บัณฑิตสาว จาก นิเทศ จุฬาฯ ผู้ต้องมนต์เสน่ห์ BOOK ARTS

พรจรรย์ ไกรวัตนุสสรณ์ (นุ้ย)
บัณฑิตสาว จาก นิเทศ จุฬาฯ ผู้ต้องมนต์เสน่ห์ BOOK ARTS
เธอหิ้วคอมพิวเตอร์แลปท็อปมาทักทาย พร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่น
มิตรภาพของเราเกิดขึ้นง่ายๆ ในร้านกาแฟ…สถานที่สุดโปรดของนักเขียนหลายคน
ในขณะที่บางคนก็ชอบตั้งคำถาม…นักเขียนเกี่ยวข้องอะไรกันนักหนากับร้านกาแฟ?
เธออาศัยช่วงเวลาที่เรากำลังมึนๆ อวดผลงาน…สมุดกับหนังสือสวยๆ ให้เราต้องอึ้ง
แต่ละเล่มที่หยิบมาโชว์ ร่ำรวยไอเดีย
จนคนมีอาชีพขายไอเดียอย่างเราน้ำลายหก
เราไม่รู้ว่าหนังสือทำมือกับ Book Arts หมายความอย่างเดียวกันหรือเปล่า
เราไม่รู้ว่าคำว่า "หนังสือ"…จะมีความหมายมากแค่ไหนสำหรับคุณ
แต่สำหรับเธอ…มันคือ "โลกใบใหม่"
และวันนี้ เธอยินดีจะปั๊มกุญแจไขสู่โลกใบนั้นให้เรา กับ คุณ
ที่มาที่ไป
เป็นเด็กปริมณฑล บ้านอยู่มหาชัย ที่เข้ามาเรียนกรุงเทพฯ ตั้งแต่มัธยมที่สาธิตเกษตรและมหาวิทยาลัยที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ตั้งแต่เรียนมัธยม ด้วยความที่ไกลจากบ้านมากๆ เดินทางไปกลับไม่ไหวก็เลยต้องเช่าอพาร์ทเมนต์ต่างๆ เย็นๆ ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ก็เลยฝังตัวกับร้านหนังสือแถวๆ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แรกๆ ก็ผลาญเงินพ่อด้วยการเอาไปแลกหนังสือมาอ่าน ทุกวันเข้า เจ้าของร้านเขาเห็นหน่วยก้านใช่ได้ก็เลยชวนมาทำงานด้วยกัน ก็เลยได้อ่านหนังสือฟรี ไปพร้อมๆ กับได้เงินค่าขนมด้วย ชีวิตที่ว่างเปล่าก็เลยเต็มไปด้วยหนังสือ
มาทำตรงนี้ได้อย่างไร
หลังจากเรียนจบ ก็ทำงานตามสายอาชีพที่เรียนมา ในระยะเวลาปีครึ่งก็เปลี่ยนนามบัตรไป 3 ครั้งได้ เจอหน้าเพื่อนๆ ทีก็ต้องคอยอัพเดตอาชีพใหม่ๆ ตลอดเวลา สลับไปมาระหว่างทำงานประชาสัมพันธ์กับนักข่าว แล้ววันหนึ่งก็ยอมรับความจริงกับตัวเองได้ว่า ชีวิตเราคงไม่ได้อยู่ตรงนี้ที่จะอดทนทำงานตอนนี้ไปก่อนเพื่อที่วันนึงเราจะได้ทำอะไรที่เราทำแล้วมีความสุขจริงๆ ก็เลยแพ็คกระเป๋า นับเงินทั้งหมดที่มี ตัดความยั้งคิดหน้าหลัง บินไปอีกฝากหนึ่งของโลก เพื่อเหตุผลประการเดียว……….ตั้งสติและหาคำตอบ
ที่ๆ ย้ายไปอยู่คือเมืองเล็กๆ ในตอนกลางของฟลอริด้า ณ ที่นี่เองไกลจากความคาดหวังของสังคมและตัวเอง ข้อจำกัดที่เคยใช้กดดันตัวเองก็หมดไป งานที่ได้ทำก็ทำให้พอมีเงินเหลือบ้าง ตอนแรกคิดว่าจะเอาไปเรียนภาษา ไปๆมาๆ ไปเห็นแผ่นพับของศูนย์ศิลปะเมือง Dunedin (Dunedin Fine Art Center) ก็เลยขับรถไปคุยกับทางศูนย์ ไปๆมาๆ ที่จะเรียนภาษาก็เลยกลายไปเรียนศิลปะ
เลยได้พบว่าศิลปะไม่ใช่สิ่งที่อาศัยพรสวรรค์ ศิลปะเป็นการแสดงออก เป็นการค้นหาและค้นพบไปพร้อมๆ กัน จากที่เคยมีประสบการณ์เลวร้ายว่าเรียนศิลปะไม่ได้เรื่อง ก็เลยคิดเอาเองว่าชาตินี้เราคงไม่สามารถเอาดีด้านนี้ได้ และแม้ว่าเกือบจะถอดใจในตอนแรกๆ ที่เรียนวาดสีน้ำ เพราะวาดสีน้ำแล้วออกมาแลดูคล้ายวาดด้วยสีน้ำมัน แต่พอได้มาเรียน Calligraphy (การเขียนตัวหนังสือภาษาอังกฤษด้วยปากกาหัวตัด หรือคอแร้ง) และเรียน Book Arts ก็เหมือนค้นพบโลกใหม่ที่แน่ใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ลงมือเย็บหนังสือเล่มแรกของตัวเองว่านี่แหละใช่เลย
แรงบันดาลใจ
คนเราได้ทำอะไรก็ตามออกมาจากความคิดของตัวเอง มันเหมือนเราสามารถเอาความคิดของเรา ที่เป็นนามธรรมสื่อออกมาเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ มันสร้างความมั่นใจและภูมิใจให้ตัวเอง ต่อให้ไม่มีใครเห็นว่ามันสวยหรือดูดีก็ตาม และเวลาลงมือทำ การตัดกระดาษ ทากาว เย็บ มันทำให้ตัวเราอยู่นิ่ง ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ งานฝีมือทุกอย่างจะสอนเราในการลงมือทำให้ใจเย็นๆ ยิ่งรีบก็ยิ่งแย่ ทำไปทำมามันเหมือนบ้า เพราะเราสามารถคิดเรื่องสมุด เรื่องหนังสือไปได้ทั้งวัน นั่งทำมันทั้งวัน โดยไม่ต้องคอยดูเวลาว่าได้เวลาเลิกหรือยัง ก็เลยรู้ว่าไม่ต้องมานั่งตัดสินใจแล้วว่าจะเอาดีทางนี้หรือไม่ คำตอบมันออกมาชัดออกขนาดนี้แล้ว
ในขณะที่โลกมันดูเหมือนจะหมุนเร็วเหลือเกิน ทุกอย่างดูทันสมัยไฮเทค ข้าวของเครื่องใช้ที่อยู่รอบตัวเรามันมาจากโรงงาน อาจจะเป็นเพราะว่าขวางโลกหน่อยๆ ก็เลยรู้สึกอยากลองทำอะไรออกมาด้วยมือของตัวเองให้ได้สักอย่าง มีอะไรสักอย่างที่เราใช้ ที่เราสามารถบอกได้ว่าเป็นฝีมือเราเมื่อมีคนถามว่าซื้อมาจากไหน เมื่อโลกมันเร็ว เราไปวิ่งตามโลกให้ตายอย่างดีเราก็แค่วิ่งทัน เราไม่สามารถจะวิ่งไปข้างหน้าเขาได้ ในเมื่อมันเร็วนักเราก็ช้าสู้ซะเลย ค่อยๆ ดึงเอาความสามารถของตัวเองออกมาคลี่ดูว่ามันมีสักแค่ไหน จะทำไปได้ถึงไหน ลองดูสักตั้งว่างานที่เราเลือกที่จะทำเอง ทำด้วยใจรักนั้น มันจะต่างกับงานที่เขาเลือกเราไปแล้วสั่งให้เราทำอย่างไรบ้าง ก็ยังอยู่ในกระบวนการลองผิดลองถูกค่ะ โชคดีที่ได้มีโอกาสได้เรียนและทำงานด้านนี้ เพราะนอกจากจะมีความบ้าสมุดหนังสือเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยังรู้สึกว่าคนเราทุกคนมี "เรื่อง" ที่พร้อมจะเล่า มีภาพ มีโน่นนี่ที่อยากเก็บเป็นที่ระลึก ยิ่งถ้าได้ทำที่เก็บออกมาเป็นเล่มด้วยมือตัวเองได้ ยิ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ทำออกมาเล่มแล้วเล่มเล่า
เป้าหมาย
ถ้าโดยส่วนตัวแล้ว มีแต่เป้าหมายที่ยังเป็นนามธรรม คืออยากนิ่งได้ ไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมา รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ทำไปเพื่ออะไรและมีความสุขที่ได้ทำก็พอแล้ว นอกจากนั้นก็มีอีกความหวังหนึ่งว่างานทำหนังสือแบบนี้จะได้เผยแพร่ไปให้คนอื่นๆ ได้ลองทำ เวลาคนเราได้ทำสิ่งที่ตัวเองไม่คิดว่าจะทำได้ออกมา มันสร้างกำลังใจ สร้างความมั่นใจขึ้นมา แล้วก็แอบฝันไปไกลอีกนิดที่อยากเห็นคนไทย ประเทศไทยของเราเป็นผู้นำของงานด้านนี้ เรามีวัตถุดิบที่ส่งไปขายมีชื่อเสียงทั่วโลก กระดาษแฮนด์เมดเรานั้นสวยไม่มีที่ติ แต่เรากลับไม่ค่อยมีงานออกแบบในลักษณะสมุด หนังสือ หรืออื่นๆ ที่เกี่ยวข้องจากกระดาษสวยๆ เหล่านั้นมากนัก อยากเห็นประเทศไทยเป็นผู้นำของงานฝีมือประเภทนี้
Book Arts เหมาะกับใคร
งานทำหนังสือ ไม่ใช่งานยาก นอกจากจะได้บริหารจินตนาการความคิดของแต่ละคนแล้ว ทักษะที่ต้องใช้ก็คือการตัดกระดาษ พับกระดาษ ทากาว และการเย็บ ที่จะต้องเรียนรู้ก็คือหลักการและเทคนิคที่สำคัญๆ และเมื่อเรียนการเย็บหรือการทำหนังสือแบบหนึ่งแล้ว เราก็สามารถนำความรู้ที่ได้ไปดัดแปลงเป็นงานอื่นๆ ได้ เช่นทำอัลบั้มรูป ทำแฟ้ม ทำที่ใส่ซีดี เป็นต้น ซึ่งเราสามารถทำไว้ใช้เอง เป็นของขวัญ หรือเอาไปเสริมอาชีพ เช่น พัฒนาการนำเสนองานเอกสารของเราให้ดีขึ้น หรือออกแบบสิ่งพิมพ์ที่แหวกแนวออกไป แม้กระทั่งเอากลอนหรืองานเขียนที่เราเขียนเอาไว้ มารวมเล่มเป็นหนังสือทำมือ ก็เข้ากับเทรนด์ของสังคมในตอนนี้ได้ดี หรือถ้าใครชอบมากๆ อยากจะพัฒนาให้เป็นสื่อหนึ่งในการนำเสนองานศิลปะก็ยังได้
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจากนิตยสาร YES