ผลการสอบปากคำ บก.ซีไรต์ 2.5 สมัย

เสี้ยวจันทร์ แรมไพร
ผลการสอบปากคำ บก.ซีไรต์ 2.5 สมัย : ความจริงที่คนอยากเป็นนักเขียนต้องรู้ !
ชื่อเสียง เป็นเพียงหัวโขนที่คนอื่นสวมให้ การทำงานที่มีคุณค่า คือการสวมมงกุฏให้ตัวเอง
ผู้ต้องสงสัย : กนก สงิมทอง
ชื่อที่ใช้ในการก่อการ : เสี้ยวจันทร์แรมไพร
ข้อหา : บก.ซีไรต์ 2541: แรคำ ประโดยคำ "กวีนิพนธ์ : ในเวลา"
บก.ซีไรต์ 2544: โชคชัย บัณฑิต"กวีนิพนธ์ : บ้านเก่า"
บก.เกือบซีไรต์ 2545 : ปริทรรศ หุตากูร"เรื่องสั้น: แม่มดบนตึก"
ผู้ชายคนนี้ ส่งงานเขียนของนักเขียนดีเด่นสามคนขึ้นเวทีโอเรียนเต็ล ด้วยคะแนน 2.5 จากคะแนนเต็ม 3 คงจะพิสูจน์ได้ว่าสายตาบรรณาธิการของเขาไม่ธรรมดา นกอิสระบินปร๋อตลอดการสัมภาษณ์ ไม่ง่ายเลยที่มือใหม่อย่างเรา จะล้วงลูกเด็ดทีเผลอ มีหลายคำตอบฟังแล้วเจ็บกระดองใจ แตคนอยากเป็นนักเขียน น่าจะได้รู้
รูปแบบความสำเร็จของอาชีพนักเขียนที่พี่เสี้ยวคิดว่าใช่
อย่างแรกนะ–ต้องสามารถสร้างสรรค์งานที่ดีมีคุณภาพออกสู่วงการได้อย่างสม่ำเสมอ นักเขียนจริงๆ ควรปฏิบัติแบบนี้ พี่ยังเชื่อเรื่องความต่อเนื่อง ถ้านักเขียนทิ้งความต่อเนื่องไปก็จะไม่มีแฟน แฟนก็คือกลุ่มคนอ่าน เราทิ้งงานเขียนไปนานแล้วถูกลืม เป็นไปได้นะ ซึ่งมีเยอะมากที่ถูกลืม
อย่างที่สอง–คุณภาพงานเขียนอยู่ในระดับดีถึงดีมาก จำเป็นมากเลย คือบางทีงานเขียนมันไม่ใช่แบบอะไรก็ได้นะ ต้องเป็นงานที่เน้นน้ำหนัก มันไม่ใช่งานตากอากาศ แต่เหมือนอยู่กลางสนามรบ คือต้องรบอย่างเดียว ซึ่งถ้าเราอยากจะผ่อนคลายบ้างก็ได้ ทำสัก 5 เล่ม ผ่อนคลายสักเล่ม สักคอลัมน์ ผ่อนคลายไม่ใช่ว่าเป็นงานที่ไม่ดีใช่ไหม คือเวลาที่ผ่อนคลาย แนวมันอาจจะเปลี่ยนไปเลยก็ได้ แต่ไม่ใช่ลดคุณภาพ
อย่างที่สาม-ผลงานได้รับตีพิมพ์ และมีผู้อ่านจำนวนมาก ต้องมีคนอ่านถ้าหนังสือ ไม่มีคนอ่านเราต้องเขียนเอาไว้เอง เก็บซีร็อก แล้วก็อ่านให้ตัวเองฟัง ส่วนเรื่องมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายนี่ไม่ซีเรียส การมีชื่อเสียงมันแล้วแต่ละคน ชื่อเสียงสำหรับพี่เองพี่คิดว่าพี่เฉยๆ กับเรื่องตรงนี้นะ
ชื่อเสียงกับการยอมรับแตกต่างกันอย่างไร ทำให้เป็นที่รู้จักยอมรับแพร่หลายทำไงคะ
ชื่อเสียงคือเหมือนหัวโขนที่คนอื่นส่งมาให้ แต่การยอมรับเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นเอง ถ้าเราส่งหัวโขนให้ตัวเองก็บ้าแล้วซิ ฉันมีชื่อเสียงด้วยนะ อุ๊ย!เสี้ยวจันทร์ แรมไพร ไปเมเจอร์ คนไม่มองกลับไปบ้าน เศร้าใจตาย ถ้าเป็นผมเองผมไม่อยากเป็นคนแบบนั้น รู้สึกว่ามันไม่ใช่
แค่อยากให้มีการยอมรับ การยอมรับจากคนอ่านก็ไม่พอ ก็คือนักวิจารณ์อาจจะพูดไว้ว่างานเขียนนั้นมันอยู่ในยุคสมัยมันไม่บอกยุคสมัยของเรา
อย่างที่สี่–ก็คือต้องการการยอมรับของผู้อ่าน นักวิจารณ์ และเป็นตัวแทนแห่งยุคสมัยด้วย
ทำไมนักเขียนไม่สามารถผลักดันสิ่งล้ำค่าที่ตัวเองคิดออกมาสู่คนอ่านสักที หรือเพราะว่านักเขียนส่วนใหญ่ไม่รู้จัดทำการตลาด นักเขียนต้องใช้นักโฆษณามาช่วย จริงหรือเปล่า
นักเขียนก็สามารถเป็นนักโฆษณาได้ เพียงแต่ว่ารูปธรรมนามธรรมจะพอหรือเปล่า กลับไปที่จุดเมื่อกี้พี่คิดว่าจริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่เหมือนอุตรดิตถ์เมืองลับแล นักเขียนเขียนดีแต่ขายไม่ได้ก็มี คือมันเป็นปริศนา
ถ้าคุณคิดว่าเขียนดีทำไมไม่ออกมาประกาศในทีวีเหมือนยาสีฟันว่างานเขียนคุณดี เพราะอะไร
ผมยังรู้สึกว่ามันอยู่ก่ำกึ่ง การทำงานของพี่รู้สึกแค่ได้เกือบดี แต่ไม่เคยดีมาก เลยไม่กล้าโฆษณาตัวเอง
ที่สำคัญนักเขียนเป็นคนที่ไม่มีอิทธิพลในเรื่องแบบนั้น
เขาอาจเป็นคนมีอิทธิพลทำความคิดในสังคมให้กับโลก แต่เขาไม่ได้เป็นคนทำการเรื่อง Commercial โฆษณาชวนเชื่อ สร้างศรัทธา นักเขียนปัจจุบันโดยรวมแล้วล่องลอยมากในประเทศไทย สมมุติถ้าเราอยู่โคลัมเบีย หรือเราอยู่สเปน ฝรั่งเศส หรือเราอยู่ปารีส เราทำงานในระดับประมาณนี้นะ เขียนเป็นภาษาอังกฤษเหมือนกันนะ พี่ถือว่ายิ่งใหญ่เท่ากัน แต่เราไม่มีอิทธิพลที่นี่เป็นเพราะว่า ภาพรวมของประเทศเรา ศิลปะ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ ของเรามันไม่ได้เอื้อ ไม่ได้ดูแลรากฐานของการอ่าน ปลูกฝังวัฒนธรรมของการอ่าน
ฟังจากบทบาท ตีความเอาเองว่านักเขียนก็คงไม่ได้ทำงานเขียนขั้นมาเพื่อที่จะสร้างสรรค์อะไร เพียงแต่ตอบสนองสิ่งที่ตัวเองเชื่อ แล้วถ่มมันออกมา แล้วใครจะไปทำอะไรต่อออกมาก็ช่าง นักเขียนก็เหมือนคนสำเร็จความใคร่เท่านั้นเอง จริงหรือเปล่าคะ
ก็ไม่เชิงบางส่วนมันก็จะบอก พี่ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดอย่างไง แต่สำหรับพี่ เวลาพี่เขียนหนังสืออะไรสักอย่าง พี่จะบอกว่าพี่คิดอะไร มุมมองของสังคมอย่างนี้มันเป็นอย่างไร แล้วก็จะบอกว่าไม่เคยเป็นคนที่หาทางออกให้กับสังคมเลยนะ ไม่ใช่เป็นคนใช้สูตรสำเร็จ ผมแค่จะชี้ให้คุณได้เห็นว่าตอนนี้สังคมเรามันเหงากันขนาดนี้ ดูซิ..คนเราต้องโทรศัพท์กันในรถไฟฟ้ากันทุกจุด เยอะมาก
ถ้างั้นนักเขียนก็ไม่มีความหมายลึกซึ้งแท้จริงอะไร มันถึงไม่มีใครอ่าน แบบนี้สมน้ำหน้าก็ถูกแล้วนี่คะ
โดยส่วนรวมใช่ไหม นักเขียนไม่ได้ทำเพื่อใคร ทำเพื่อตอบสนองแรงบันดาลใจทางศิลปะของตัวเอง มันก็สมควรแล้วหรือเปล่าที่จะไม่ได้การยอมรับ
แต่อย่าลืมว่านักเขียนไม่ได้อยู่ในทีวี นักเขียนไม่ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์ นักเขียนไม่เป็นอะไรสักอย่าง
ก็เหมือนกับเราติดอยู่ในปลัก ปลักใครปลักมันไง ปลักของเราก็คือพี่หนีรอยเท้าของตัวเองไม่ได้ พี่ก็ไม่อยากทำงานซ้ำ แต่ถ้าถามว่านักเขียนอยากมีชื่อเสียงทำอย่างไงให้หนังสือขายดี ก็ต้องไปออกทีวีเพราะทีวี เป็นพระเจ้า ทำตัวมีคาแรคเตอร์ ทำตัวมีบุคลิก
แสดงว่ามันก็มีคำตอบอยู่ในนั้นเพียงแต่เขินอายที่จะทำอะไรลงไป
มันไม่มีอะไรน่าสนใจ คุณก็ไม่น่าสนใจ ผมก็ไม่น่าสนใจมาก นักเขียนไม่ได้เป็นมนุษย์ที่น่าสนใจ แต่สื่อสารมวลชน โดยเฉพาะทีวีเขาต้องหาเรื่องน่าสนใจ หาคนที่น่าสนใจไปนำเสนอให้ประชาชนเสพ
ถ้ามีใครทำให้ก็อยาก
อยาก ในส่วนตัวพี่เอง แต่เราไม่มีโอกาสทำแบบนั้นอย่างเช่นว่า สมมุติว่านักเขียนไปออกรายการเจาะใจ รายการทไวไลท์โชว์ มันจะส่งผลต่อการคิดของคนอื่น ความคิดก็คือมวลชนทั้งนั้นแหละ คนปัจจุบันไม่ได้สนใจในลักษณะที่ว่าเขาจะคิดอะไร แต่ที่สำคัญภาพเขาเป็นอย่างไร
ตราบใดที่เราไม่ได้ลงรากจริงๆ ที่จะแก้ไขปัญหาหรือตอบโจทย์ของสังคม เช่นเดียวกับนักเขียนก็ไม่ได้ตั้งใจจะตอบอะไรเหมือนกับ ทำเป็นเขียนสะกิดให้เห็นประเด็นปัญหา ทำเท่ห์ด้วยการบอกว่าทิ้งท้ายให้คนอ่านได้คิดเองทั้งนั้น คือความจริงตัวเองก็ไม่รู้คำตอบหรอก หมายถึงเมืองไทยนะ
แล้วงานเขียนที่มีคุณภาพหมายถึงอะไร
มันสั่นสะเทือนสังคมได้ สั่นสะเทือนพอที่จะเปลี่ยนแปลงภายในมนุษย์สักคนหนึ่ง ให้เติบโตขึ้นมาจากหนังสือ เปลี่ยนแปลงชีวิต เติบโตจากปริญญาชีวิต เติบโตจากขุยไม้ไผ่ เติบโตจากฤทธิ์มีดสั้น เติบโตจากเจ้าชายน้อย ฯลฯ คือหนังสือสมัยก่อนมันเป็นกุญแจไง แต่ปัจจุบันคนไม่ค่อยต้องการกุญแจ คนต้องการแค่ความสวยความงาม คนไม่ต้องการปฏิบัติภายใน คนต้องการแค่แบบไม่ดิ้นรน ปากกัดตีนถีบเผชิญหน้ากัน
ย้อนมาที่คำถามงานเขียนที่มีคุณภาพหมายถึงสั่นสะเทือนสังคม เปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้แล้วมีอะไรอีก
การได้โตขึ้นไปพร้อมกับการเรียนรู้ทุกอย่าง เคยได้อ่านงานที่เกี่ยวกับธรรมะรู้สึกว่าเราโตขึ้น เราเย็นลง แต่กลายเป็นว่าตอนเราร้อน เป็นหนุ่มเป็นสาวจะไม่อ่านงานพวกนี้ ต่อเมื่อเราเจออะไรมามากแล้ว ถึงจะย้อนมาอ่านกลับมาหาพุทธปรัชญาและศาสนา
เหตุผลที่ทำให้งานเขียนได้รับรางวัล ถามเพราะพี่เสี้ยวส่งคนไปรับรางวัลมาแล้วมากกว่า 1 คน
นักเขียนเขาจะต้องมีสไตล์เฉพาะอยู่แล้ว มีเสน่ห์อยู่แล้ว คือเราจะเข้าไปหาเขา ไม่ใช่เพื่อจะบอกเขาว่าคุณทำงานแบบนี้นะ คุณมีสไตล์แบบนี้นะ เรามีหน้าที่ไปกรอง ไปลำดับเรื่องราว ไปจัดน้ำหนักในรูปเล่มให้มันดูดี ที่จะไปประกวดประชันกับเขาได้ประมาณนี้ แต่เราไม่ต้องแต่งหน้าเองนะ แค่คัดจริงๆ เขาแต่งหน้าเองแล้ว เราเพียงแค่ไปตบๆ แบบหันข้างหันหน้าให้ดูหน่อยซิ ออกมาแล้วจะเป็นไงบ้าง
ถ้าให้สรุปนะ
อย่างแรก–ต้องมี คุณภาพต้องมีแน่นอนอันดับหนึ่งชัวร์
อย่างที่สอง–มีสไตล์ มีคาแร็กเตอร์ เฉพาะตัว
คราวนี้บรรณาธิการกับนักเขียนต้องนั่งพูดคุยกันทิศทางจะเป็นยังไงเอาแค่ตั้งชื่อปกก็ยากแล้ว
แล้วต้องรู้หรือเปล่าตอนนี้เขานิยมกินรสอะไรกัน เสพอะไรกัน สังคมกำลังโฟกัสเรื่องอะไร เวลาพี่เลือกว่านักเขียนคนนี้มันเข้าทาง
ตอนนี้พี่มองนวนิยายอยู่นะ พี่ต้องการงานที่มันซิมโบลิค อย่างโทรหาพี่มาโนช ชอบงานพี่มาโนชมากเลย พี่ทำให้ผมหน่อยเถอะนิยาย เรื่องสั้นก็ได้ วันก่อนถัดไปเจอพี่สุทธิชัย แสงกระจ่าง โดยบังเอิญมากบอกว่ามาโนช เขียนงานได้ดีมาก สิ่งที่เราคิดในใจมันตรงกับคนอื่นนะ หรือว่าเรวัติเขียนนิยาย ก็อยากจะอ่านงานของเรวัติ
พวกที่มีสไตล์จะไม่ใช่พวกที่เดินๆ เหินๆ ให้เห็น ไม่ใช่เป็นคนพวกสังคมจัด (เหน็บแนมคนถาม) คนที่มีสไตล์เขาจะมีมุมของมันเอง พวกนี้นิ่งเป็น พี่ชอบคนแบบที่สามารถซุกซ่อนตัวเองอยู่ในถ้ำของตัวเอง
พี่กำลังพูดถึงตัวตนหรือวิถีชีวิต?
ตัวตนด้วยวิถีชีวิตด้วย พี่มองว่าความสงบความนิ่งมันจำเป็น สำหรับคนที่จะสร้างงานอะไรได้ พี่ก็มองมาโนช นิยาย ซึ่งเขาก็ยังไม่ได้เขียนอะไรเลย หรืออย่างนางเอก–อัญชัญ ที่ลงในเนชั่น มันเป็นเรื่องที่เด่นเป็นประเด็นที่ใหญ่ พูดแล้วไม่ซีเรียสไม่มีใครกล้าทำหรอก นี่แหละงานที่มีคุณภาพ
เหตุผลทั่วไปที่ทำให้งานได้รับคุณภาพคือ ลักษณะเฉพาะของงาน คุณภาพของงาน ตัวตน วิถีชีวิต และความสงบความนิ่ง คือพี่ก็ต้องพิจารณาที่ตัวนักเขียนด้วยว่าไม่จะต้องไม่ใช่คนดาดๆ ธรรมดา ดูว่าเขาเป็นของจริง ไม่ใช่ของปลอม
ถ้าพูดเรื่องซ้ำอย่างโชคชัย บัณฑิต นี่โนเนมมากเลยนะ
พี่ชอบพล็อตชอบความง่ายในสิ่งธรรมดา แต่ว่ามันก็จะมีเรื่องราว
จำเป็นต้องมีความเข้าใจในยุคสมัย?
ต้องมี คนพยายามเกลียดโพสโมเดิร์นกันมากนะ หลังจากไม่เข้าใจโพสโมเดิร์น ไม่ชอบพวกโพสโมเดิร์น แต่จริงๆ แล้วโพสโมเดิร์นมันเป็นเพียงชื่อเรียกปรากฏการณ์ แล้วมันก็จะไปมันก็จะหายเหมือนมีอะไรมา เหมือนพวกเมจิคัลเรียลิสม์ เหมือนเราพูดเรื่องแอบเสิร์ด วิธีคิดแบบนี้มันตายหมดเลยนะ มันเป็นกลิ่นของยุคสมัย แล้วเราก็ดมๆ เอาพอใช้ได้ก็ทำเอา
เหตุผลที่สำนักพิมพ์หรือแมวมองหยิบจับงานเขียนชิ้นใดชิ้นหนึ่งมาปั้น หมายถึงพิมพ์ จำหน่าย โฆษณา เหตุผลมีอะไรบ้างจะได้เตรียมตัวมาถูก ให้ได้รับการปั้น
ข้อหนึ่ง — ต้องเขียนหนังสือดีนะ งานไม่ดีปั้นยังไงก็ไม่ได้ ให้สวยเลิศประเสริฐศรี เขียนหนังสือไม่เป็นก็ตาย
คนเขียนหนังสือเก่งก็มีเยอะ แต่ทำไมไม่ได้ดีสักที คำตอบข้อ 2 3 4 อาจจะพลิกชีวิตคนนะ ถ้าพี่ยอมบอกมา นอกจากงานเขียนมีคุณภาพจะต้องประกอบอะไรอีกคะ (ต้องดุ เพราะคุณเสี้ยวจันทร์ชอบเถลไถลไม่ตอบตรงคำถาม)
ข้อสอง — พูดชั่วๆ คนมันต้องมีเทรนด์ คือถ้าคุณไม่มีเทรนด์ในโลกปัจจุบัน ตายแน่ มันต้องมีหลายสิ่งหลายอย่างมาประกอบกัน
ตอนนี้ก็กำลังทำงานให้น้องคนหนึ่งอยู่ (งานปั้น แต่ไม่ใช่งานประติมากรรม ฟังแล้วคิดถึงคุณพี่พจน์ อานนท์ จังเลย) เขาเป็นคนสมัยใหม่ เป็นคนที่อยู่ในโลกปัจจุบัน เข้าใจยุคสมัยมากกว่าเรามากเลยนะ เพราะเขาเป็นวัยรุ่นด้วยไง เป็นคนเมือง หน้าตาเขาก็สำคัญ ทรงผมเขาก็สำคัญ
แล้วภาพลักษณ์อย่างปริทรรศ หุตางกูร เจ้าของงาน"แม่มดบนตึก" ที่ได้เข้ารอบสุดท้ายซีไรต์ปี2545 มันดีเกินขีดมาตรฐานมากแล้วใช่ไหม พี่ตุ้ยทำงานได้น้อยชิ้น แล้วมันก็ดีไง เขามีตัวตนที่เด่นทางด้านจิตรกรรมนะ จิตรกรรมเขาเด่นมาก แสดงว่านอกจากเขียนดีมากๆแล้ว เขาก็ต้องมีภาพลักษณ์อะไรบางอย่าง อย่างน้อยพี่ปริทรรศ หุตางกูร ก็มีภาพลักษณ์น่าสนใจ มีคาแร็กเตอร์ที่ไม่เกี่ยวกับนักเขียน แต่มาส่งทำให้ความเป็นนักเขียนและงานเขียนเด่นขึ้นมา จนบก.เห็นแวว ยกมาปั้นส่งประกวด ภาพลักษณ์นี่สำคัญมาก (แต่บก.บ่ายเบี่ยงที่จะตอบตรงๆ)
มันรวมถึงการใช้ชีวิตของเขาด้วย สมมุติว่าวันหนึ่งเรานั่งอยู่กับเขา พบว่าเขาเป็นแค่คนชอบกินก้อย ตลอดชีวิตไม่เคยกินสเต็ก ชีวิตคุณกินก้อยตลอดชีวิตเหรอ มันก็ไม่น่าสนใจสิ
เชื่อไหมว่าอาจารย์ปริทรรศ เป็นคนที่ลึกซึ้งละเอียดมาก อ่อนโยน เป็นคนพร้อมทำอะไรเสมอให้คนทั้งโลกและวงการเรา เขาเรียกว่างานดี แต่โชคไม่ดี ซีไรต์เป็นเรื่องโชคนะ ฝีมือหนึ่ง โชคหนึ่ง =เซ็นเซอร์=
ข้อสาม – คือก็ต้องเป็นคนอ่านหนังสือ ฟังเพลง แล้วก็ดูหนัง ถ้าเกิดมีคนถามตอนนี้ ตอบว่าดูหนังเกาหลี เขาถามต่อว่าหนังเกาหลีเป็นยังไง? ตอบไม่ได้ ตาย! ไม่ใช่ว่าคนเราต้องอ่านหนังสือพิมพ์ทุกวัน แต่อะไรที่เราจดจ่อกับมัน เราต้องสรุปให้ได้ ต้องเป็นคนวิเคราะห์เป็นด้วย วิเคราะห์ชีวิต วิเคราะห์สังคม แต่ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรมันได้นะ วิเคราะห์แล้วอาจจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็ได้
จำเป็นไหมว่าจะต้องเป็นคนที่รู้จริงอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างชัดเจน อย่างเช่น ช่างไม้ ชาวประมง เป็นอะไรสักอย่าง เป็นชาวบ้านเป็นคนตกงานเฉยๆไม่ได้
ความเป็น Technicianสำคัญมาก อย่างประชาคม ลุนาชัยเขาเป็นตัวอย่างที่ดีมาก แบคกราวน์ชีวิตเขาน่าสนใจ จะมีนักเขียนชื่อดังสักกี่คนที่ผ่านชีวิตการเป็นลูกเรือตังเก และเขาก็จะรู้จริงในด้านที่เขาคลุกคลีสัมผัสกับมันมาด้วยเลือดและวิญญาณของเขา ทำให้เขารู้จักตัวเองดีมาก สะท้อนออกมาในงานเขียน ไม่โกหกคนอ่าน ไม่หลอกตัวเอง
ทำไมนักเขียนเมืองไทยถึงไม่รวย เอาแบบคำตอบง่าย
จำนวนพิมพ์มันน้อย และก็คุณไม่ใช่นักเขียน Best Seller มันยากที่จะทำให้หนังสือพิมพ์เพิ่ม
เป็นเพราะว่าอัตราค่าตอบแทนมันไม่เหมาะสมกับแรงงานเกี่ยวไหม
พี่ว่า 10% บ้านเรา โอเคมากเลยนะ
อัตราโอเคเพียงแต่ว่าการพิมพ์มันน้อยเท่านั้นเอง
คือโอกาสที่นักเขียนจะอยู่ได้คือมันต้องพิมพ์เพิ่ม เวลานักเขียนคุยกันได้ค่าเรื่องสองหมื่น สามหมื่น เขาก็แฮปปี้นะ จริงๆ เงินเขาไม่ได้เยอะหรอก คือมันรวยในขณะนั้นไง แสดงว่านอกจากเขียนดีมากๆแล้ว เขาก็ต้องมีภาพลักษณ์อะไรบางอย่าง อย่างน้อยพี่ปริทรรศ หุตางกูร ก็มีภาพลักษณ์น่าสนใจ มีคาแร็กเตอร์ที่ไม่เกี่ยวกับนักเขียน แต่มาส่งทำให้ความเป็นนักเขียนและงานเขียนเด่นขึ้นมา จนบก.เห็นแวว ยกมาปั้นส่งประกวด ภาพลักษณ์นี่สำคัญมาก (แต่บก.บ่ายเบี่ยงที่จะตอบตรงๆ)
มันรวมถึงการใช้ชีวิตของเขาด้วย สมมุติว่าวันหนึ่งเรานั่งอยู่กับเขา พบว่าเขาเป็นแค่คนชอบกินก้อย ตลอดชีวิตไม่เคยกินสเต็ก ชีวิตคุณกินก้อยตลอดชีวิตเหรอ มันก็ไม่น่าสนใจสิ
เชื่อไหมว่าอาจารย์ปริทรรศ เป็นคนที่ลึกซึ้งละเอียดมาก อ่อนโยน เป็นคนพร้อมทำอะไรเสมอให้คนทั้งโลกและวงการเรา เขาเรียกว่างานดี แต่โชคไม่ดี ซีไรต์เป็นเรื่องโชคนะ ฝีมือหนึ่ง โชคหนึ่ง =เซ็นเซอร์=
ข้อสาม – คือก็ต้องเป็นคนอ่านหนังสือ ฟังเพลง แล้วก็ดูหนัง ถ้าเกิดมีคนถามตอนนี้ ตอบว่าดูหนังเกาหลี เขาถามต่อว่าหนังเกาหลีเป็นยังไง? ตอบไม่ได้ ตาย! ไม่ใช่ว่าคนเราต้องอ่านหนังสือพิมพ์ทุกวัน แต่อะไรที่เราจดจ่อกับมัน เราต้องสรุปให้ได้ ต้องเป็นคนวิเคราะห์เป็นด้วย วิเคราะห์ชีวิต วิเคราะห์สังคม แต่ไม่ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงอะไรมันได้นะ วิเคราะห์แล้วอาจจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็ได้
เพราะว่านักเขียนไม่ประสีประสาเรื่องเงินๆทองๆ
ไม่ ไม่ เพราะว่าเขาจัดการตัวเองไม่เป็น
ขาดการจัดการชีวิต แล้วนักเขียนจะล้มเหลวกับชีวิตครอบครัวมากไม่มีคนอยู่เบื้องหลังชีวิตที่ดีมาก
นักเขียนจัดการตัวเองไม่เป็น เพราะว่านักเขียนไม่มีผู้สนับสนุนที่ดี เช่นไม่มีครอบครัว ไม่มีผู้จัดการ แสดงว่านักเขียนควรจะมีผู้จัดการหรือเปล่า
ไม่ใช่ดารานะ
เอ้า มันก็คือศิลปินเหมือนกัน ศิลปินไม่ควรยุ่งกับธุรกิจ
แต่ต่างประเทศก็มีนะ มีบรรณาธิการคอยดูแลให้หมด งานจะพิมพ์เพิ่มไหม เป็นไงบ้าง ดูหนังสือไปไหนก็ไม่มีหาในร้านก็ไม่เจอ เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่หน้าที่นักเขียน ตอนนี้นักเขียนไม่มีการแยกหน้าที่ไง
ปัจจัยสำคัญที่คนอยากทำงานเขียนเป็นอาชีพจะต้องคำนึงถึง เพื่อดำรงตนให้อยู่ได้ในอาชีพนี้ ต้องแคร์เรื่องอะไรบ้าง อย่างเช่นทำอะไรถึงจะมีเงินใช้ทุกเดือน ทำอย่างไงถึงจะขายได้ตลอด ต้องคำนึงถึงเรื่องอะไรบ้าง
ต้องประหยัด แต่มีอยู่เรื่องที่พ่อแม่สอนไว้ คือถ้าหิวก็กิน เสื้อผ้าไม่ต้องใส่ก็ได้ อย่าไปแต่งตัวโก้หรู เสื้อผ้าไม่สำคัญนะ แต่การหิวหรืออิ่มเป็นสิ่งที่สำคัญมาก พี่ก็เลยไม่ค่อยหิวเลย แต่จะกำเงินประมาณว่านั่งรถเมล์สามต่อ นั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ไปขอยืมเงินเพื่อนมาหนึ่งก้อนเพื่อมากินให้มันอิ่ม
งั้นก็ไม่ดีซิ ควรจะคำนึงถึงปัจจัยอะไรให้มันอยู่ได้ ถ้ารักอาชีพนี้จริงๆ ต้องหาวิธีที่มันอยู่ได้
มันก็ขัดแย้งกันนะ การออกงานสังคมก็สำคัญ แต่ทำให้ต้องใช้จ่าย อาชีพนักเขียนต้องหัดเป็นคนที่มัธยัสถ์มาก ประหยัดมาก ในขณะเดียวกันการออกงานสังคมเป็นสิ่งที่มันใช้จ่ายอยู่แล้วนะ คืนหนึ่งสักละ 500 มันชัวร์เลยค่าแท็กซี่ คำตอบคือ ข้อหนึ่ง — ต้องอย่าเก็บเงินด้วยตัวเอง
ข้อสอง – งานเขียนต้องสม่ำเสมอ หลังจากปีละเล่มก็ต้องมาหกเดือนเล่ม
เล่มหนึ่งได้เงินกี่บาท
สองหมื่น สามหมื่น พิมพ์ครั้งเดียวนะ
ถ้าเกิดพิมพ์อีกก็ได้อีก คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ นักเขียนดีๆบางคนเขาทำได้ เพราะเขามีงานเขียนต่อเนื่อง
ข้อสาม — เขาต้องคำนวณให้เป็น คำนวณรายรับให้ตรงกับรายจ่าย
ข้อสี่ — ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข
ทำยังไงให้ได้เขียนตลอด
ทำตัวเองให้น่าสนใจ
กลับมาที่ตัวเองอีกแล้ว มันไม่ได้อยู่ที่งานเขียนเลยอยู่ที่ตัวตนทั้งนั้น
มันต้องเจาะยางตลอด ต้องโชว์ลีลาทำตัวให้โดดเด่นน่าสนใจ
ตอนนี้สังคมไทยมีแนวโน้มว่ากำลังต้องการบริโภคงานเขียนประเภทใด
เฉพาะทางมากขึ้น เช่นใครชอบความสวยความงามก็อ่านหนังสือประเภทความสวยความงาม เราสนใจเรื่องเซ็กส์เสื่อม เราไปอ่านเรื่องเซ็กส์เสื่อม
ส่วน How to ตายไปแล้วนะ แต่ก่อน How to ขายดีมาก
How to มาพร้อมกับ Zen มันมาพร้อมกับหนังสือที่เป็นด้านในของชีวิต บอกว่ามนุษย์ควรจะมีชีวิตเช่นไร
คนไม่ต้องการพูดต่อ สื่อสารได้ ปฏิบัติได้ หมายถึงทำกับข้าวได้
เขาเรียกหนังสือมาม่าไง ไม่ต้องคิดอะไร สำเร็จรูป อ่านปุ๊บทำได้ปั๊บ
ทำกับมันได้ แล้วก็คนต้องการความตื่นเต้นในชีวิต นี่เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ไง
ทิศทางการผลิตวงการสื่อสิ่งพิมพ์และวรรณกรรมไทยกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางใดบ้าง เพราะเหตุใด
อิงฮอลลีวู้ดหมดเลย แล้วก็ตามเทรนด์เกาหลี ญี่ปุ่น ตามเทรนด์อเมริกัน
ตามเทรนด์ต่างประเทศ แต่ที่แน่ๆ ต้องตอบสนองตลาดบริโภคด้วย แล้วตอนนี้ผู้หญิงอ่านหนังสือมากกว่าผู้ชาย
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจากนิตยสาร YES

