ทางแยกของวรรณกรรมไทย

ครั้งหนึ่งเด็กหนุ่มคนหนึ่งบอกผมว่า "ผมกำลังเก็บเงินเพื่อซื้อหนังสือของพี่เล่มนี้…" ผมรู้สึกดีใจที่เขาชอบงานของผม ระคนเศร้าใจที่พบว่า ราคาหนังสือเป็นตัวแปรหนึ่งในการกำหนดชะตากรรมทางปัญญาของคนหลายคน
ผมนึกถึงสมัยเด็กเมื่อผมต้องแอบอ่านหนังสือในร้านเพราะไม่มีเงินซื้อหนังสือ
ผ่านมาหลายปี เมื่อผมสวมหมวกของคนทำหนังสือ พบเห็นปัญหาต่าง ๆ ของการผลิตหนังสือในบ้านเรามากขึ้น ผมก็เห็นว่าปัญหาหนังสือของบ้านเราแก้ยากกว่าที่คิด
แต่ไม่ใช่แก้ไม่ได้
เมื่อหลายปีก่อนครั้งผมเริ่มเขียนหนังสือใหม่ ๆ ผมไม่เคยรู้ว่าหนังสือวรรณกรรมแต่ละปกในเมืองไทยมียอดขายที่ต่ำมาก เทียบสัดส่วนประมาณสองพันเล่มต่อประชากรทั่วประเทศหกสิบล้านคน คิดแบง่าย ๆ คือหนังสือหนึ่งเล่มต่อสามหมื่นคน มองในสเกลย่อยลงมาในระดับเมือง เช่น กรุงเทพฯ ก็จะได้ตัวเลขไว้ดูเล่นคือ ชาวเมืองหลวงหกล้านคนซื้อหนังสือวรรณกรรมเพียงสองร้อยเล่มเท่านั้น เหลือเชื่อจริง ๆ
หากคิดว่าตัวเลขข้างต้นต่ำ ลองดูหนังสือบทกวีบ้าง หนังสือรวมบทกวีส่วนใหญ่มียอดพิมพ์ทีราวห้าร้อยถึงสองพันเล่ม แต่ยอดจำหน่ายจริงอาจต่ำกว่านั้นมากตัวเลขสองสามร้อยเล่ม (ที่ขายกันหลายปี) เป็นเรื่องที่ไม่แปลกหูสำหรับคนในวงการนี้ เทียบบัญญัติไตรยางศ์ง่าย ๆ ว่า ชาวกรุงเทพฯ หกล้านคนซื้อหนังสือบทกวีเพียงสามสิบเล่มเท่านั้น หากท่านมหากวีสุนทรภู่ได้ยิน คงเป็นลมตายแน่
ดังฉะนี้จึงไม่น่าประหลาดใจที่ตลาดหนังสือไทยจะเป็นไปในทิศทางที่พิมพ์หนังสือประเภท 'เบสต์เซลเลอร์' เท่านั้น สำนักพิมพ์ส่วนใหญ่เลือกตีพิมพ์หนังสือที่ได้รับการกล่าวขวัญมากในต่างประเทศมาก่อน จึงไม่แปลก ที่ทิศทางของตลาดจะไปทางหนังสือแปลจากต่างประเทศ
เรื่องนี้ยากจะโทษสำนักพิมพ์ฝ่ายเดียว ไม่มีใครอยากพิมพ์งานเพื่อใช้พับถุงขายกล้วยปิ้งหรือสร้างหนี้ในบัญชีธนาคาร
แม้ว่าจะมีกรณียกเว้น ตรารางวัลบางตรา เช่น ซีไรต์ ก็อาจทำให้ยอดขายหนังสือวรรณกรรมและบทกวีที่เดิมขายยากกระโดดขึ้นถึงเลขหลักแสนได้เช่นกัน เพราะข่าวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับรางวัลนั้น ๆ ทำหน้าที่เป็นพีอาร์ที่เผยแพร่ในวงกว้าง และเป็นข่าวประชาสัมพันธ์ที่ได้มาโดยไม่ต้องลงทุน แต่กรณีแบบนี้เกิดขึ้นเพียงปีละครั้ง ที่น่าสังเกตคือไม่ทุกเล่มที่ได้รับรางวัลจะมียอดขายดังกล่าว
แต่ไม่มีประโยชน์ที่จะตีโพยตีพายหรือน้อยเนื้อต่ำใจ ผมเชื่อเสมอมาว่า ทุกปัญหานั้นแก้ได้ และต้องแก้ด้วยตนเองเสมอ
ความพยายามในการก่อตั้งองค์กรเกี่ยวกับหนังสือ (ไม่ว่าจะเรียกว่า สถาบันพัฒนาความรู้แห่งชาติ หรือสถาบันหนังสือแห่งชาติ ฯลฯ) เป็นความคิดอ่านที่น่าชื่นชมยิ่ง แต่ระหว่างการก่อร่างขององค์กรดังกล่าว เราในฐานะคนทำหนังสือก็คงต้องปัญหาของตนเองไปก่อน
ผมมองปัญหานี้ออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือปัญหาที่ระบบการศึกษาของประเทศ ส่วนที่สองคือการพัฒนาในส่วนปัจเจก
การแก้ระบบการศึกษาของบ้านเรา (ที่ไม่สามารถสร้างคนให้เหมาะสมกับสังคม) เป็นภาระหลักของรัฐ การวางนโยบายเกี่ยวกับการอ่าน คิด เขียน การสร้างห้องสมุดตลอดจนการกระตุ้นให้ประชาชนอยากเสพสื่อความรู้อย่างหลากหลาย (และไม่จำเป็นว่าต้องเป็นหนังสืออย่างเดียว) เป็นนโยบายและแผนปฏิบัติในระยะยาว
ส่วนการสร้างหนังสือดี มีคุณค่า และไม่น่าเบื่อเป็นหน้าที่ของนักเขียนและคนทำหนังสือโดยตรง
ทั้งสองส่วนนี้ต้องทำไปพร้อมกัน รอกันและกันไม่ได้เราต้องสร้างนักเสพและนักเขียนที่มีคุณภาพไปในราคาเดียวกัน
แต่สิ่งแรกที่เราต้องมีคือวิสัยทัศน์ในการเห็นประโยชน์ในระยะยาวของการเสพความรู้แบบหลากหลาย
เมื่อเราแต่ละคนแต่ละหน่วยงานทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ผมเชื่อว่าเราจะสามารถยกระดับงานวรรณกรรมในภาพรวมได้
การกระตุ้นให้มีการแข่งขันและรางวัล ก็เป็นทางหนึ่งทีช่วยทำให้คุณภาพของงานในภาพรวมดีขึ้น
การมาเยือนของหนังสือแปลจากภาษาต่างประเทศก็เช่นกัน
คนทำหนังสือหลายคนเห็นการทะลักเข้ามาของหนังสือแปลต่างชาติว่ามันเป็นคู่แข่งทางธุรกิจ
ผมกลับมองปรากฏการณ์ตลาดที่เกลื่อนด้วยหนังสือแปลจากต่างประเทศว่าเป็นสิ่งที่ดี ความจริงมันเป็นกฎแห่งอุปสงค์-อุปทานธรรมดา มันกำลังบอกเราทางอ้อมว่านักเขียนไทยต้องพัฒนาคุณภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ นั่นคือเราควรเลิกคิดว่าจะทำงานให้คนไทยอ่าน
เราทำงานให้คนทั้งโลกอ่าน
ไม่ดีหรือครับที่เรามีโอกาสแข่งกับคนทั้งโลก?
การมองว่า โทรทัศน์ วิทยุ ภาพยนตร์ อินเทอร์เน็ต เป็นคู่แข็งของหนังสือ การกีดกันหนังสือแปลจากต่างประเทศตลอดจนการตั้งกำแพงภาษีกระดาษที่ถูกกว่า จากต่างประเทศเป็นการแก้ปัญหาให้คนกลุ่มน้อยเท่านั้น ประชาชนโดยรวมไม่ได้รับประโยชน์
จำได้ไหมว่า สมัยหนึ่งรัฐบาลไทยกีดกั้นหนังต่างประเทศเพื่อพยุงอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย เป็นตัวอย่างพิสูจน์ว่า แนวคิดแบบนี้คับแคบตื้นเขินเกินไปและล้าสมัยเสียแล้วในโลกแคบ ๆ ใบนี้
หากเราอยู่รอดในโลกวรรณกรรมของเราต่อไป เรามิอาจหนีพ้นการมองตลาดในภาพรวมของทั้งโลก
บางท่านอาจบอกว่าวรรณกรรมไม่ใช่งานพาณิชย์และการแข่งขันทำให้งานขาดพลังแห่งการสร้างสรรค์
ผมว่าเป็นคนละเรื่องกันครับ งานศิลปะชั้นยอดเกือบร้อยละร้อยเป็นงานพาณิชย์ศิลป์ เสพโดยคนหมู่มาก ตั้งแต่งานของ ไมเคิล แองเจโล ไปจนถึง โมสาร์ท
งานเขียนเป็นงานพาณิชย์ศิลป์ และอะไรก็ตามที่เป็นพาณิชย์ก็หนีไม่พ้นการแข่งขันกัน
มองในแง่ดีคือ เราจะได้คุณภาพของงานในภาพรวมสูงขึ้น และผู้คนมีโอกาสเลือกเสพ 'สินค้า' มากขึ้น
หลายคนโทษระบบที่ไม่สร้างนักอ่าน หลายองค์กรโทษนโยบายของรัฐ หลายคนบ่นว่านักอ่านอ่านแต่เรื่องเหลงไหล อ่านหนังสือตามปรุสงค์
ไม่ค่อยมีใครโทษตนเอง และจะถือโอกาสนี้วิเคราะห์สถานการณ์ตามจริง
เราสามารถยกระดับงานวรรณกรรมบ้านเราได้เราสามารถลดคาราของหนังสือได้
การแก้บางปัญหามิใช่หน้าที่ของเราโดยตรง แต่เราสามารถแก้หลายเรื่องไปก่อนได้ เช่นการทำให้ราคาหนังสือลดลงมา
ถ้าข้าวแกงราคาจานละ 15 บาทยังมีขายตามร้านบางแห่ง ทำไมเราจะช่วยกันทำให้ราคาหนังสือลงมาไม่ได้
พูดก็พูดเถอะ การที่ราคาของหนังสือสูงส่วนหนึ่งมาจากการที่คนทำหนังสือจำนวนหนึ่งขาดแคลนจิตสำนึกในการทำหนังสือ
เมื่อทำหนังสือออกมาเพื่อหวังตัวเลขกำไรอย่างเดียว งานนั้นก็เป็นศิลปะที่ไม่ใช่ศิลปะอีกต่อไป
การผลิตงานออกมาให้หวือหวา ฉาบฉวย เน้นความสวยงามของเปลือกมากกว่าเนื้อหา เล่นสีสันในส่วนที่ไม่จำเป็นจนทำให้เป็นกระแสแฟชั่น ฯลฯ เหล่านี้คือการขายจิตสำนึก
ในฐานะคนที่ต้องลงมือทำหนังสือด้วยตนเองผมเชื่อว่าหนังสือจำนวนมากสามารถลดทอนความรุงรังในการผลิตได้ เช่น การใช้ตัวหนังสือ ช่องไฟ มาร์จิ้นหน้าช่องว่างระหว่างบรรทัดที่ไม่ใหญ่เกินไป อันทำให้หนังสือหนาเกินความจริง และราคาสูงเกินจำเป็น นอกจากเป็นการใช้กระดาษอย่างสุรุ่ยสุร่ายแล้ว ยังถือว่าเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคด้วย
หนังสือบางเล่มสามารถทำให้ลดความหนาลงได้ครึ่งหนึ่ง หากใช้หน้ากระดาษให้คุ้มกว่านี้ บางเล่มสามารถพิมพ์เพียง 1-2 สีได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ระบบออฟเซ็ตสี่สี
ผมเชื่อว่าศิลปะการทำหนังสือที่ดีก็เหมือนการเขียนเรื่องสั้นที่ดี ควรกระชับที่สุด รัดกุมที่สุด ประหยัดที่สุด
มองโลกในแง่ดี ผมยังเชื่อว่าพวกเราส่วนใหญ่ทำหนังสือเพราะรักหนังสือ
เงินกำไรที่ลดลงไม่กี่บาทอาจช่วยสร้างนักคิดและปัญญาชนใหม่ ๆ อีกสักหลาย ๆ คนให้บ้านเมืองเราที่กำลังแร้นแค้นปัญญาเต็มที
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.thaiwriter.org