปี 2544 เป็นจุดเริ่มต้นเลยก็ว่าได้ และตอนช่วงนั้น คนเขียนแนวลึกลับไม่ค่อยเยอะ 
พอหลังจากคุณ ‘จินตวีร์ วิวัธน์’ แล้ว แทบไม่มีใครเขียนแนวลึกลับออกมาอีกเลย จึงเหมือนกับพี่มาเสริมตรงจุดนี้ ในแนวทาง
นี้พอดี อีกทั้งยังมีโอกาสได้ทำงานต่อเนื่อง และกระแสแนวลึกลับก็ยังมีคนอ่านอยู่ พอ ‘สร้อยแสงจันทร์’ ที่พี่เขียนได้ไปทำ
ละครอีก หลังจากนั้นพี่ก็เลยเขียนมาตลอด
 
all : พอรู้บ้างไหมครับว่า พี่หมอได้รับฉายาจากนักอ่านว่าเป็น ‘เจ้าพ่อนวนิยายลึกลับสยองขวัญ’ 
พงศกร : ‘เจ้าพ่อนวนิยายลึกลับ’ เคยได้ยินเหมือนกันครับ โดยเฉพาะที่เขาบอกกันว่าเป็น ‘เจ้าพ่อผีผ้า’ (หัวเราะ) เพราะว่ามัน
มาจากตอน ‘สาปภูษา’ ที่จริงตอนที่พี่เขียนสาปภูษาอยู่ พี่ค้นเรื่องของผ้าเยอะมาก แล้วรู้สึกว่า มันน่าสนใจมากเกินกว่าจะเก็บ
เอาไว้คนเดียว ก็เลยทำเป็นนวนิยายชุดออกมา
 
all : หลงใหล หลงเสน่ห์ หรือหลงรักอะไรในนวนิยายแนวนี้ครับ ถึงมีออกมามากกว่าแนวอื่นๆ
พงศกร :  ต้องบอกว่าเป็นแนวถนัดที่สุดของพี่ แล้วก็ชอบเขียนเป็นการส่วนตัวด้วย โดยพี่จะเริ่มต้นจากการอ่านก่อน เพราะ
พี่ชอบอ่านแนวผี ลึกลับ ซึ่งยุคพี่ นักเขียนที่ดังที่สุดคือ คุณ ‘จินตวีร์ วิวัธน์’ เขียนเอาไว้เยอะมาก       พี่รู้สึกตื่นเต้นมากกับเรื่อง
ที่เขาเขียน พอคุณจินตวีร์เสียชีวิต ก็ไม่ค่อยมีใครเขียนแนวนี้อีก หรืออาจจะมีคุณหญิง วินิตา ดิถียนต์ นามปากกา ‘แก้วเก้า’
 ก็จะเขียนเรื่องลึกลับเหมือนกัน แต่มันจะได้อีกความรู้สึกหนึ่งที่ไม่เหมือนของคุณจินตวีร์ วันหนึ่งพี่เลยรู้สึกว่า ลองเขียน
ดูบ้างดีกว่า เพราะว่าเวลาพี่เขียน พี่ชอบเล่นและหลอกล่ออารมณ์ของคนอ่าน เลยเขียนงานแนวนี้เป็นหลัก ดังนั้น ถ้าถามถึง
งานของ ‘พงศกร’ ก็น่าจะนึกถึงงานลึกลับเป็นอันดับแรก ๆ
 
all :  ไม่ทราบว่า พี่หมอได้รับแรงบันดาลใจจากไหนในการสร้างนวนิยายชุดผีผ้าทั้ง 4 เรื่องนี้ครับ 
พงศกร :  เริ่มต้นจริง ๆ ก็น่าจะมาจาก ‘สาปภูษา’ นี่แหละ เพราะตอนเขียนสาปภูษา พี่ค้นเรื่องผ้าไว้เยอะมาก และไปคุยกับ
บรรดาคนที่ทอผ้าในจังหวัด บังเอิญพี่อยู่ราชบุรี ก็จะมีการทอ ‘ผ้าคูบัว’ ของกลุ่มคนไท – ยวน ที่นั่นมี  คนแก่หลายคน โดยเฉพาะ
บางคน เขาเป็นศิลปินสาขาผ้าทอของจังหวัด และเป็นคนไข้ของพี่ เลยได้พูดคุยกัน นอกจากเห็นเขาทอแล้ว ยังไปเดินชม
พิพิธภัณฑ์ เอาหนังสือภาพมาอ่าน มาดู พี่พบว่าทุกลวดลาย ทุกเส้นไหม   มีเรื่องราวของชีวิตคน และมีวัฒนธรรมอยู่ในนั้น 
ไม่ว่าจะผ่านมา 50 หรือ 100 ปีแล้วก็ตาม ทุกผืนผ้ามันมีเรื่องราวแฝงอยู่ แต่พอจะนำมาเล่าเป็นสารคดี พี่ว่ามันไม่สนุก ไม่ใช่แนวพี่ 
พี่เลยสร้างพล็อตเรื่องจนเกิดเป็นนิยายขึ้นมา
 
all : การหาข้อมูลของผ้าแต่ละชิ้น แต่ละชาติ เพื่อนำมาแต่งนิยายนี่ยาก และใช้เวลานานแค่ไหนครับ 
พงศกร :  ค่อย ๆ เก็บสะสมไปเรื่อย ๆ ครับ ถ้าเห็นหนังสือก็จะซื้อเก็บไว้อ่าน จนกระทั่งวันหนึ่ง พี่รู้สึกว่า  มัน ‘ตกตะกอน’ 
จึงค่อย ๆ เอาทุกอย่างมาประกอบร่าง แล้วเริ่มลงมือเขียน เรื่องหนึ่งก็ไม่ต่ำกว่า 1 ปี หรือ 2 ปี แล้วจุดสำคัญที่สุดของการเขียน
ของพี่คือ พี่ต้องเห็นภาพ และสัมผัสมันได้ ถึงจะบรรยายออกมาได้
 
 
 
all : ผีตัวนำในนวนิยายชุดผีผ้าทั้ง 4 เรื่อง ล้วนแต่เป็นผู้หญิงหมดเลย ทำไมต้องให้ผู้หญิงเป็นผีครับ 
พงศกร : ถ้าพูดถึงเรื่องผ้า ความผูกพันของผ้า พี่จะนึกถึงผู้หญิงเป็นหลัก เพราะถ้าลองสังเกตดูดี ๆ ผ้าจะเป็นการสร้างสรรค์
ขึ้นมาสำหรับสตรีมากกว่าบุรุษ และอีกอย่างด้วยแก่นของเรื่อง พี่รู้สึกว่ามันทำให้เรื่องดูสวยงาม แล้วพอเป็นผีผู้หญิง มันดูมี
ความลึกลับมากกว่าผีผู้ชาย เพราะผีผู้หญิงจะมีเรื่องราวของอารมณ์ค่อนข้างมาก   มันสามารถเล่นกับอารมณ์ของตัวละครและ
นักอ่านได้ ผีของพี่ส่วนใหญ่ก็เลยเป็นผีสตรีครับ
 
all : ผีตัวนำในชุดนวนิยายผีผ้าทั้ง 4 เรื่อง ผีตัวไหนสร้างยากมากที่สุดครับ และเพราะอะไร 
พงศกร : ที่จริงต้องบอกก่อนว่า ผีตัวนำในแต่ละเรื่องจะมีลักษณะเฉพาะไม่เหมือนกัน แต่พี่ว่าลักษณะของผี   ที่สร้างที่ยากและ
แข็งแรงมาก เห็นจะเป็น ‘สีเกด’ เพราะสีเกดเป็นเจ้าหญิงลาวที่ถูกกวาดต้อนมาเมืองไทยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เป็นทั้งเชลย
สงคราม แถมเป็นคนลาวอีก ซึ่งในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น คนสยามมักจะมองคนกลุ่มนี้เป็นคนอีกชนชั้นหนึ่ง แล้วบังเอิญ 
สีเกดไปรักกับเจ้านายฝ่ายไทย ซึ่งเจ้านายฝ่ายไทยก็มีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว มันเลยสร้างความกดดันและเจ็บแค้นให้ตัวละครนี้
ตั้งแต่เป็นมนุษย์ จนกระทั่งตายเป็นผีก็ยังอาฆาตพยาบาท เพราะฉะนั้นพี่ว่า ‘สีเกด’ เป็นผีตัวนำที่สร้างยากมาก แล้วก็คงสร้าง
แบบนี้อีกลำบาก
 
 
 
all : นวนิยายชุดผีผ้าทั้ง 4 เรื่อง เล่มไหนที่ประทับใจ ตราตรึงใจพี่หมอมากที่สุด
พงศกร : พี่ชอบหมดนะ เหมือนลูก 4 คน แต่ว่าจะรักลูกคนไหน มันก็ต้องมีว่าคนนั้น มากกว่าคนนี้นิดหนึ่ง      แต่ถ้าเป็นเล่มที่
สร้างความภาคภูมิใจให้พี่มาก น่าจะเป็น ‘รอยไหม’ เพราะถือเป็นบันทึกช่วงเวลาหนึ่งที่พี่เคยไปทำงานที่หลวงพระบาง เป็นเมือง
ที่พี่ประทับใจครับ จึงบันทึกไว้ในเรื่องนี้ และเป็นเรื่องที่บังเอิญได้รางวัลชมเชยในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติด้วย ก็รู้สึกดีใจ
 เป็นเรื่องที่เขียนอย่างมีความสุข และเป็นเรื่องที่ทำให้คนรู้จัก ‘พงศกร’ เยอะขึ้น
 
all :  นอกจากผีผ้าแล้ว ได้คิดพล็อตผีอย่างอื่นเอาไว้ไหมครับ 
พงศกร :  ตอนนี้ มีเรื่องหนึ่งในสกุลไทยชื่อว่า ‘มายาเงา’ เป็นเรื่องของเด็กที่อยู่ในบ้าน แล้วบ้านถูกระเบิด แล้ววิญญาณก็
อยู่ในบ้านตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็จะเป็นเรื่องที่ฉีกออกไป ซึ่งเป็นเรื่องของจิตวิทยาการเลี้ยงดูเด็กเป็นหลัก แล้วจริง ๆ 
ต้องบอกว่า เรื่องผ้ายังมีพล็อตเอาไว้อีกประมาณ 2 – 3 เรื่องครับ ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนเกี่ยวกับชุดกิโมโนของญี่ปุ่น ซึ่งได้วางพล็อต
เอาไว้แล้ว และลุนตยาของพม่า ตั้งชื่อเรื่องไว้แล้วว่า ‘เล่ห์ลุนตยา’ แต่ว่ายังไม่ได้เขียนในตอนนี้ครับ
 
all : พี่หมอจะบอกอะไรกับ ‘นักอ่านหน้าใหม่’ ที่สนใจผลงานของพี่หมอบ้างครับ 
พงศกร : แนวของพี่เป็น ‘แนวลึกลับ’ เพราะฉะนั้น ในเรื่องของ ‘โรแมนซ์’ อาจจะมีไม่มาก เพราะพี่จะเน้นในเรื่องของอารมณ์ 
สัญชาตญาณ และความน่ากลัวสยดสยอง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลย เพราะพี่ว่า ‘โรแมนซ์’ มันทำให้เรื่องสวยงาม เหมือนมี 
‘ดอกไม้อยู่ในสุสาน’ (หัวเราะ) แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องของความน่ากลัว ทีโรแมนซ์จะมากลบไม่ได้ ถ้าอ่านงานของ ‘พงศกร’ 
อยากให้คาดหวังในเรื่องของความน่ากลัว ลึกลับ เอาไว้ก่อน เรื่องโรแมนซ์พี่มีให้ประปราย เหมือนเดินเข้าไปในสุสาน ก็จะมี
ดอกไม้บ้างนิด ๆ หน่อย ๆ (หัวเราะ) ดังนั้น ถ้าอ่านไปแล้วพบว่าเรื่องไม่หวานจัด ก็ให้อภัยพี่ด้วย (หัวเราะ) เพราะจุดขายของพี่
คือความน่ากลัวครับ
 
all :  ‘รอยไหม’ กำลังจะได้ออกอากาศ พี่หมอคาดหวังให้ผู้ชมหรือนักอ่านได้อะไรจากเรื่องนี้ครับ 
พงศกร : แก่นของ ‘รอยไหม’ จริง ๆ อยากบอกเรื่องของ ‘การให้อภัย’ ครับ เพราะพี่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของคนเรา คือ 
‘การให้อภัยกัน’ ไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยทำอะไรผิด อยากจะให้คนเราให้อภัยกันครับ
 
all : ยังมีนวนิยายแนวอื่น ๆ อีกไหมครับ ที่พี่หมออยากลองเขียนออกมา หรือยังไม่เคยเขียนมาก่อน 
พงศกร : ที่ยังไม่เคยเขียนเลยคือ ‘แนวพีเรียด’ ที่เป็นพีเรียดจริงๆ ไม่ใช่ตัวละครย้อนกลับไปในอดีต แต่ว่าเป็นเหตุการณ์ที่
เกิดขึ้นในอดีตตั้งแต่ต้นจนจบในสมัยนั้น ๆ เลย อย่างเรื่องสี่แผ่นดิน หรือร่มฉัตรครับ
 
all : ได้ข่าวว่าพี่หมอเปิด ‘สำนักพิมพ์’ ด้วย และจะแบ่งเวลาเขียนหนังสืออย่างไรครับ
พงศกร : พี่คงเขียนต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเขียนไม่ไหว ถ้าวันหนึ่งเขียนแล้วไม่มีคนอ่าน พี่ก็จะเก็บไว้อ่านเอง (หัวเราะ)  
และแนวความคิดในอนาคตของพี่มันคงจะ ‘ตกตะกอน’ มากกว่านี้ และอยากจะเขียนสิ่งที่เป็นที่จดจำของคนไปตลอด แม้ว่า
เราไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว ก็อยากจะให้ยังมีคนหยิบงานของเราขึ้นมาอ่านอยู่เรื่อย ๆ นี่เป็นความฝันนะครับ ส่วนเรื่องของ
สำนักพิมพ์ สมัยก่อน พี่จะทำแต่เรื่องของการเขียนอย่างเดียว พี่ไม่เคยรู้ในเรื่องของกระบวนการผลิต เลยลองมาทำสำนักพิมพ์
เล็ก ๆ กับน้องชายดู พอมาทำก็พบว่า โอเคเลย ทำให้พี่เข้ามารู้เรื่องกระบวนการผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งพอมาทำแล้ว ยิ่งได้ใกล้ชิด
กับนักอ่านยิ่งกว่าเดิมมากครับ
 
all : ‘คำ 3 คำ’ ที่บ่งบอกถึงตัวตนและผลงานของพี่หมอครับ 
พงศกร : น่าจะเป็นคำว่า ‘ลึกลับ’, ‘วัฒนธรรม’ เพราะว่าทุกเรื่องของพี่จะต้องมีวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่อง 
และอีกคำน่าจะเป็น ‘ความสุข’ เพราะอยากให้อ่านเรื่องของพี่จบแล้ว ทุกคนจะต้องมีรอยยิ้ม อ่านแล้วรู้สึกอิ่มใจ มีความสุข
ที่ได้อ่าน ไม่ว่าจะอ่านเอาสนุก หรืออ่านเก็บวัฒนธรรมก็ตามครับ
 
ภาพ : พศิน สาทสนิท
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก http://www.all-magazine.com