นักเล่าเรื่องชาวบ้าน เทพศิริ สุขโสภา “คุณอยากเขียนอย่างฝรั่ง แต่ฝรั่งมันก็เบื่อของมันฉิบหาย”

หลายคนคงคุ้นเคยกันดีกับบทบาทในฐานะนักวาดภาพ และนักแสดงละครเวที ที่มีลีลาการเล่าเรื่องอันสนุกสนานของ เทพศิริ สุขโสภา หนุ่มใหญ่จากสุโขทัยเมืองเก่า ที่เรียนจบมาทางด้านศิลปะจากมหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อนจะมาปักหลักทำงานอิสระที่เชียงใหม่
ผลงานเขียนที่สร้างชื่อให้กับเขาจนกลายเป็นที่รู้จักกันดีคือวรรณกรรมเยาวชนเรื่อง บึงหญ้าป่าใหญ่ และนิยายเรื่อง คนหกคน รวมถึงบทความศิลปะอีกหลายเล่ม
ล่าสุดเขาเขียนนวนิยายเล่มใหม่ เรื่อง ร่างพระร่วง ที่สะท้อนแง่มุมความเชื่อของสังคมไทยที่ฝังลงรากลึกมายาวนาน เขาถ่ายทอดออกมาได้อย่างลึกถึงแก่นด้วยลีลาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และที่สำคัญ เขายังเขียนขึ้นเนื่องในโอกาส 100 ปี ชาตกาลท่านพุทธทาส อีกด้วย
การเดินทางมางานเปิดตัวนวนิยายเรื่องใหม่ของเขาที่งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่ผ่านมา จึงถือโอกาสนี้พูดคุยกับ เทพศิริ สุขโสภา ถึงผลงานเล่มใหม่ และความคิดหลายแง่มุมที่น่าสนใจของเขา
0ช่วงนี้กำลังทำอะไรอยู่บ้าง?
ถ้าเป็นกิจกรรมเล่นๆ ผมก็ยังทำอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ ใครมีงานอะไร หาตัวนักแสดงไม่ได้ก็มาตาม ไปพูด ไปวาด ไปฟ้อนอยู่แถวๆ นี้ อย่างล่าสุดไปที่เชียงของ เป็นงานคอนเสิร์ตใหญ่ สร้างแม่น้ำโขงเป็นพญานาค ทำเฟรมต่อกันยาวเหยียด พญานาคตัวละ 5-6 เมตร เขียนสองตัว แล้วเอาแปลงจุ่ม สะบัด กระหน่ำพญานาคสองตัวซ้อนกัน แล้วดึงหางพญานาคออกไปข้างเวที และเปิดกลางเวที เขียนพระพุทธเจ้านั่งสมาธิท่ามกลางพญานาค พญานาคคือสัตว์ปากร้าย มีพิษ พูดอะไรออกไป พ่นอะไรออกไป มันทำร้ายคนฟัง เพราะปากมันมีพิษ มันต้องอยู่ในน้ำเย็นๆ ต้องไปอยู่ในบาดาล แต่เขาเข้าใจพระพุทธเจ้า มาปกแผ่ อำนวยสวัสดี ปกป้องพระพุทธเจ้า เรานึกออกมาเป็นภาพ พอเราขึ้นโครงพระพุทธเจ้า ยังงงๆ มีหูยาวๆ มีไหล่ เขียนจีวรพรวดๆ ออกไป คนกรี๊ด…กันแบบสะใจ งานลักษณะนี้ยังคงทำอยู่ นักดนตรีไปกันเยอะ
0ยังคงสนุกและมีความสุขกับงานอิสระ?
ตอนนี้พยายามลดกิจกรรมลง จะได้เขียนมากขึ้น เพราะชีวิตเล่นมากเกินไป รู้สึกมันรุ่มร้อนเหมือนคนท้องแก่ใกล้คลอด กระวนกระวาย พูดเยอะ เล่าเรื่องเยอะ เขาพูดนะว่า ถ้าจะเขียนอย่าเล่า เหมือนพวกอ้ายไพฑูรย์-อ้ายแสงดาว รอบข้างผม มันเล่นกันหมด ผมก็เล่นกับมันนั่นแหละ อยู่วนๆ กันอย่างนี้แหละ
0เริ่มเขียนนิยายเรื่องนี้ได้อย่างไร?
ผมเก็บข้อมูลมาเรื่อย ถ้าจะพูดกันตามความเป็นจริง เมื่อก่อนผมก็เป็นสมาชิกนักเขียนพอควร เขียนประจำทั้งในนิตยสารลลนา สตรีสาร วิทยาสาร ผมรู้ว่าเขียนวิวเขียนฉากนี้ผมเก่ง เพราะเราเป็นนักวาด แต่นั่นคือฉาก ตัวละครคือคน ซึ่งเราไม่เข้าใจ เพราะเราเป็นนักวาด เลยเห็นจุดอ่อนว่าเขียนไปทำไมตัวละครแบนๆ ตัวละคนของเราไม่มีพัฒนาการ เพราะไม่ได้เรียนอักษรศาสตร์ เรียนด้านวาดเขียนมา จึงออกไปเรียนคน ข้อนี้ตัดสินใจถูก ออกไปเรียนเรื่องคน อะไรคือคน มันมีสุข มีทุกข์ มันโกรธ มันโลภยังไง
0หมายถึงไปเรียนอย่างไร?
ไปคุย ไปฟัง ไปคลุกคลี ข้อมูลเป็นกะตั้ก จดด้วย จดมีประโยชน์มากเลย บางทีเราเป็นเด็กอยู่ เราอยากเขียนเราก็เขียน แต่ลืมศึกษา เมื่อไม่นานมานี้ ผมไปงานอภิปรายของ อ.นิธิ อ.ฉลาดชาย อ.ชยันต์ ก็พวกผมทั้งนั้นแหละ อ.ชยันต์ วัฒนภูติ เขาจบด้านอักษรศาสตร์ แต่ไปทำงานด้านสังคมศาสตร์ ด้านวิจัยต่างๆ เขาจัดงานให้ อ.สุลักษณ์ ผมถือโอกาสเอาหนังสือเล่มนี้ไปขอบคุณ ประโยคหนึ่งที่มีค่ามากเลยนะ ที่เขาให้ผมช่วงไปเก็บข้อมูลกับชาวบ้าน จริงๆ เขาพูดตั้งนานแล้ว แต่ผมไม่รู้ 'จงดูเป็นตัวละครเข้าไว้ มันมีความสำคัญอย่างไรกับคนในหมู่บ้าน มีพระ มีครู ชาวไร่ ชาวนา คนสิ้นไร้ คนร่ำรวย' เขามองเห็นอย่างนักวิจัย เวลาเขาพูดเหมือนพูดจริงหรือไม่จริง แต่เขาเรียนอักษรศาสตร์ เขาได้เปรียบ คนที่เป็นนักเขียนใหม่ๆ มันเขียนตามที่มีความรู้สึก ไม่ศึกษา ไม่เก็บข้อมูล ชยันต์ให้ผมเยอะมากเลย แต่เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าเขาให้
0โดยเฉพาะเรื่องของตัวละคร?
ตัวละครไม่ใช่แค่มีพระมีครูอย่างเดียว มันมีโจร มีขโมย มีคนฉ้อฉล มีตัวโกง และยังแตกไปเป็น 'ภูนั้นชื่อบรรทัด' เมื่อก่อนคนจะรู้กันหมด นวนิยายที่เรายังไม่ทันเขียน แต่คนรู้ไปทั้งเมือง เพราะเราไปสัมภาษณ์ใครแล้วมันตื่นเต้นก็เอามาเล่า เพราะฉะนั้นเขาถามว่าอะไรกันโว้ย มันได้เวลาบวชแล้ว ทำไมไม่ออกมาเป็นเล่มสักที มันแซว แต่ในความเป็นจริงเราไม่ได้เก็บเรื่องเดียว เราเก็บหลายเรื่อง
0เริ่มจริงจังกับงานเขียนตั้งแต่เมื่อไหร่?
สำหรับผมเคยทำคอลัมน์ประจำมาก่อน ทั้งเรื่องยาว สารคดี ผมเคยทำมาก่อน บางทีเขียนสองเรื่องในเล่มเดียวกัน ผมโตมาจากการเขียนหนังสือ หากินหาเลี้ยงชีพจากการเขียนหนังสือ วาดรูปไม่ค่อยได้วาดนะ เพิ่งมาวาดเอาเมื่อไม่นานมานี้เอง มันก็รักทั้งสองอย่าง แต่มาเว้นว่างเมื่อตอนรู้ว่าตัวเองโง่ ศึกษาเรื่องคนไม่พอ ศึกษาเรื่องสังคมไม่พอ โชคดีมีเพื่อนๆ หลายคนอย่าง สุชาติ สวัสดิ์ศรี ที่โตมาด้วยกัน เป็นครูผมทางอ้อมๆ เขาว่าเราเขียนงานมีแต่อารมณ์ พวกนี้มันก็จะพูดแดกดันบ้าง คือพูดอย่างเพื่อน ทำให้มองเห็นว่าหนังสือดีๆ มันคืออย่างไร บางทีครูคือเพื่อนของเรานี่แหละ บ้านมันหนังสือเต็มเลย บางประโยคมันมีค่ามาก
0สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ตลอดเวลา?
อย่างประโยคที่ชยันต์พูดกับผม ประโยคหนึ่งที่สำคัญมากคือ 'เขียนรูปต้องมีอากาศ' ถ้าคุณจับอันนี้ได้นะ คุณจะเขียนรูปได้ลึก มีชีวิตชีวา สิ่งที่อยู่ระหว่างตาเรากับสิ่งที่เราวาดมันมีอากาศ และอากาศมันข้น มันใส มันเป็นสี เช่น สีผีตากผ้าอ้อม หมอก ฉะนั้นคุณจะเขียนต้นไม้ต้นโน้น มันต้องเขียนหมอกและเขียนแดด อันนี้ถ้าคุณจับไม่ได้ รูปมันแบน รูปไม่มีชีวิต มันเป็นต้นไม้แต่ไม่มีชีวิต มันไม่ฉ่ำ ไม่เขียว ไม่ลึก นี่เป็นประโยคที่สำคัญมาก บางทีประโยคเดียวมันทำให้เราเห็นทะลุทะลวง
0พื้นฐานการวาดรูปมีส่วนช่วยในงานเขียนได้มากหรือเปล่า?
ส่วนตัวก็มีส่วนอยู่ เพราะว่าคนวาดรูปไม่ใช่แค่วาดวิวนะ มันวาดคน 'ฟรานซิส โกยา' วาดสงคราม ความอยุติธรรม ภาพนี้มันมีภาพของสังคมซ้อนอยู่ ไม่ใช่สวยอย่างเดียว มันมีแง่คิด และศิลปินที่มันช่างคิดมีเยอะนะ แต่คนวงนอกไม่รู้ รู้ว่าวาดรูปสวย ไม่ใช่ เส้นสองสามเส้นมันมีอะไรมากกว่านั้น ฉะนั้นความได้เปรียบที่เราเรียนประวัติศาสตร์ศิลป์ การเขียนรูปไม่ได้เขียนลอยๆ แต่ถ้าเราเรียนจะวาดอย่างเดียว โดยไม่ศึกษาภูมิหลังของศิลปิน มันเสร็จเลย ศิลปินมันมีความผูกพันกับสังคม เขียนเพื่อปฏิวัติ เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม ตรงนี้เราเรียนมา
0นิยายเรื่อง'ร่างพระร่วง'เริ่มต้นเขียนได้อย่างไร?
เริ่มจากเก็บข้อมูล ก่อนจะเก็บข้อมูลเราทึ่งพระพุทธทาสมาก่อน ตั้งแต่อายุ 19-20 ปี เรียนศิลปากร มีเพื่อนดี เพื่อนเอาหนังสือมา บอกว่าคุณดูสิ พระองค์นี้ใช้คำอย่างนี้ได้ยังไง 'ว่าง' กับ 'วุ่น' หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือ 3 สะ ได้แก่ สะอาด สว่าง สงบ คิดคำจำง่าย ชอบ เรียกว่าตื่นใจ อ่านโน่นอ่านนี่ อ่านมาเรื่อย จนกระทั่งไปสวนโมกข์ ไปอยู่เลย ไปหลายหน ไปอยู่เป็นหลายเดือน จนรู้สึกว่าตัวเองกลวง ว่างเปล่า แต่เราจะไปบวชก็ยังเสียดายแสงสี ยังอยากตระเวน อยากเดินทาง ไม่อยากอยู่ตรงนั้น นี่เป็นเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ทำให้เราสนใจเรื่องพระๆ เจ้าๆ ถึงคุณจะเป็นใครคุณก็ต้องสงสัยว่าชาติหน้ามีจริงหรือเปล่า เพราะชาติที่แล้วหรือเปล่า นี่เป็นคำถามที่คนไทยทุกคนต้องนึก ฉะนั้นท่านพุทธทาสได้ให้คำตอบตรงนี้
0ได้คุยได้แลกเปลี่ยนกับท่านพุทธทาสบ้างไหม?
ได้คุยกับท่าน กับคนรอบตัวท่าน หนังสือท่านก็ได้อ่านตลอด คนที่กระตุ้นให้สนใจเรื่องนี้มากก็คือ ส.ศิวรักษ์ เขาพูดเรื่องนี้ไว้เยอะ วิพากษ์พระ วิพากษ์วัด วิพากษ์ศาสนา สิ่งเหล่านี้ฟังบ่อยๆ เข้า มันก็เข้ามาอยู่ในใจเรา ฉะนั้นโครงใหญ่ๆ ที่เราเห็นคือว่า 'จากการหลับไปสู่ตื่น จากไสยไปสู่พุทธ' เราทุกคนเกิดแต่ไสย พระพุทธทาสพูดชัดมากเลยว่า 'จงอย่าได้ลำพองเลย เราเกิดจากไสย ถ้าหากเรามีท่าทีถูกต้องต่อไสย มันจะนำพาไปสู่พุทธ' ชักพูดเหมือนพระ (หัวเราะ) คือของอย่างนี้ควรมีไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นมันเซ เวลาทุกข์มันแก้ไม่ไหว เวลามีปัญหา ของพวกนี้มันช่วยได้มาก ผมอยากให้คนได้ของพวกนี้ไปไว้ประดับตัว
0ประทับใจอะไรในตัวท่านพุทธทาสบ้าง?
แค่บุคลิกของท่านพุทธทาสก็เหมือนศาสตราจารย์ เมื่อท่านเทศน์ในกรุงช่วงผมเป็นเด็กหนุ่ม พวกอาจารย์มองแบบทึ่งและชื่นชมพระมาก เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นครูบาอาจารย์ยอมรับพระ เพราะพระคร่ำครึล้าหลัง แต่พระอย่างท่านพุทธทาสไม่ได้มีองค์เดียว ผมทึ่งพระบ้านนอกมาก หลวงปู่ หลวงตา พระป่าทางอีสานที่ผมไปเจอมา ไปเห็นวัดท่าน ไปเห็นคำพูดท่าน ลึก คม และมีนัยอันเดียวกัน คือ ภาษาคน ภาษาธรรม อันนี้สำคัญมาก อย่างเช่นลูกศิษย์อาจารย์มั่นที่แตกไปอยู่ตามวัดป่าต่างๆ วัดเป็นวัดเรียบง่าย ไม่ได้วิจิตรอลังการอะไร เหมือนบ้านชาวไร่ กวาดพื้นเอี่ยมเลยนะ พระป่าสายอีสาน ท่านธุดงค์ ท่านอธิบายเองว่าการธุดงค์เพื่อเอาชนะความกลัว เพื่อจะเรียนข้างในตัวเอง ท่านจะอ่านมามากมาน้อย เราไม่แน่ใจ แต่พูดคม อยากเอามาเขียน และอยากให้ตัวละครเราผ่าน ซึ่งตัวละครเราผ่าน แต่เราไม่เน้น
0เพราะอะไรถึงไม่เน้นตัวละครและฉากตรงนั้น?
เพราะมันขึ้นมาแทงกัน คุณย่อมรู้ดีว่าฉากสองฉากขึ้นมาแทงกัน เป้าเราจะไปทางท่านพุทธทาส จริงๆ ไม่ใช่ว่าเราไม่เห็นพระอื่นดี เราเห็น แต่ว่าเวลาจะมาเขียนซ้อนกัน มันดูไม่สวย ในแง่ของวรรณศิลป์ไม่สวย ฉะนั้นตัวละครของผมก็ผ่านอย่างคนโง่ อย่างคนที่พร้อมจะเติบโต เก็บเกี่ยวทีละนิดทีละหน่อย เขียนถึงสวนโมกข์ ตัวละครไปยังเกิดคำถาม แต่มันก็ได้เมล็ดคำมาไว้ในตัวหลายคำ กลับมาที่คำหนึ่งที่เขาเขียนกัน magical realist นี่มันใช่หรือเปล่า เราไม่ค่อยได้คิดถึงคำนี้เท่าไหร่ คิดอย่างคนไทย เรื่องไสยที่ผมเล่าไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่มันพิลึกกึกกือ พวกเราจะยี้ใส่ไสย แต่ไสยมันเป็นอะไรที่มีพลังจินตนาการ วัตถุดิบมันมีอยู่กับคนไทยอยู่แล้ว แต่เราไปมองข้ามและไปหยามหมิ่น ตรงนี้หยิบมาเขียนได้เยอะเลย
0มองว่าเรื่องไสยเป็นเรื่องของจิตนาการ?
มันเห็นเหมือนกับนิมิต เห็นลึกลับ พิลึกกึกกือ แต่พระท่านบอกว่า 'นิมิตเป็นของดีสำหรับคนมีปัญญา' โอ้โห..ประโยคนี้คนไทยพูด ถ้าคุณไปหลงมันคุณก็ไม่เติบโต ถ้าคุณไปเขียนโคตรเหง้าเหล่านี้ โคตรเหง้าชาวบ้าน เราเกิดมาเห็นตรงนี้ บางคนเริ่มเกิดประกาย เริ่มเห็นแจ้ง เห็นมากเห็นน้อยเราไม่ว่ากัน แต่สิ่งนี้เป็นภูมิธรรมของคนไทยไม่ใช่หรือ ผมพูดมาตลอด ถ้าคนไทยจับแก่นพูดได้ เขียนได้มหาศาล เขียนเป็นอย่างของเรา magical realism เขาทำกันทั่วอเมริกาแล้ว เขาว่ากันว่ามันอิ่มตัวเต็มที่แล้ว แต่เพิ่งมาเป็นของใหม่ ตื่นๆ ในบ้านเราแค่นั้นแหละ แต่ไม่ได้หมิ่นนะ เขาก็มีลักษณะพิเศษของเขา magical original แต่ของเรามันเมืองพุทธ ไสยกับพุทธอยู่ติดกัน หน้ามือกับหลังมือ 'หลับไปสู่การตื่น' ธรรมดาไสยแปลว่าหลับอยู่แล้ว แต่เราไปเห็นเป็นสิ่งที่เป็นอื่นเป็นสิ่งที่หยามหมิ่นไปเอง ไสยแปลว่าหลับนั้นเอง พุทธแปลว่าตื่น ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน สิ่งที่อยู่ในแผ่นดินนี้ ตัวละครเป็นคนไทยทั้งนั้น ผมรู้สึกว่ายังมีเรื่องที่น่าคิดอีกเยอะเลย
0ส่วนใหญ่มักเอาอย่างฝรั่ง?
แต่ว่าลึกๆ ผมก็อยากเขียนนิยายแบบฝรั่ง ฝรั่งมันมีสูตรของมันอยู่แล้ว การลำดับเรื่องย้อนหน้าย้อนหลัง ลึกๆ อยากแข่งกับฝรั่ง แต่เพื่อนผมคนหนึ่งมันตบหน้าผมเลย คุณอยากเขียนอย่างฝรั่ง แต่ฝรั่งมันก็เบื่อของมันฉิบหาย มันเขียนเยอะแล้ว พวกนิยายตายแล้ว เสือกอยากไปเขียนอย่างฝรั่ง เราเขียนภาพมาเราก็อยากจะเขียนแบบปิกัสโซ หรือโมเน มันก็มีอาการอย่างนั้น แต่ภาพมันมีแค่ปิกัสโซและโมเนหรือ มันเลยไปอีกเยอะแล้ว ฝรั่งเขาทำทุกชนิดแหละ แต่เรายังไปหลง impressionist เพราะฉะนั้น magical realist บ้านเราเพิ่งเข้ามา อันนี้เราไม่ว่ากัน ความรู้หลายอย่างมันมาบ้านเราช้า ทำให้เราไปสนุกอยู่แถวๆ นั้น
0จริงๆตัวเอกชื่อ'ดอน'มาจากชีวิตตัวเองหรือเปล่า?
มันก็ไม่ใช่แต่เรา มันเป็นประสบการณ์ตรง มาดูคนอื่นก็เป็น คนเล่นพระเครื่องมีทั่วไป มีประเทศเดียวเท่านั้น ไอ้ดอนมันถึงบอกว่า 'คนที่รู้เรื่องพระเครื่องเป็นพหูสูตร รู้ดี ในจังหวัดนี้ก็กู ในประเทศนี้ก็กู' เพราะทั้งโลกไม่มีชาติไหนเขาคลั่งพระเครื่องกัน มันพูดถูก เพราะฉะนั้นเรื่องมันเขียนมาจากพื้นฐานความเป็นมนุษย์อย่างเราๆ คุณจะมาโยนให้เป็นแบบอื่นไม่ใช่การเล่าเรื่อง พระก็เป็นนักเล่าเรื่อง แต่มันเป็นมุขปาฐะ เขาไม่ได้เขียน เขาเขียนไม่เป็น แต่เล่าเรื่อง ผมเห็นมาแล้ว พระเวลาเทศน์ต่อหน้าคน อ่านให้คนฟัง เวลาเทศน์มีลูกล่อลูกชน การใช้ภาษา การใช้คำ พระเป็นคนที่สืบทอดภาษาไทยให้มีเสน่ห์มาตลอด เขาจะอ่านคนว่าจะแทรกธรรมะได้แค่ไหน
0เคยเจอพระแบบนี้มาเยอะ?
ผมเจอมาเยอะ พระไปเอาความรู้แบบนี้มาจากไหน ไปเอาศาสตร์นี้มาจากไหน ก็ส่งผ่านกันมาปากต่อปาก เพราะฉะนั้นหลายเรื่องวัตถุดิบมันอยู่ในบ้านเรา ตัวละครดีๆ ตัวละครร้ายก็มี และเวลาร้ายมันก็ร้ายอย่างคนไทย ยกตัวอย่างในเรื่องว่ามันขโมยขุดพระตามวัดร้าง ที่สุโขทัยเขากลัวเจ้าคุณโบราณ เป็นรองเจ้าคณะจังหวัด และตอนหลังเป็นเจ้าคณะจังหวัด ตัวดำ ถือไม้ตะพด ขโมยพระที่ไหนก็ส่งคนไปดัก และขโมยกลัวพระองค์นี้มากกว่ากลัวตำรวจเสียอีก เพราะว่าตำรวจเขาแบกของให้ได้ แต่พระไม่แบก และอีกอย่างถ้าไปทะเลาะกับพระนี่ตกนรก คุณจะเป็นจะตายพระไม่มาสวด นี่คือไทย ตัวละครคือไทย ซึ่งชาติอื่นไม่มี
0ฉากขุดพระเครื่องเป็นการเล่าประสบการณ์ช่วงวัยเด็กหรือเปล่า?
ผมเคยเห็น เพราะตาผมเป็นคนนำชาวบ้านไปขุด ผมเป็นเด็ก ก่อนปี 2500 แต่ก่อนพระไม่มีราคา พระเจดีย์หรือโบสถ์พังพระจะจมอยู่ใต้ดิน ตาผมเอาขึ้นมาให้คนบูชา ปล่อยให้คนเหยียบย่ำอยู่ใต้ดินมันไม่ดี ขุดเอาพระมากองไว้ในวัดเต็มไปหมด ผมเห็นกองเป็นจอมปลวกเลย หลังๆ หายหมด ราคาทั้งหลายทั้งปวงปั่นมาจากกรุงเทพฯ คนรู้ค่ามาจากกรุงเทพฯ และต่างชาติ ชาวบ้านเขาไม่เอาเข้าบ้าน แต่เมื่อเจดีย์ผุพัง พระเครื่องคือหัวใจของสิ่งก่อสร้าง มันก็จะหว่านโปรยออกไปให้คนได้บูชา ได้สนใจพระศาสนามิใช่หรือ ส่วนมันจะฟะเฟื้อไปเป็นพระจริงพระปลอม อันนี้ผมก็ได้มาจากการเรียนจากชาวบ้านอีกทีหนึ่ง
0นำความรู้ที่ได้จากชาวบ้านมาย่อยอย่างไร?
ถ้าคนเก่งเขาไม่มีปัญหา ไม่ต้องมาเสียเวลาเขียนเหมือนผมหรอก ผมว่างเว้นมานาน ฝีมือมันอ่อน ถ้าเก่งจริงๆ แวบเดียวก็จบแล้ว เรื่องนี้เขียนปีกว่าเท่านั้นเอง ขณะเขียนก็มีกิจกรรมโน่นกิจกรรมนี่ ทีนี้บางคนเขาเขียนเป็นอาชีพ เราไม่ใช่อาชีพ เราเป็นคนอยากทำงานศิลปะ บางคนเขาเขียนเป็นอาชีพ อาจจะซ้อมมือทุกวัน เขียนเร็ว แต่เราไม่ได้มีปัญหาเรื่องการครองชีพ ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้น คงไม่ต้องเร่งอะไร ไม่สนใจการทำมาหากิน อยากทำอะไรก็ทำ เรื่อยๆ แต่ลึกๆ ความอยากเล่าเรื่องมันมีมาก
0ต้องการเขียนเป็นนิยายที่สะท้อนชีวิตชาวบ้านในอดีต?
ย้อนอดีตเพื่อให้เห็นภูมิหลังของแผ่นดิน ฉะนั้นที่เราย้อนอดีต เพราะเข้าทางกับพวกระลึกชาติ เข้าทางกับวัฒนธรรมไทย แต่ขณะเดียวกันเราต้องให้เห็นภูมิหลังของแผ่นดิน เห็นวิวัฒนาการของแผ่นดิน กว่าจะมาถึงเวลาที่ท่านพระพุทธทาสประกาศธรรมขนาดนี้ เราเชื่อพระธุดงค์ คาถงคาถาเหลวไหลกึ่งไสยศาสตร์ มันยังมืดๆ อยู่ เพราะฉะนั้นพุทธทาสจะจุดประกายสว่าง นี่คือความจงใจ และมันเข้ากับบรรยากาศบ้านเรา ความเชื่ออย่างบ้านเรา หลายจุดเราจงใจ
0มีหลักธรรมที่ต้องการสอดแทรกอยู่ด้วย?
แน่นอนอยู่ในนั้นแหละ เพราะเรารู้ว่าเวลามองย้อนไปเราเห็นจุดอ่อนตอนต้นๆ มีเยอะกว่านี้อีก ผมไม่อยากพูด จากที่คุณหลับไปสู่ตื่นแล้ว คุณกลับหลงไปสู่หลับอีก คุณเริ่มเข้าใจธรรมะลึกๆ อธิบายถูกต้อง คุณกลับหลงกลับไปไสยอีก ท่านพุทธทาสพูด คนอ่านคนไหนที่เพลิน อ่านถึงจุดนี้แล้วพอเราปล่อยตัวละครให้มันเหลวไหล คุณกลับไปเชื่อ คือไปมีพฤติกรรมอย่างไสย ตัวละครผมก็ไม่เลยไป เมื่อมันไม่เลยแล้วคนอ่านควรจะรู้ว่าตัวละครมาได้แค่นี้ แต่ฉันเห็นเลยกว่านี้ ตัวละครไม่ไป กลับไปติดความงมงาย ไปติดไสย บางทีมันเป็นกลลวงของคนเขียนแค่นั่นแหละ หนังสือนี้มันตรวจสอบคนอ่านด้วยนะ ไม่ใช่แค่ตรวจสอบคนเขียน แต่ขอย้ำว่าไม่ได้แยกคนเขียนออกจากคนอ่าน เพราะคนอ่านคือเพื่อนผม คนอ่านคือลูกหลานผม เวลาเขียนอะไรก็อยากให้มันสนุกหน่อย
0สังคมแบบนี้ยังคงมีอยู่มาจนถึงปัจจุบัน?
เต็มไปหมดเลย การศึกษายังไม่ถึงไหน 'ร่างพระร่วง' เป็นร่างทรงของพระร่วง มันคิดว่ามันเป็นร่างทรงของพระร่วงผู้สร้างพระเครื่องหรือเปล่า หรือร่างพระในตัวมัน แล้วมันร่วง หรือความเข้าใจพระเข้าใจธรรมะนั้นมันเกิดร่วง มันตก หรือว่าเป็นร่างที่เป็นร่างรูปที่ไม่ลงตัว แต่ร่างเขียนรูปแบบเขี่ยๆ กลับดีกว่ารูปที่ตั้งใจวาด เหมือนลายมือตัวบรรจงเต็มบรรทัดกับตัวหวัดๆ อันไหนมันสนุกกว่า แง่ของภาษามันเล่นได้สนุก
0เขียนด้วยลีลาสนุกๆตามวิธีการเล่าเรื่องของตัวเอง?
เราสนุกกับมันนั่นแหละ คุณเขียนหนังสือถ้าคุณไม่สนุกกับมัน เรื่องไม่สนุกเลยนะ ต้องสนุกกับมันด้วย อีกหมวดหนึ่งที่ผมอยากจะพูด คือข้ออ่อนที่ผมเขียน พูดได้เป็นเล่มเลยแหละ เบื้องหลังการเขียน เขียนแล้วสนุก ตัวละครผมทิ้งไปเยอะเลย พฤติกรรมบางอย่างของตัวละครผมทิ้ง เวลาคุณเห็นไฟไหม้วัดมันฉากใหญ่มาก ไฟไหม้วัดไหม้พระ พระไม่ช่วยเลยเหรอ ของดีๆ ของแผ่นดิน และไฟกองนี้จะต้องอยู่ในใจของตัวละคร เหมือนที่มันช่วยงูเหลือมตกในบ่อ หลวงพ่อบอกเอาไม้ไผ่ไปจิ้มมันลำหนึ่ง ตอนเช้าไปได้ทั้งที่ไม่มีตีน มันพันขึ้นมันก็ไปได้
เมื่อฉันตกอยู่ในบ่อของความทุกข์แล้วใครเล่าจะทิ้งไผ่มาให้ฉัน นัยอย่างนี้เล่นได้เยอะ
ที่มา จุดประกาย วรรณกรรมปีที่ 16 ฉบับที่ 6309วันอาทิตย์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2549
พรชัย จันทโสก : สัมภาษณ์ / jantasok@yahoo.com