Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ธาร ยุทธชัยบดินทร์ นักเขียนอีกคนในอีกมุม

 

 
ผลงานที่ผ่านมาคือ / รางวัลที่ได้รับ?
 
     เริ่มหัดเขียนหนังสือตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยมต้น โดยมีผลงานเป็นบทกวีได้ตีพิมพ์ในนิตยสารชื่อดังในอดีตอย่างสตรีสารเมื่อปี 2522 ใช้นามปากกาว่า “ฤสินา” จากนั้นก็มีผลงานทั้งบทกวีและเรื่องสั้นตีพิมพ์ต่อเนื่องมาอีกหลายปีก่อนจะ หยุดเขียนไป ภายหลังได้กลับมาเขียนเรื่องสั้นอีกโดยส่งไปลงที่นิตยสารฟ้าเมืองไทย มีผลงานเรื่องสั้นตีพิมพ์หลายเรื่องในนามปากกา “ฤทธิ์ จิตรา” จากนั้นก็หยุดเขียนไปอีกหลายปี ต่อมาได้หันเหไปเขียนสารคดีวิทยุออกอากาศทางสถานีวิทยุททบ. 103.5 MhZ และไทยสกายเคเบิ้ลทีวี รวมถึงเขียนคอลัมน์ให้กับนิตยสารคลาส แม็กกาซีนด้วย ปี 2542 ได้เข้ารับราชการในตำแหน่งนักประชาสัมพันธ์ 3 แต่กลางปี 2547 ตัดสินใจลาออกมาเพื่อเขียนหนังสืออย่างเดียว คราวนี้เลือกใช้นามปากกาว่า “ลิด้า” อันเป็นชื่อดาวในนิยายวิทยาศาสตร์เรื่องหนึ่ง มีผลงานส่วนใหญ่เป็นเรื่องสั้นตีพิมพ์ในนิตยสารต่าง ๆ จำนวนกว่าสี่สิบเรื่อง ปัจจุบันเปลี่ยนมาใช้นามปากกา “ภพ เบญญาภา” เป็นหลัก ส่วนเรื่องรางวัลทางวรรณกรรมนั้นก็เคยได้รับรางวัลพานแว่นฟ้าประเภทชมเชย จากเรื่องสั้นชื่อ “อาหารมื้อสุดท้าย” เมื่อปี 2549 และรางวัลสุภาว์ เทวกุลฯ จากเรื่องสั้น “เด็กชายหอมแดง” เมื่อปี 2550
 
งานเขียนชิ้นล่าสุดที่ได้รางวัล?
 
     ได้รับรางวัลหนังสือดีเด่น (ชมเชย) ประจำปี 2554 จากหนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มแรกของตัวเอง “พ่อผู้ไม่อยากเดินทางไปรัสเซีย” 11 เรื่องเคยตีพิมพ์มาก่อนในนิตสาร และอีกหนึ่งเรื่องเขียนขึ้นใหม่เพื่อรวมเล่มโดยเฉพาะ เนื้อหาโดยรวมของหนังสือเล่มนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของมนุษย์ ว่าด้วยเรื่องราวของความขัดแย้งและความทุกข์ ทั้งจากโลกภายนอกและโลกภายในด้วยอารมณ์สะเทือนใจ แนวคิดที่ใช้เขียนผลงานเหล่านี้นำมาจากประสบการณ์ชีวิตครับ เมื่อได้รับรางวัลก็ย่อมรู้สึกชุ่มชื่นใจเหมือนกับนักเดินทางบนถนนสายแห้ง แล้งที่ได้ดื่มน้ำเย็นสักแก้วหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดเราก็ต้องเดินทางต่อไป นั่นก็คือเขียนหรือสร้างงานในแบบฉบับของเราต่อไปนั่นเอง จริง ๆ ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รางวัลหรอกครับ มีสนามให้ส่งก็ส่ง ถือเสียว่าเป็นช่องทางให้หนังสือของเราเข้าถึงนักอ่านได้มากขึ้น อย่างน้อยกรรมการหลายท่านก็ต้องอ่านงานของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ฮา)
 
มาเป็นนักเขียนได้อย่างไร?
 
     อย่างที่เคยบอกไปแล้วครับ ผมเริ่มเขียนหนังสือตั้งแต่อายุ 13-14 ปี เขียนเพราะอยากเขียน อยากบอกเล่าถึงความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการให้ทุกคนรับรู้ เมื่ออายุมากขึ้น ผ่านร้อนผ่านหนาวมากขึ้น ความปรารถนาเดิม ๆ ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ผมยังคงต้องการให้โลกรับรู้ถึงความคิดของผมเสมอ ซึ่งเป็นความคิดที่เกี่ยวโยงกับเรื่องของชีวิต อุดมการณ์ ความงาม และความจริง
 
จุดเริ่มต้นของผลงานชิ้นแรก?
 
     ผลงานชิ้นแรกของผมเป็นบทกวี ถ้าจำไม่ผิดชื่อ “แสวงหา” ตีพิมพ์ในสตรีสารปี 2522 ได้ค่าเรื่องมา 60 บาท สัปดาห์ต่อมาก็ตีพิมพ์อีกชิ้นหนึ่ง คราวนั้นเลยได้รับธนาณัติ 120 ซึ่งเทียบไม่ได้กับความรู้สึกที่ผลงานได้ตีพิมพ์เป็นครั้งแรกครับ ถ้าพูดถึงแรงบันดาลใจ ผมก็จำไม่ได้หรอกว่าอะไรคือแรงบันดาลให้เชียนบทกวีชิ้นนั้น บางทีอาจจะเป็นแนวคิดเชิงอุดมคติที่เป็นนิสัยของผมนั่นเอง
 
มีนักเขียนในอุดมคติไหมคะ?
 
     ผมนิยมผลงานของนักเขียนหลายท่าน แต่ที่นิยมยกย่องก็คือนักเขียนรัสเซียอย่างฟิโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี้ นักเขียนอียิปต์อย่างนากิบ มาห์ฟูซ์ นักเขียนญี่ปุ่นอย่างยาสึนาริ คาวาบาตะ และนักเขียนไทยอย่าง ป. อินทรปาลิต ผู้ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นครูทางการเขียนคนแรกของผม แม้ท่านจะไม่เคยสอนผมเป็นการส่วนตัวก็ตาม
 
วางอนาคตของตนเองไว้อย่างไร ทั้งในแวดวงวรรณกรรม และถ้าไม่ได้ทำงานเขียนอยากจะทำอะไร?
 
     กะว่าจะเขียนเรื่องสั้นให้ครบร้อยเรื่อง และนวนิยายราวสิบเรื่องครับ จากนั้นค่อยตาย (ฮา) ตอนนี้มีต้นฉบับนวนิยายสองเรื่องรอการแก้ไขเพื่อตีพิมพ์เผยแพร่เป็นเล่ม แต่หากถึงจุดหนึ่งที่เขียนไม่ได้ เขียนไม่ออก ผมก็อาจจะเดินทางท่องเที่ยวและถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ช่วงนี้ผมกำลังสนุกกับการถ่ายรูปอย่างมาก
 
หวังจะต่อยอดไปให้ถึงเวทีใหญ่ๆ อย่างรางวัลซีไรต์ไหมคะ?
 
     ทางสำนักพิมพ์ศิราภรณ์บุ๊คส์ได้ส่งหนังสือเรื่อง “พ่อผู้ไม่อยากเดินทางไปรัสเซีย” เข้าร่วมประกวดรางวัลซีไรต์ในปีนี้ด้วยครับ ส่วนผลจะเป็นอย่างไรนั้นอยู่เหนือการควบคุมของนักเขียนอย่างผม หน้าที่ของผมก็คือเขียน และผมก็เขียนจนกลายเป็นหนังสือแล้วอย่างน้อยหนึ่งเล่ม นี่แหละคือความชื่นชมยินดีอย่างแท้จริงของคนเขียนหนังสือครับ
 
ในฐานะนักเขียนรุ่นพี่ มีอะไรแนะนำให้น้องๆ หรือผู้ที่สนใจอยากเป็นนักเขียนบ้างคะ?
 
     สำหรับคนรุ่นใหม่ๆ ที่อยากเป็นนักเขียน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด หรือแม้แต่จะไม่มีเหตุผลเลยก็ตาม ผมคิดว่าไม่มีทางลัดไปสู่ความสำเร็จนอกจากการเขียนด้วยใจรักและอดทน หลายครั้งต้องอาศัยลูกบ้า ลูกฮึด เข้าช่วยด้วย ต้องเขียนอย่างชนิดเป็นบ้าเป็นหลัง เขียนทั้งยามตื่นและยามหลับ เขียนแล้วแก้ แก้แล้วเกลาสำนวนภาษาให้สละสลวย อ่านไม่ติดขัด มั่นใจว่าดีแล้วจึงส่งไปให้บรรณาธิการนิตยสารหัวใดหัวหนึ่ง พร้อมกับทำใจว่าอาจลงตะกร้า แต่จะท้อถอยไม่ได้ เพราะอุปสรรคที่จะทำให้ความฝันของเราพังทลายก็คือใจที่ท้อถอยนั่นเอง
 
คุณสมบัติของนักเขียนที่ดีในความรู้สึกของคุณเป็นอย่างไร?
 
     นักเขียนที่ดีในความคิดของผมก็ไม่มีอะไรมาก ขอแค่ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง สิ่งใดที่เราเห็นว่าเป็นความงาม เป็นความจริง นั่นแหละคือสิ่งที่เราต้องเขียนออกไป จะเบี่ยงเบนจากนี้ไม่ได้เลย
 
สุดท้ายให้พี่ธารฝากผลงานหน่อยค่ะ?
 
     ครับก็มีหนังสือเรื่อง "พ่อผู้ไม่อยากเดินทางไปรัสเซีย” ตอนนี้วางจำหน่ายที่ศูนย์หนังสือจุฬา และบูรพาสาส์น หรือที่เว็บขายหนังสือของ ศิราภรณ์บุ๊คส์ (http://www.weloveshopping.com/shop/shop.php?shopid=235458 ) เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้น 12 เรื่อง เป็นงานที่จะอ่านให้ง่ายก็ได้ จะอ่านให้ยากก็ได้ แต่อ่านให้ง่ายดูท่าจะสนุกกว่า และปลายปีนี้ผมจะมีผลงานออกมาอีกหนึ่งเล่มเป็นนวนิยายร่วมสมัยเรื่อง “โซนาต้าคลับ" จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ศิราภรณ์เหมือนเดิมครับ ยังไงก็ฝากติดตามผลงานของผมด้วยนะครับ
 
 
 
ขอบคุณเนื้อหาจาก :  http://www.ryt9.com/s/iqry/1120831