นก ในตำนาน

ตำนาน ‘ฟีนิกซ์’ วิหคแห่งไฟ
ฟีนิกซ์ (Phoenix) หรือวิหคแห่งไฟ มีตำนานเล่าขานถึงความมหัศจรรย์และการเสียสละอันยิ่งใหญ่มากมาย ทั้งในรูปแบบนิทาน ตำนาน วรรณกรรม การ์ตูน หรือแม้แต่ แฮร์รี่ พอตเตอร์ เวอร์ชันภาพยนตร์ตอนล่าสุด ก็ยังหยิบยกเรื่องราวความมหัศจรรย์ของวิหคเพลิงตัวนี้มาถ่ายทอดอย่างน่าสนใจ เสมือนได้ปลุกตำนานของฟีนิกซ์ วิหคแห่งไฟตัวนี้ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ตำนานแห่งฟีนิกซ์ยังปรากฏอยู่ในอารยธรรมโบราณไม่น้อย กล่าวกันว่า นกฟีนิกซ์นั้นเป็นนกที่สวยงามที่สุด มีขนาดใกล้เคียงกับนกอินทรี บ้างก็ว่าเป็นเครือญาติของหงส์และนกยูง มีสีแดงเข้มคล้ายสีเพลิง และมีแผงคอสีทอง หรือผสมด้วยสีแดงและสีน้ำเงิน บ้างก็ว่ามีสีม่วง หรือ 5 สีตามความเชื่อของจีน ที่เป็นเช่นนี้ว่าอาจจะมาจากเหตุผลที่ฟีนิกซ์เป็นนกที่มีอายุยืนยาวถึง 500 ปี และสีแต่ละสีอาจจะเป็นการผลัดขนหลายครั้งในตลอดช่วงชีวิตของมันก็เป็นได้
ว่ากันว่าเรื่องราวเริ่มแรกของนกฟีนิกซ์มาจากวรรณกรรมกรีกโบราณที่ชื่อว่า Account of Egypt ของกวีเฮโรโดตัส ประมาณ 430 ปี ก่อนคริสตกาล ตามตำนานกล่าวว่า นกฟีนิกซ์มีอายุ 500 ปี เมื่อถึงเวลาที่ใกล้จะหมดอายุขัย นกฟีนิกซ์จะล่วงรู้ถึงชะตากรรม มันจะสร้างรังจากไม้เครื่องเทศที่มีกลิ่นหอม แล้วนั่งคอยที่กองฟืนไม้หอมและร้องเพลงอย่างสำราญใจ เมื่อแสงอาทิตย์แรกสาดส่อง นกฟีนิกซ์จะแผดเผาตนเองกลายเป็นเถ้าถ่าน จากเถ้าถ่านนั้นนกฟีนิกซ์หนุ่มตัวใหม่จะกำเนิดขึ้น
ภารกิจแรกที่ฟีนิกซ์หนุ่มต้องกระทำก็คือ การรวบรวมเถ้าถ่านของพ่อแม่แล้วนำไปฝังที่วิหารเฮลิโอโปลิส หรือนครแห่งตะวันในอียิปต์ จากนั้นก็จะบินกลับมาที่อาระเบียและใช้ชีวิตอยู่จนกว่าจะเปลี่ยนร่างอีกครั้ง
จุดกำเนิดตำนานเกี่ยวกับนกฟีนิกซ์นี้ อาจมาจากหนังสือแห่งเวทมนตร์เล่มหนึ่งที่ชื่อว่า Book of Dead ซึ่งกล่าวถึงนกยักษ์ลักษณะคล้ายนกฟีนิกซ์ นกยักษ์ตัวนี้เป็นต้นแบบของวิญญาณอิสระที่ลุกขึ้นมาจากกองเพลิง และบินไปยังเฮลิโอโปลิสเพื่อประกาศยุคใหม่ เพราะว่าดวงอาทิตย์ได้สาดแสงไล่หลังนกที่บินจากตะวันออกไปยังตะวันตก นกจึงปรากฏตัวพร้อมกับเช้าวันใหม่จนกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งไฟและดวงอาทิตย์ไปในที่สุด
การที่นกฟีนิกซ์สามารถเกิดใหม่ได้จากเถ้าถ่านของตัวเอง จึงกลายเป็นตัวแทนของการฟื้นคืนจากความตาย ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้แก่กวีและนักเขียนหลายต่อหลายท่าน จนเรื่องราวแห่งนกฟีนิกซ์แทรกซึมเข้าไปอยู่ในวรรณกรรมยุโรปหลายต่อหลายเรื่อง
ยังมีเรื่องเล่าของฟีนิกซ์ที่ค่อนข้างจะสอดคล้องกันที่ว่า ในอดีตกาล เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ หรือที่รู้จักกันคือ เทพอพอลโล ได้เห็นความงดงามของฟีนิกซ์ จึงได้ขอให้มาเป็นนกข้างกายพระองค์ พร้อมกับให้พรวิเศษคือ “ชีวิตอมตะ” แก่นกฟีนิกซ์เป็นการตอบแทน
พอได้พรวิเศษ เจ้านกฟีนิกซ์ก็สุดแสนจะดีใจ มันค้อมศีรษะเพื่อแสดงความคารวะ ในขณะที่เริ่มเปล่งเสียงร้องขับขานบทเพลงสรรเสริญ “สุริยเทพผู้รุ่งโรจน์ สุริยเทพผู้สง่างาม ข้าจะเป็นประหนึ่งผู้ขับขานบทเพลงเพียงเพื่อท่านและเป็นนกฟีนิกซ์แห่งสุริยเทพแต่เพียงผู้เดียว ชั่วนิรันดร์” และทุกวันจะบินไปยังทางตะวันออกเพื่อคอยร้องเพลงขับกล่อมเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ในช่วงเช้าตรู่
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป 500 ปี เจ้านกฟีนิกซ์ก็เริ่มแก่ตัวลง ไม่มีแรงที่จะร้องเพลงขับกล่อมเทพเจ้าได้เช่นเดิม นกฟีนิกซ์จึงได้ร้องขอเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ช่วยทำให้ตัวเองกลับมาเป็นหนุ่มและแข็งแรงอีกครั้ง แต่เหมือนคำขอดังกล่าวจะไม่ได้รับการตอบรับใดๆ ดังนั้น เจ้านกฟีนิกซ์จึงตัดสินใจบินกลับรังของตัวเอง และระหว่างทางได้พบบรรดาไม้หอมนานาชนิดจึงเก็บไปด้วย เพื่อนำมาสร้างรังบนยอดต้นปาล์ม หลังจากนั้นก็ร้องขอให้เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ประทานความหนุ่มและความแข็งแรงให้อีกครั้ง
ไม่นานท้องฟ้าก็ปั่นป่วนและเกิดฟ้าผ่าลงบนรังของเจ้าฟีนิกซ์ ส่งผลให้รังและเจ้านกฟีนิกซ์ถูกเผาจนเหลือแต่เถ้าถ่าน และกลายมาเป็นนกฟีนิกซ์หนุ่มตัวใหม่ พร้อมกับเริ่มทำหน้าที่ขับกล่อมเสียงเพลงให้แก่เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ได้อีกครั้ง และทุกๆ 500 ปีล่วงผ่านไป นกใหญ่แห่งสุริยะตัวนี้ก็จะบินกลับมายังที่เดิม เพื่อให้สุริยเทพเผาตัวเองเพื่อการกลับมาสู่นกตัวใหม่ที่แข็งแกร่งอีกครั้ง
ในตำนานกรีกยังเล่าขานอีกว่า นกฟีนิกซ์จะอาศัยอยู่ในแถบอาระเบีย โดยจะอาศัยอยู่ในบริเวณแหล่งน้ำที่มีอากาศเย็น ทุกๆ เช้าที่ตะวันเริ่มสาดแสง เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์จะต้องหยุดรถม้าเพื่อฟังเสียงร้องอันแสนไพเราะของนกฟีนิกซ์ยามที่มันเล่นน้ำทุกวัน
อาหารโปรดของเจ้านกชนิดนี้ก็สุดแสนจะศิวิไลซ์ นกฟีนิกซ์ชอบกินสายลมอ่อนๆ น้ำอมฤต น้ำค้าง หรือหมอกบริสุทธิ์ที่ลอยขึ้นมาจากแม่น้ำและทะเล
ยังมีการพูดถึงคุณลักษณะพิเศษของเจ้าฟีนิกซ์เอาไว้อีกว่า ฟีนิกซ์เป็นสัตว์ที่มีนิสัยอ่อนโยน สามารถหายตัวและปรากฏตัวใหม่ตามใจนึกเช่นเดียวกับตัวดิริคอว์ล เพลงของนกฟีนิกซ์มีเวทมนตร์ สามารถกระตุ้นความกล้าหาญแห่งจิตใจที่บริสุทธิ์ และทำให้เกิดความกลัวในจิตใจที่คิดร้าย และน้ำตาของนกฟีนิกซ์ก็เป็นดังโอสถทิพย์แห่งสวรรค์ที่มีพลังในการรักษาบาดแผลและชุบชีวิตได้ แต่ถึงกระนั้นเจ้านกฟีนิกซ์ก็ยากจะหลั่งน้ำตาให้ใคร ยกเว้นเสียแต่ว่าคนผู้นั้นจะมีคุณงามความดีมากพอที่จะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
จากวงจรชีวิตทั้งหมดทั้งมวลของเจ้านกฟีนิกซ์นี้เอง ที่ทำให้ในตำนานของกรีกและโรมันเชื่อว่า นกฟีนิกซ์เป็นสัญลักษณ์ของการมีชีวิตเป็นอมตะ การฟื้นคืนชีพ และเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ หรือแม้กระทั่งในช่วงต้นของคริสต์ศาสนาก็ได้มีการนำเอารูปนกฟีนิกซ์มาสลักเป็นลวดลายบนหินปิดหลุมฝังศพ ซึ่งหมายถึงผู้ที่จากไปจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งนั่นเอง
เรื่องราวความเป็นอมตะของเจ้านกฟีนิกซ์ ยังปรากฏอยู่ในการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องดัง “ฮิโนโทริ วิหคเพลิง” ผลงานของ เท็ตซึกะ โอซามุ การ์ตูนที่แฝงไว้ด้วยปรัชญาแห่งชีวิตที่ได้รับคำชื่นชมมากที่สุด เรียกว่าเป็นมังงะที่ยิ่งใหญ่เล่มหนึ่งที่นักอ่านไม่ว่ารุ่นใหม่หรือรุ่นเก่าไม่ควรพลาด เนื้อหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับคำร่ำลือที่ว่าผู้ใดที่ได้ดื่มเลือดของฮิโนโทริ หรือวิหคเพลิงจะมีชีวิตที่เป็นอมตะ และด้วยความกระหายของมนุษย์นี่เอง นำมาซึ่งสงครามล้างแผ่นดิน
เนื้อเรื่องนอกจากจะกล่าวถึงการเกิดและตายของนกฟีนิกซ์ เฉกเช่นเดียวกับในตำนานฝั่งตะวันตกแล้ว ยังแฝงไว้ด้วยปรัชญาแห่งชีวิตมากมาย ดั่งตัวอย่างตอนหนึ่งที่ นาคี ลูกบุญธรรมของแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ถามนกฟีนิกซ์ว่า “ทำไมเจ้าถึงไม่ตาย ขณะที่พวกเรามนุษย์ต้องตายทุกคน ทำไมถึงอยุติธรรมแบบนั้น” “อยุติธรรมเหรอ? พวกเธอต้องการอะไร อำนาจที่จะไม่ตาย หรือความสุขในการมีชีวิต” วิหคเพลิงพูด “ฉันไม่รู้หรอก แต่เจ้าก็มีความสุขไม่ใช่เหรอที่ไม่ตาย” นาคีว่า “นาคี ดูที่เท้าเธอสิ มีแมลงอยู่ พวกมันมีชีวิตยืนยาวแค่ครึ่งปี แมงเม่ายิ่งสั้นใหญ่ พวกมันมีอายุแค่ 3 วันเท่านั้น
มนุษย์มีชีวิตยืนยาวกว่าแมลง ปลา หมา แมว หรือลิง ตลอดช่วงชีวิตถ้าได้พบความยินดีในการมีชีวิต นั่นคือความสุขที่แท้จริงมิใช่หรือ?” วิหคเพลิงกล่าวย้ำ
แม้ “ฟีนิกซ์” จะเป็นเพียงนกในตำนาน แต่ก็คงเป็นตำนานอันยิ่งใหญ่ที่ให้เล่าขานกันไปอีกนาน โดยเฉพาะการเสียสละได้แม้กระทั่งชีวิตของตนเองเพื่อให้ชีวิตใหม่ได้ดำเนินต่อไป
นกในตำนานตะวันออก
ในขณะที่ฟากฝั่งตะวันตกมีเรื่องของนกฟีนิกซ์ที่เล่าขานตำนานอันยิ่งใหญ่กันมาอย่างยาวนาน ทางฝั่งตะวันออกก็มีเรื่องของวิหคหรือนกในตำนานและนกมงคลที่มีความมหัศจรรย์ไม่แพ้กัน ที่สำคัญบางตัวยังมีปรากฏตัวจริงให้เห็นกันอยู่จนถึงทุกวันนี้
การเวก หรือนกกรวิก เป็นนกในป่าหิมพานต์ ที่คุ้นหูกันดีจากวรรณคดีไทยเรื่อง “ไตรภูมิพระร่วง” กล่าวกันว่า นกการเวกนั้นมีเสียงร้องที่หวานไพเราะกังวานและเสนาะหูยิ่งนัก ดุจดังเสียงจากสวรรค์ ผู้ใดได้ยินเสียงขับขานต่างเหมือนต้องมนต์กันทีเดียว
ตามตำนานของไทยหลายเล่มยังกล่าวถึงนกการเวกว่าเป็นนกที่บินสูงเหนือเมฆ จึงไม่ใคร่มีใครเห็นตัว ชอบกินลมเป็นอาหาร อันเป็นที่มาของชื่อนามอีกชื่อว่า “วายุภักษ์” นอกจากนี้ ยังเป็นนกที่มีขนงดงาม ว่ากันว่าขนนกการเวกเป็นของวิเศษ ผู้ที่ต้องการขนนกการเวกจะต้องทำร้านไว้บนยอดไม้ เอาขันใส่น้ำไปวางไว้ นกการเวกจะมาอาบน้ำในขันแล้วสลัดขนไว้ให้ เชื่อกันว่าขนของนกการเวกที่เก็บไว้นั้นก็จะกลายเป็นทอง ขนของนกการเวกยังนำมาทำเป็นเครื่องแต่งกาย และใช้เสียบพระมาลาของพระมหากษัตริย์ไทยในสมัยก่อนอีกด้วย
พระยาอนุมานราชธน อธิบายไว้ว่า นกการเวกมีภาพวาดอยู่ในสมุดภาพสัตว์หิมพานต์ที่หอสมุดวชิรญาณว่า เป็นนกที่มีหัว มือ และเท้าเหมือนครุฑ ปีกอยู่ที่สองข้างตะโพก ขนหางยาวอย่างขนนกยูง ลักษณะขนหางคล้ายใบมะขาม แต่บางแห่งวาดเป็นนกคอยาว หัวเหมือนนกกระทุง ขนหางเป็นพวงเหมือนไก่ ขายาวเหมือนนกกระเรียน ลักษณะที่ต่างกันไปก็แล้วแต่ว่าจิตรกรผู้วาดรูปนกจะจินตนาการไปอย่างไร
ยังมีคำอธิบายในคัมภีร์ปัญจสูทนีว่า นกการเวกกินมะม่วงสุกชนิดที่มีรสหวานเป็นอาหาร โดยใช้จะงอยปากเจาะจิบน้ำให้ไหลออกมา นกการเวกถ้าอยู่ลำพังตัวเดียวจะไม่ร้อง ต่อเมื่อเห็นพวกพ้องจึงจะส่งเสียงอันไพเราะขับขานกันอย่างเพลินอุรา
เรื่องของนกการเวกยังมีปรากฏในพระบาลีว่าเสียงของพระพุทธเจ้านั้นเหมือนเสียงพรหม แจ่มใสชัดเจน อ่อนหวาน สำเนียงเสนาะลึกซึ้ง มีกังวานไพเราะเหมือนเช่นเสียงของนกการเวก
และครั้งหนึ่งนกการเวกยังเคยใช้เป็นสัญลักษณ์ของกระทรวงการคลังที่รู้จักกันในนามของ “ปักษาวายุภักษ์” นั่นเอง
ชาวจีนเรียกหงส์ว่า “เฟิ่งหวง” และยกย่องให้หงส์เป็นดั่งเทพเจ้าสามารถหยั่งรู้ความสุข-ทุกข์ ความวุ่นวายในโลกมนุษย์และโลกในอนาคตได้ แต่จะไม่ให้ใครเห็นได้โดยง่าย จนกระทั่งเมื่อยามใดบ้านเมืองมีสันติสุขอย่างแท้จริง หงส์จึงจะออกมาปรากฏตัวให้เห็น
ตามปกติหงส์จะหากินอยู่บนภูเขาในป่าไกลโพ้น เรียกกันว่า “เขาแดง” คล้ายในป่าหิมพานต์ไม่มีใครไปถึง เป็นนกที่ไม่กินแมลงที่มีชีวิต ไม่จิกกินต้นไม้อ่อนที่ยังเขียวสดอยู่ จะกินอาหารเพียงแต่เมล็ดดอกต้นไผ่ และกินน้ำหวานที่เกิดขึ้นในฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น
หงส์มีเสียงร้องคล้ายกับเสียงสวรรค์ บ้างว่าคล้ายเสียงขลุ่ย ไม่บินเร่ร่อนไปในที่ต่างๆ อาศัยอยู่แต่เพียงบนต้นไม้ที่มีชื่อว่า ต้นหวู-ถุง ซึ่งจะออกผลแพร่พันธุ์ในช่วงทำขนมไหว้พระจันทร์ หรือเทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วงเดือน 8
ส่วนคุณลักษณะพิเศษของหงส์ตามเทพนิยายของจีนนั้นมีลักษณะแปลกประหลาดมาก เพราะแม้จะมีรูปร่างเป็นนก แต่เป็นนกที่พิเศษสุด เนื่องจากเอาลักษณะบางอย่างมาจากนกเหยี่ยว นกอินทรี ไก่ฟ้า นกยูง นกตะกรุม นกกระสา นกกระยางขาวใหญ่ และนกอื่นๆ อันล้วนเป็นนกวิเศษเหนือนกทั้งปวง ทำให้หงส์เปรียบดั่งราชาแห่งนกที่มีสีสันสวยงามกว่านกทั้งปวง
ชาวจีนยังกล่าวถึงหงส์ในตำนานไว้อีกว่ามีอายุยืนยาวประมาณ 500 ปี จากนั้นก็จะบินตรงไปยังดวงอาทิตย์เพื่อให้ความร้อนแผดเผาร่างกายเป็นเถ้าถ่าน เป็นการบูชายันต์ตนเอง และหงส์หนุ่มสาวเมื่อเกิดมาได้ 3 วัน มันก็จะบินจากไปอาศัยอยู่ที่อื่นเป็นอิสระโดดเดี่ยวจนกว่าจะมีอายุได้ 500 ปี จึงสิ้นอายุขัย ด้วยเหตุนี้นกหงส์จึงถือว่าเป็นผลิตผลจากดวงอาทิตย์และไฟ เฉกเช่นเดียวกับนกฟีนิกซ์ ชาวตะวันตกจึงมีความคิดว่า หงส์ของจีนน่าจะเป็นนกชนิดเดียวกันกับนกฟีนิกซ์
หงส์ยังเปรียบเป็นสัญลักษณ์แห่งดวงอาทิตย์และความอบอุ่นสำหรับฤดูร้อนและฤดูเก็บเกี่ยวพืชไร่ และเป็นเครื่องหมายคุณงามความดีของชาวจีน มีนิทานเรื่องหนึ่งเล่าว่า หงส์มาปรากฏตัวในครั้งที่นักปราชญ์ขงจื๊อเกิดพอดี หงส์จึงได้กลายเป็นส่วนร่วมของการทำพิธีเคารพบูชาระหว่างสมัยราชวงศ์ฮั่น หลังจากนั้นจึงมีการกล่าวอ้างการมาเยือนของหงส์เกิดขึ้นบ่อยๆ เพื่อที่จะป่าวประกาศว่าการปกครองแผ่นดินในแต่ละรัชกาลนั้นประสบผลสำเร็จด้วยดี
นอกจากนี้ หงส์ยังเป็นสัญลักษณ์ของลัทธิเต๋า คือสัญลักษณ์หงส์ 9 ตัว สำหรับทำลายล้างความสกปรก สัญลักษณ์งานมงคลสมรสคือหงส์คู่มังกร ที่สำคัญหงส์ยังเป็นตราสัญลักษณ์ของราชินีจีนอีกด้วย
เชื่อกันว่านกกระเรียนมีอายุถึงพันปี ชาวจีนจึงมีความเชื่อว่าถ้าตั้งนกกระเรียนเอาไว้ในบ้านจะช่วยส่งผลให้คนสูงอายุในบ้านมีสุขภาพที่แข็งแรง หากมีคนเจ็บป่วยไข้ก็จะหาย และคนหนุ่มสาวจะมีหน้าที่การงานที่ดีและราบรื่น ส่วนเด็กๆ ก็จะเรียนหนังสือเก่ง
ในหนังจีนหลายต่อหลายเรื่องยังมีการนำนกกระเรียนเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นวิทยายุทธ์ “หมัดกระเรียน” ที่พลิ้วไหวสวยงาม ทว่ามีอันตรายและน่าเกรงขามอยู่ไม่น้อย
นอกจากนี้ นกกระเรียนยังเป็นสัญลักษณ์ของการมีคู่ ที่ตลอดชีวิตจะมีคู่เพียงตัวเดียว และหากตัวใดตัวหนึ่งเสียชีวิตไปอีกตัวจะตายตาม ซึ่งทางจีนและญี่ปุ่นจะนิยมเลี้ยงนกกระเรียนเอาไว้ในพระราชวังและตามบ้าน โดยถือว่าเป็นสัตว์มงคล
ในญี่ปุ่นเองก็มีความเชื่อว่านกกระเรียนเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพของมวลมนุษย์ และเรื่องของการทำให้คนป่วยมีสุขภาพแข็งแรงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ดั่งตำนานของซาดาโกะกับกระเรียนพันตัว อันเป็นที่มาของการพับนกกระเรียนที่โลกร่ำไห้
เรื่องราวของซาดาโกะ ซึ่งได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหวังของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ชาวญี่ปุ่น ที่ต้องเผชิญกับอาการเจ็บป่วยอันเกิดจากพิษร้ายของสงครามนิวเคลียร์ เด็กหญิงซาดาโกะพยายามใช้มือน้อยๆ ทั้งสองของเธอพับนกกระเรียนกระดาษตัวแล้วตัวเล่าด้วยความหวังว่ามันจะสร้างปาฏิหาริย์ให้เธอรอดพ้นจากโรคร้ายนี้
แต่แล้วซาดาโกะก็ไม่อาจหลีกพ้นสัจธรรมแห่งชีวิต เธอหมดลมหายใจในขณะที่พับนกกระเรียนได้เพียง 644 ตัว ในวันฝังศพของเธอ เพื่อนๆ ร่วมชั้นเรียนจึงได้ช่วยกันพับนกกระเรียนใส่ในโลงศพของเธอจนครบ 1 พันตัว
จากเหตุการณ์อันเศร้าสะเทือนใจของเด็กหญิงซาดาโกะกับนกกระเรียนพันตัว ได้ส่งผลให้รัฐบาลญี่ปุ่นจัดสร้างอนุสาวรีย์ของเธอ ในลักษณะยืนชูแขนทั้งสองข้างไปข้างหน้า โดยมีรูปนกกระเรียนกระดาษอยู่ในอุ้งมือทั้งสอง เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ชาวญี่ปุ่นและชาวโลก ตระหนักถึงพิษภัยของสงคราม และทุกวันที่ 6 ส.ค. ของทุกปี ซึ่งเป็นวันสันติภาพจะมีผู้คนพับนกกระเรียนมาวางไว้ที่ฐานอนุสาวรีย์ของซาดาโกะ ที่ตั้งอยู่ภายในสวนสันติภาพ หรือพีช เมมโมเรียล พาร์ก ณ เมืองฮิโรชิมา เป็นพันเป็นหมื่นตัวเพื่อระลึกถึงเธอ และยังเป็นเครื่องหมายบอกความหวังให้โลกมีสันติภาพ
นกยูงดูจะเป็นสัตว์ที่สร้างความสดใส รื่นเริงช่วยให้โลกเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ไม่ว่าเสียงร้องขับกล่อมอันไพเราะ หรือขนปีกหลากสีสัน มีลวดลายแต่งแต้มจนดูน่าอัศจรรย์ นกยูงจึงได้รับการยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความงาม เรื่องราวของนกยูง จึงปรากฏอยู่ในภาพเขียน บทกวี และลัทธิความเชื่อของชนหลายประเทศ ทั้งชาวฮินดู จีน อียิปต์ และชนพื้นเมืองแถบเมดิเตอร์เรเนียน รวมทั้งไทย
ชาวฮินดูนั้นนับถือนกยูงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่มีใครล่านกยูงอินเดียเพื่อเป็นอาหาร ประกอบกับความเชื่อที่ว่าถ้าผู้ใดฆ่านกยูงจะทำให้ครอบครัวแตกหักและอยู่ไม่เป็นสุข ปัจจุบันในประเทศอินเดียจึงยังสามารถพบนกยูงได้ทั่วไปในเขตอนุรักษ์ต่างๆ
ทางประเทศแถบเอเชียยังยกย่องให้นกยูงเป็นสัตว์ที่สูงส่ง มีความหยิ่งทระนง สง่างามกว่านกทั้งปวง และเชื่อกันว่านกยูงเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี สามารถขับไล่ความชั่วร้ายได้ จึงนิยมนำขนนกยูงมาเป็นเครื่องประดับ หรือเครื่องหมายประดับยศของขุนนาง
เหตุที่นกยูงถูกจัดให้เป็นนกที่สูงส่ง จึงมักมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับเทพเสมอ อย่างเช่น นกยูงเป็นสัตว์พาหนะของเทพ Kartikeya ในศาสนาฮินดู และเป็นพาหนะให้นางสงกรานต์ประจำวันเสาร์ คือนางมโหทร
นกยูงยังเป็นสัญลักษณ์ที่มักปรากฏอยู่ทั่วไปทั้งในจิตรกรรม สถาปัตยกรรม และบนผืนผ้า ของชาวล้านนา ในประเทศจีนนกยูงยังเป็นสัญลักษณ์ที่รัฐบาลจีนปัจจุบันได้นำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ของมณฑลยูนนาน และได้มีการประดิษฐ์นาฏลีลาสมัยใหม่ ซึ่งใช้แสดงเป็นสัญลักษณ์ของชาวไทลื้อในสิบสองปันนา เรียกว่า ระบำนกยูง ที่สวยงามตระการตาที่สุด
นก ในตำนาน
เรื่อง : สาโรจน์ มีวงษ์สม
โดย โพสต์ ทูเดย์ — แมกกาซีน