น้ำหมึกที่เข้มที่สุด แห่งปี 2552 อุทิศ เหมะมูล
.jpg)
สิ่งที่เป็นประเด็นเล่าไม่รู้จบสำหรับรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ซีไรต์ ในหลายปีที่ผ่านมาก็คือหลังจากที่ประกาศผลซีไรต์แล้ว เสียงนกเสียงกาปลิวว่อนพร้อมกระซิบมาว่า
นี่มันการเมืองหรือเปล่า ? ทำไมนักเขียนคนนี้ถึงได้ ? เขาเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ?
เราไม่ได้ต้องการฟื้นฝอยหาตะเข็บ แต่แค่อยากจะบอกว่า บรรยากาศของการประกาศรางวัลซีไรต์ในปีนี้ต่างจากปีที่แล้วมา…
เพราะผลงานวรรณกรรมที่ชนะเลิศ ทำให้กรรมการทั้ง 7 คนมีดุลพินิจเป็นเอกฉันท์ว่า สมควรได้รับรางวัลอย่างไร้ข้อกังขาแรง ๆ
แถมก่อนหน้าประกาศรางวัลซีไรต์ 1 วัน (17 สิงหาคม 2552) นิยายเล่มนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศ เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี 2552 ซึ่งเป็นรางวัลที่ทางบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ให้กับวรรณกรรมสร้างสรรค์ในแต่ละปี
นิยายดับเบิลแชมป์รางวัลวรรณกรรมในปีนี้มีชื่อว่า “ลับแล, แก่งคอย”
ผลงานของ…อุทิศ เหมะมูล
อุทิศเล่าให้เราฟังว่า ช่วงนี้งานค่อนข้างยุ่ง ต้องออกไปพูดนอกสถานที่บ่อย ๆ นอกนั้นที่เหลือก็เป็นงานในแวดวงหนังสือ
“งานที่ทำในแต่ละวันมีอยู่ 3 อย่างนั่นคือ การไปพูดตามสถานที่ต่าง ๆ ตามมหาวิทยาลัย แล้วก็ทำงานพิสูจน์อักษรอยู่กับสำนักพิมพ์ศรีปัญญา ตอนนี้เขาเอางานของนักเขียนรุ่นเก่าเอามาพิมพ์ใหม่ เช่น งานของกาญจนา นาคนันท์ คนเขียนเรื่องผู้ใหญ่ลีกับนางมา ผมก็มาดูแลงานของเขา แล้วก็กำลังเขียนนิยายเรื่องใหม่อยู่ครับ”
ในหนังสือ “ลับแล, แก่งคอย” อุทิศเล่าว่าเขาทำงานเขียน 5 วันต่อสัปดาห์ เริ่มตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงบ่ายโมง แต่ในตอนนี้เขายอมรับว่า ด้วยความที่เขา “ดัง” ขึ้นมา กระทบต่อวินัยในการเขียนหนังสือระดับหนึ่งทีเดียว
“กระทบครับ แต่ว่าคือผมไม่ได้เขียนหนังสือทุกวัน วินัยในการทำงานหมายความว่า เมื่อเริ่มต้นเขียนหนังสือก็ควรจะรักษาวินัยนั้นเอาไว้จนตลอดรอดฝั่ง แต่ไม่ได้หมายความว่า ในตลอด 365 วันจะเขียนหนังสือทุกวัน ไม่ใช่นะครับ ไม่อยากให้เข้าใจผิด เพราะฉะนั้นช่วงนี้เขียนหนังสือเสร็จไปแล้วก็เป็นช่วงไม่ได้เขียนหนังสือ แล้วพอได้รับรางวัลซีไรต์มาอีก เราก็ต้องพบปะสื่อมากกว่า ช่วงนี้จึงเป็นช่วงให้เวลากับสื่อ แต่ว่าถ้ามีเวลาว่างก็กลับมาเขียนงานเหมือนเดิม”
พูดถึงเรื่องฐานะทางการเงิน ก่อนหน้านี้อุทิศเคยให้สัมภาษณ์ในนิตยสารฉบับหนึ่งว่า การเป็นนักเขียนในช่วงแรก ฐานะการเงินของเขาค่อนข้างลำบาก แต่มาถึงวันนี้รายได้จากการเขียนหนังสือพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้แล้ว
“ตอนนี้ผมมีเงินก้อนหนึ่งอยู่ในบัญชี คงใช้เลี้ยงตัวเองได้ในระยะหนึ่งของชีวิต แต่ก็ต้องทำงานเขียนงานอื่นอยู่ครับ เพราะคงไม่มีบุญขนาดที่สามารถใช้หนังสือเล่มนี้เลี้ยงตัวเองได้ตลอดไป นิยายเราหนา (444 หน้า) ราคาค่อนข้างสูง (เล่มละ 275 บาท) ถ้าเทียบราคาต่อเล่มไม่แพงก็จริง แต่เราเข้าใจว่าก็ยังสูงอยู่ดีในแง่เป็นวรรณกรรมไทย คนอ่านจะรู้สึกควักกระเป๋ายาก”
นอกจากเขาเป็นนักเขียนแล้ว เขายังเข้าใจธรรมชาติของวรรณกรรมไทยด้วย เพราะเมื่อถามว่าทำไมวงการวรรณกรรมไทยจึงไม่เป็นที่สนใจในบ้านเรา เหมือนกับหนังสือแนวอื่นอย่าง ฮาวทู ธรรมะ ประวัติดารา หรือเรื่องรัก ๆ
ใคร่ ๆ ? เขามองแบบเข้าใจโลกว่า
“เรื่องนี้กลายเป็นปัญหาจนเป็นธรรมชาติของวรรณกรรม ไม่ได้เกิดเฉพาะในบ้านเรา ทั่วโลกก็มีเหมือนกัน งานวรรณกรรมเป็นงานที่มีจำนวนคนอ่านน้อยที่สุดอยู่แล้ว ผมไม่ได้คาดหวังให้กว้างกว่านี้ แต่สิ่งที่อยากจะคาดหวังก็คือ ทำให้พื้นที่น้อย ๆ ตรงนี้เข้มแข็งขึ้น ทั้งในด้านการผลิต คุณภาพ การอ่าน ความเข้าใจ การเติบโตในด้านวรรณกรรมน่าจะดีกว่า เด็ก ๆ อ่านวรรณกรรมเยาวชน พอโตขึ้นก็จะอ่านเรื่องราวที่เข้มข้นขึ้น ถ้าทำได้ผมคิดว่าก็เป็นไปได้ที่วรรณกรรมจะมีพื้นที่ที่แข็งแรง”
หากเวลาผ่านสักระยะ 5 ปี หรือ 10 ปี อุทิศอยากให้คนอ่านจำนิยาย “ลับแล, แก่งคอย” ในรูปแบบที่ว่า
“อยากจะให้พิจารณาความเป็นตัวตนของ “ลับแล” (ตัวเอกของเรื่อง) ในประเด็นเรื่องการปะทะกันระหว่างความจริงกับความลวง เพื่อที่เราจะได้พิจารณาสังคมปัจจุบันชัดขึ้นว่า ลำพังแค่ข้อมูลที่
ดาหน้าเข้ามาหาเรา มันไม่พอนะ ต้องพิจารณาจากหลายส่วนว่า ออกมาจากทัศนคติของใคร ใครเป็นคนนำเสนอ ถูกโยงอย่างไร ได้ผลประโยชน์อะไรกันบ้าง แล้วคิดว่าทุกวันนี้ใน 1 ชุดเหตุการณ์สามารถย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์ในอีกหลายแขนง ถ้าเราระมัดระวังกับข้อมูลมากขึ้น ในชีวิตความเป็นอยู่ปัจจุบันครุ่นคิดมากขึ้น”
…ในท้ายที่สุดแล้ว เราไม่ได้มานั่งหาว่าความจริงคืออะไร ? แต่มันคือสิ่งที่เป็นนั้นสามารถทำให้คุณตระหนักรู้แบบไหนและขับเคลื่อนชีวิตของตัวคุณเองไปด้วยความเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองเป็น !
โดย ณัฐกร เวียงอินทร์/ภาพ ภัทรพล ประสิทธิ์
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก http://www.wiseknow.com/blog/2009/12/30/4302/#axzz21dz9njlT

