นักเขียน/พิธีกร คลื่นความคิด-คลื่นลูกใหม่ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล

หลังควันกรุ่นของสงครามประชาชนจางหาย คนรุ่นมือถือรู้จักตำนานการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนเดือนตุลา จากภาพและเสียงบนแผ่นฟิล์ม ไม่มีใครทำนายได้ว่าความร้อนของอุณหภูมิการเมืองไทย จะพุ่งสูงจนปรอทแตกเหมือนในวันคืนเหล่านั้นอีกครั้งหรือไม่ เมื่อไหร่ และเมื่อถึงวันนั้น…ใครจะลุกขึ้นมาสู้ ศัตรูที่แท้จริงของประชาชนคือใคร เราจะมองหาวีรบุรุษของเราได้ที่ไหน?
ประชาธิปไตยยังไม่ผลัดใบ ดอกไม้ทุนนิยมเบ่งบาน ทายาทคนเดือนตุลาฯ เดินตบเท้าเข้าสู่กระแสความสนใจของสังคม ด้วยเส้นทางที่ต่างกัน
สถานการณ์บ้านเมืองในวันนี้ ยังไม่มีเวทีให้พวกเขาพิสูจน์ความเข้มข้นของสายเลือดวีรชน แต่เด็กหนุ่มคนนี้…เป็นคนหนึ่งที่กำลังก้าวสู่จุดหมายอย่างเงียบเชียบ แม้จะเป็นการเข้าผ่านประตูวงการบันเทิง ด้วยภาพนายแบบ – ดารา แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้รูปลักษณ์วีเจหนุ่มน้อยหน้าใส นักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ทายาทคนสุดท้องของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล กับ จิระนันท์ พิตรปรีชา คือมันสมองและความมุ่งมั่นที่ประมาทไม่ได้
เส้นทางสู่วงการบันเทิง ของ วรรณสิงห์ คล้ายคลึงกับเด็กหนุ่มสาวทั่วไป ประเภทนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ดีๆก็มีแมวมองมาชักชวนไปแคสติ้ง ได้เป็นพิธีกรรายการเคเบิลทีวี นายแบบโฆษณา และวีเจรายการเพลง หน้าตา-น้ำเสียงของหนุ่มน้อยคนนี้เริ่มจะคุ้นหูคุ้นตาผู้ชม กับนามสกุลที่คนไทยเกินครึ่งประเทศน่าจะรู้จัก แต่สิ่งที่สะกิดผู้คนให้หันมามองตัวตนข้างในของเขา คือข้อเขียนเล็กๆของเขาในหน้าสุดท้ายของนิตยสารชื่อดังฉบับหนึ่ง ด้วยคมปากกา บาดลึก เฉียบขาด ผสมลีลาร้อนแรงแห่งวัย การันตีว่าเขามีเลือดคนเดือนตุลาฯ โดยไม่จำเป็นต้องตรวจพิสูจน์ DNA!!
ตอนนี้นอกจากการเรียนแล้ว ทราบว่าสิงห์ทำงานในวงการบันเทิงด้วย งานหนักไหม
เหนื่อยมากครับ เวลานอนก็ไม่ค่อยจะมี ผมนอนวันละ 3 ชม. เพราะมีคิวถ่ายอยู่ตลอดทั้งแกรมมี และยูบีซี บางครั้งถึงเที่ยงคืนก็มี และยังมีงานของมหาวิทยาลัยอีกเพราะผมทำงานกิจกรรมนักศึกษาด้วย
ผลการเรียนเป็นอย่างไรบ้าง
เทอมที่แล้วได้ 4.00
เรียนได้ขนาดนี้ก็จัดว่าเป็นคนเก่ง ไม่น่าจะต้องมาเหนื่อยขนาดนอนวันละ 3 ชั่วโมง
ผมต้องอ่านหนังสือมาก ถึงหัวจะอยู่ในระดับหนึ่ง แต่อาศัยความเพียรเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะไปทำอะไรก็แล้วแต่ ผมก็จะให้การเรียนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่ทำทุกอย่างไม่ได้ต้องการเห็นคนอื่นเห็นผมเป็นคนดีคนเก่งแต่อย่างใด เพราะผมเชื่อไม่มีใครไม่ให้ความสำคัญกับเรามากเท่ากับตัวเราเอง คนทุกคนให้ความสำคัญกับตัวเองอันดับหนึ่ง ผมก็เหมือนกัน ผมต้องการภูมิใจในตัวเองโดยไม่ต้องให้ใครมาบอก
คุณเรียนหนัก-ทำงานหนักอย่างนี้ จะมีเวลามีแฟนเหมือนคนรุ่นเดียวกันหรือเปล่า
แฟน…ก็เคยมีนะ แต่ชีวิตคนเราจะใช้เวลาไปกับการแคร์ใครมากๆก็ไม่ได้! และขณะเดียวกันก็ใช้เวลาไปกับการทำงานมากๆก็ไม่ได้เช่นกัน จะทำให้มีปัญหาครอบครัวตามมา คนที่ผมชอบก็มี แต่คิดว่า ณ จุดนี้ของชีวิต ยังไม่อยากไปพัวพันอะไรมากมาย เสียเวลาการทำงาน ตอนนี้ผมให้เรื่องการเรียนและการทำงานมาเป็นอันดับหนึ่ง เคยมีแฟนช่วงหนึ่งและเขาก็งอนมากเลย เพราะไม่ค่อยมีเวลาให้
รู้สึกอย่างไรกับงาน V.J. ที่ทำอยู่ตอนนี้
ก็โอเคครับ สนุกดี พี่ๆกันเองดีไม่เครียดดี อย่างที่ดาราหลายคนชอบพูด (หัวเราะ) ก็จริงอยู่ครับ แต่สิ่งที่นำเสนอมาสู่สายตาประชาชน ถ้าให้ผมมองมันเป็นเหมือนกับนกแก้วนกขุนทอง เขาให้พูดอะไรก็พูด ต้องทำให้เป็นตัวอย่างของวัยรุ่น ผมก็กลับมาคิดในใจว่า…แล้วตัวกูเป็นใครวะ ต้องมาเป็นตัวอย่างของวัยรุ่น ผมเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ที่ต้องการพึ่งตัวเองเลยออกมาทำงาน
พ่อแม่สนับสนุนแค่ไหนกับการเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง
แม่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากเหมือนแม่คนอื่นทั่วไป ว่าเออ…ลูกฉันก็หล่อดี (หัวเราะ)
แต่พ่อบอกว่าหากเราต้องการทำงานในสายการปกครอง ก็ไม่ควรเข้าไปทำงานบันเทิง เพราะมันจะกลายเป็นภาพลักษณ์ว่าเราเป็นดารา
แสดงว่าคุณพ่อก็มองอนาคตด้านการเมืองไว้ให้คุณเหมือนกัน
เขาไม่ได้มองไว้ให้แต่เขารู้ว่าเราอยากทำอะไร เขาให้คำแนะนำกับเราเฉยๆ แต่เราจะเป็นอะไรก็ขึ้นอยู่กับตัวผมเอง
ตัวคุณมีความสนใจด้านการเมืองมากน้อยแค่ไหนในปัจจุบัน
ก็อ่านข่าวอ่านอะไรอยู่แล้ว เอามาเขียนลงในนิตยสารของคณะบ้าง พูดคุยกับเพื่อนๆบ้างก็สนใจอยู่
เหตุผลที่เลือกเรียนคณะเศรษฐศาสตร์
ทีแรกก็ไม่มั่นใจว่าจะเรียนอะไรดีระหว่าง รัฐศาสตร์ กับเศรษฐศาสตร์ แต่ชอบทางด้านสังคม การปกครอง การเมือง แต่ที่ไม่เลือกเรียนรัฐศาสตร์เพราะเดี๋ยวกลัวเหมือนพ่อ แต่ตัดสินใจมาลองเศรษฐศาสตร์ดูก่อน ถ้าไม่ชอบค่อยย้ายไปเรียนรัฐศาสตร์ พอเรียนไปเรียนมาก็ชอบและคิดว่าจะเรียนต่อไปในด้านนี้
ทำไมต้องกลัวที่จะเหมือนพ่อ
(ยิ้ม) ถ้าคุณเป็นลูกใครคนหนึ่งที่ดังเกือบทั้งประเทศผู้คนรู้จักหมดเป็นเหมือน NATIONAL HERO เคยสร้างวีรกรรมไว้ในอดีต แม้บางคนอาจจะไม่ชอบก็ตาม คุณก็จะเกิดมีเงาขนาดใหญ่บังหัวคุณอยู่ ตั้งแต่เด็กจนโต ผมเองก็มีเงาของพ่อแม่บังหัวอยู่ตลอดเวลา แม้จะไม่ใช่ความผิดของเขาก็ตาม เพราะเขาทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ เพียงแต่ว่า ผมในฐานะลูก…ก็มีสิทธิ์เป็นตัวของตัวเอง ผมคิดว่ามันไม่ใช่การกบฏไร้สาระที่จะบอกว่า เมื่อพ่อเป็นแบบนี้กูจะเป็นอีกอย่าง ทีแรกก็ยังไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรจะทำอะไรกับชีวิต เมื่อไปอยู่อเมริกามา 1 ปี ได้ใช้เวลากับตัวเอง ได้คิดอะไรมากมาย และค้นพบตัวเองว่าต้องการเรียนแบบนี้ ไม่รัฐศาสตร์ก็เศรษฐศาสตร์ ชอบสายปกครองหรือไม่ก็สายการเมือง ที่บอกว่าไม่อยากเหมือนพ่อ ก็เพราะว่าคุณพ่อมีอิทธิพลกับผมอยู่ในหลายเรื่องอยู่แล้ว หากยิ่งไปเรียนเหมือนพ่ออีก คงอดไม่ได้ที่ผู้คนจะมองหรือเปรียบเทียบผมว่าไปเรียนเหมือนพ่อ หรือเช่นอาจารย์อาจจะบอกว่า พ่อก็เก่งนะแต่ทำไมลูกถึงเป็นอย่างนี้ได้ ที่เลือกเรียนสาขานี้เพราะผมสนใจมากกว่า
เคยคิดมั้ยว่าจะใช้ประโยค "รู้มั้ยว่าผมลูกใคร"
ไม่เคย จะใช้ทำไมในเมื่อถ้าคุณใช้ตรงนั้น คุณก็ได้แต่เป็นลูกเขาไปตลอด คุณไม่ได้เป็นคุณ คุณไม่มีตัวตนอยู่จริงในโลกนี้ เหมือนเป็นขี้ก้อนหนึ่ง
มีแรงกดดันอะไรที่ทำให้คุณต้องการพึ่งตนเองหรือเป็นอิสระจากครอบครัวมากถึงขนาดนี้ ขัดแย้งอะไรกับครอบครัวหรือเปล่า
ผมคิดว่าคนเราไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกับใครและไม่จำเป็นต้องพึ่งใคร เมื่อเราโตพอที่จะพึ่งตัวเองได้! คงเป็นเพราะการที่ไปอยู่อเมริกา ผมได้อยู่กับตัวเอง รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และก็เหมือนกับที่พ่อแม่เคยสอนว่า ที่พึ่งสุดท้ายคือตัวเราเอง เมื่อเราสามาถพึ่งตัวเองได้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งใคร ไม่ได้ตัดขาดกับครอบครัว แต่ผมยินดีที่จะทำแบบนี้ เพราะคิดว่า การพึ่งคนอื่นถือเป็นความอ่อนแออย่างหนึ่ง
หากมีคนมาพูดสบประมาทว่าคุณได้โอกาสมากกว่าคนอื่น หรือได้ดิบได้ดีเพราะเป็นลูกคนดัง คุณจะมีการโต้ตอบอย่างไร
คือ…ที่ผมเป็นอย่างทุกวันนี้ เพราะผมมีจุดมุ่งหมายเดียวคือ การพิสูจน์ตัวเอง ว่ากูทำได้ ถ้ามีใครมาพูดกับผมอย่างนี้ ผมก็จะไม่โกรธและจะไม่ด่าออกไป แต่สักวันหนึ่งคุณจะเห็นว่าผมทำได้ เพราะผมจะมีความพยายามในการพิสูจน์ตัวเองอย่างมาก
ฮีโร่ในดวงใจ
ไม่มีคนที่เชิดชูเป็นวีระบุรุษในดวงใจ ทุกคนมีชีวิตและจุดยืนที่แตกต่างกันไป การที่เราจะไปยึดติดจุดยืนของคนนั้นคนนี้ ก็เท่ากับว่าเราเลียนแบบเขา ถ้าถามว่ามีคนที่ชื่นชมไหม ก็คงเป็นพ่อกับแม่ ซึ่งเป็นคนเก่งคนในสังคมก็รู้อยู่แล้ว ผมไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร นอกจากนั้นก็นึกไม่ออกว่าเป็นใคร ดูในโทรทัศน์ก็มีหลายคนที่เก่ง แต่เราก็ไม่ได้ชื่นชมว่าเป็นสุดยอดฮีไร่แต่อย่างใด สุดท้ายก็มีแต่ตัวเราเอง
ในสายตาคนเรียนเศรษฐศาสตร์ คุณมองภาพเศรษฐกิจบ้านเราตอนนี้เป็นอย่างไร
การบริหารงานของรัฐบาลเน้นสวัสดิการราคาต่ำ เป็นผลดีเฉพาะคนบางกลุ่ม แต่ในภาพรวมทั้งประเทศ เช่นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจนั้น รัฐบาลทำไปเพื่ออะไร ทั้งที่คนเขาไม่เห็นด้วยกันทั้งนั้น โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับนายก เคยคุยกับพ่อเหมือนกันในเรื่องนี้ว่ามันมีดีอะไรที่ต้องแปรรูป อาจจะดีในแง่ที่จะมีทีมงานเข้ามาบริหารดีขึ้น แต่ว่าอะไรจะเป็นเครื่องรับประกันว่าราคาไฟฟ้า น้ำประปาจะไม่กลายเป็นสินค้าที่มีราคาขึ้นลงตามตลาด ต่อไปเมื่อเรามีความต้องการน้ำหรือไฟมาก ราคาก็จะขึ้นตามไปด้วย ซึ่งน้ำ ไฟฟ้า มันไม่ควรเป็นสินค้า แต่มันควรเป็นสวัสดิการให้กับประชาชน ผมก็งง…ไม่รู้ว่าเขาทำไปเพื่ออะไร เอาเงินเข้าประเทศแล้วจะคุ้มหรือ โอเคเขาขาย 25% ตอนนี้ แต่อนาคตต่อไปก็ต้องมีคนมากดดัน เดี๋ยวอเมริกามาบีบเดี๋ยวอะไรมาบีบ ก็ต้องขายหมดกลายเป็นเหมือนประเทศอื่นไป
เคยคิดอยากสมัครเป็นสส.ไหม
ผมคงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองโดยตรง เพราะรู้สึกว่า…การเมืองเป็นวงการที่ค่อนข้างสกปรก และคนที่ต้องการเข้าไปทำงานจริงๆอยู่ได้ยาก คนดีคนอยากทำงานก็มี แต่มันคงไม่ใช่ที่สำหรับคนเหล่านั้น ผมคิดว่าการเมืองไทยเป็นแบบนั้น ณ ตอนนี้ แต่หากโตขึ้นมากกว่านี้แล้วมีอะไรเปลี่ยนแปลงก็อาจคิดดูอีกที
มองสังคมเด็กวัยรุ่นไทยอย่างไร
โดยทั่วไปเด็กกรุงเทพฯ จะแข่งขันสูง เป็นพวกทุนนิยม รูปแบบหลักก็คือจะทำอะไรเป็นหมู่คณะ คือเด็กทั่วๆไปจะทำอะไรคนเดียวไม่ค่อยได้ จะเข้าห้องน้ำก็รอเพื่อน จะไปตู้เอทีเอ็มก็ต้องรอเพื่อนก่อน ยอมสาย ผมรู้สึกว่าทำไมหรือ โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยแคร์ใครมาก ถ้ามัวไปรอใครมากก็ไม่เสร็จสักที
คิดว่าเด็กที่อยู่ในวัยเดียวกันว่ามีส่วนรับรู้และสนใจการเมืองมากน้อยขนาดไหน
ถ้ามองในภาพรวม การเมืองคงเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สนใจกันอีกต่อไปแล้ว แม้แต่ในธรรมศาสตร์ซึ่งมีประวัติศาสตร์ทางการเมืองยาวนาน เพราะมันเป็นเรื่องไกลตัว ตอนนี้คนที่เข้ามาเรียนที่ธรรมศาสตร์ ได้มีแต่ลูกหลานชนชั้นกลางซึ่งมีเงิน คือตั้งแต่ด่านเอ็นทรานซ์แล้วครับ คนชนบทจะเอาความรู้ที่ไหนมาสู้เพราะเขาไม่ติวไม่ได้ทำอะไร เมื่อผ่านด่านเอ็นเข้ามาก็มาเจอด่านค่าเล่าเรียน ซึ่งชาวนากว่าจะขายข้าวได้หมื่นนึงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ฉะนั้นเมื่อมีแต่ลูกหลานชนชั้นกลาง การที่รัฐบาลจะบริหารงานอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับเขา เพราะพ่อแม่เขายังมีเงินอยู่ มันถือเป็นเรื่องไกลตัว…เขาจึงไม่แคร์!
ถ้าทุกอย่างดำเนินต่อไปแบบนี้ จะเกิดอะไรขึ้น
เมื่อรุ่นเราขึ้นมาเป็นผู้บริหารประเทศ โอเคเมื่อโตขึ้นอาจจะมีความตื่นตัวมากกว่านี้อาจจะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ ถ้าประเทศยังเป็นอยู่แบบนี้ก็คง…ฉิบหาย…ครับ
คุณอ่านหนังสือของนักเขียนไทยคนไหนบ้าง
ชอบอ่านงานของ พี่คุ่น ปราบดา หยุ่น และของคุณวรพจน์ พันธุ์พงศ์ เพราะเขาได้สะท้อนแง่มุมของสังคมได้ดี
ผลงานเขียนที่ผ่านมามีอะไรบ้าง
เขียนลงในวารสารของโรงเรียนเก่าที่สามเสนวิทยาลัย เคยเขียนเรื่องประสบการณ์ในอเมริกา และก็จะมีเรื่องสั้นบ้างนิดหน่อย จากนั้นก็เขียนลงในหนังสือรุ่น ตอนที่จบการศึกษา ในมหาวิทยาลัยก็มีเป็นบทความลงในคณะที่เรียนอยู่ตอนนี้ ชื่อ BE Political Economy เป็นบทความวิชาการเกี่ยวกับ เศรษฐกิจ การเมือง โดยใช้ความรู้เท่าที่มีอยู่นั่นแหละมาเขียน ก่อนหน้านี้เพื่อนที่ทำนิตยสารก็เรียกให้ไปช่วยเขียนอยู่บ่อยๆเพราะเขารู้ว่าผมชอบเขียน แต่ที่ออกสู่ PUBLIC จริงๆก็ชิ้นที่ลงนิตยสารแพรว เป็นชิ้นที่คนพูดถึงกันอยู่พอสมควร อาจเพราะเป็นลูกของคุณเสกสรรค์ คนก็เลยได้อ่านเยอะ
คุณอ่านงานของเขียนพ่อแม่บ้างหรือเปล่า
อ่านบ้างงานของพ่อนิดหน่อยแต่ไม่ทั้งหมด ส่วนงานของแม่เองแทบไม่ได้อ่านเลย ผมว่ามันเป็นงานแนวผู้หญิงๆนะ ผมเองก็ไม่ใช่แฟนบทกวี งานแปลของแม่ก็ไม่ค่อยได้อ่าน
เขาว่าคุณเป็นคนใจร้อนเหมือนพ่อ จริงหรือ
จริง แต่พ่อยิ่งแก่ยิ่งใจเย็นลง แต่ถ้าผมเทียบตัวเองกับตอนม.ต้น ตอนนี้ก็ถือว่าเย็นลงเยอะเพราะตอนเด็กเรารู้สึกอะไรก็พูดออกไปแบบนั้น ไม่คิดอะไร และก็แสดงออกอย่างนั้นไปเลย ไม่ได้ไตร่ตรองว่าจะมีผลกระทบอะไรบ้าง แต่ตอนนี้ก็ได้รับบทเรียนมาบ้าง ก็ใจเย็นลง
คุณสนิทกับใครมากกว่าระหว่างพ่อกับแม่
คุณแม่ มากกว่า เพราะคุณแม่เป็นคนที่ไปไหนมาไหนด้วยกันมากกว่า คุณพ่อก็เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน แต่จะเป็นคล้ายอาจารย์ที่สอนแง่มุมการใช้ชีวิต แล้วดูจากตัวเค้าเอง อะไรที่ดีที่เท่ห์ ก็รับมาใช้แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ถึงจะเป็นพ่อผมแต่เขาอาจจะคิดผิดได้
คุณรู้จักคนชื่อ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ในแง่ไหนบ้าง
ก็เหมือนที่คนรู้จักนั่นแหละครับ เป็นอาจารย์ผู้ที่มีความสามารถ เป็นนักเขียนชื่อดังที่ได้รับรางวัลศรีบูรพา ผมก็เฝ้าดูจากจุดนี้ของเขา จากไกลๆก่อน ตอนนี้ผมก็เห็นแค่ข้างหลังเขา ก็หวังว่าจะเข้าใกล้ไปเรื่อยๆทุกวันๆ
แนวทางที่พ่อเป็นมีอิทธิพลกับเรามากน้อยแค่ไหน
ทั้งใช่และไม่ใช่ มีเป็นบางเรื่องเท่านั้น อย่างมองเรื่องการคดโกง ซึ่งพ่อผมจะเกลียดเรื่องนี้ เหมือนผม แต่ผมไม่ได้มาจากพ่อ การคดโกงมันเหมือนเราดูถูกตัวเองว่าเราทำเองไม่ได้ ถ้าเราโกง…เท่ากับว่าเราเข้าไปสู่ประตูที่กลับไม่ได้แล้ว ถึงเราจะได้ผลลัพธ์ที่โอเคออกมา แต่เราก็ไม่สามารถบอกกับคนอื่นไม่ได้เต็มปากว่าเราทำเอง ผมให้ความสำคัญกับวิธีการมากกว่าผลลัพธ์ สิ่งเหล่านี้ผมคิดว่าไม่เหมือนพ่อนะ แต่ก็อาจจะซึมซับมาโดยไม่รู้ตัว พ่อเขาจะเป็นคนที่ค่อนข้าง Conservative คือค่อนข้างอนุรักษ์นิยม แต่ผมนี่เป็นพวกชอบลองของใหม่ เห็นอะไรใหม่มาไม่ได้…ต้องลุย
เกิดเป็นลูกเสกสรรค์ – จิระนันท์ นี่ดีอย่างไร
ผมรู้สึกว่าผมโชคดีแล้วที่มีพ่อแม่ที่รู้มาก คือเราได้เรียนรู้จากเขา เหมือนว่าความรู้นั้นเราได้มาฟรีๆ ไม่ต้องไปซื้อหาที่ไหน ได้มาโดยไม่ขออะไร เราก็ดีใจที่ได้ตรงนั้นมา ผมดีใจที่พ่อแม่เป็นคนที่สร้างให้ผมเป็นคนที่รู้พึ่งตัวเอง นั่นคือจุดสำคัญที่สุด
คุณมองว่าในประเทศนี้มีความเป็นประชาธิปไตยอยู่จริงหรือเปล่า
มันมีแต่สิ่งที่ดีที่สุดกับสิ่งที่ดีน้อยลงมาเรื่อยๆ ให้เลือก ถ้าพูดถึงหัวใจหลักของประชาธิปไตยก็คือ อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน สิ่งที่มีให้เราเลือกอยู่ตอนนี้ ก็เป็นสิ่งที่คนเขาด่ากันอยู่ ว่าอันนี้มันแย่อีกอันหนึ่งก็แย่ ฉะนั้นคนก็เลือกสิ่งที่แย่น้อยที่สุด ผมคิดว่ามันเป็นเพราะระบบทุนนิยมมากกว่า ไม่จำเป็นต้องเอาการเมืองมาจำกัดอำนาจสิทธิของเรา แม้โดยทางเศรษฐกิจคนก็ไม่มีสิทธิเท่ากันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว คนจนไม่มีใครฟังเสียง ถ้าไม่มีเงินก็พูดอะไรไม่ได้แล้ว เหมือนประเทศทุนนิยมทั่วไป…
…วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล จะเป็นหนึ่งในคลื่นลูกใหม่ที่เข้ามาแทนคลื่นลูกเก่าหรือไม่ เวลาจะเป็นเครื่องตัดสิน เราได้แต่หวังว่า "ความฉิบหาย" หรือระเบิดเวลา ที่นักเศรษฐศาสตร์รุ่นเยาว์คนนี้ทำนายไว้ คงจะมีวีรบุรุษผู้กล้าหาญมาช่วยกู้ ก่อนความวินาศจะบังเกิด
เพราะเราคงไม่จำเป็นต้องใช้เสียงดังขนาดนั้น เพื่อปลุกคนหนุ่มสาวของเราให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง!
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจากนิตยสาร YES