“ทรายถือวุฒิ ม.2 เข้าทำงาน”

"ทรายถือวุฒิ ม.2 เข้าทำงาน"
เราเห็นภาพหญิงสาวคนนี้โลดแล่นในวงการบันเทิงมานาน ในฐานะนักแสดงเจ้าบทบาท ทั้งจอแก้วและจอเงิน พิธีกรรายการโทรทัศน์ และนักร้อง แทบไม่น่าเชื่อว่าหญิงสาวอายุเพียง 23 ปี คนนี้ จะทำงานในวงการมายามานานนับสิบปี ความสามารถและพรสวรรค์ของเธอผ่านการพิสูจน์ด้วยระยะเวลามาแล้ว ว่าเป็น "ของแท้" และวันนี้ เธอยังถ่ายทอดมุมมองความคิดของเธอ ออกมาในงานเขียน ทุกๆความเคลื่อนไหวของทรายทำให้เรารู้สึกทึ่ง ชีวิตของเธอเป็นภาพฝันของใครหลายๆคน แต่ "ทราย" ที่เรารู้จักในวันนี้ คือเด็กสาวคนหนึ่งที่ทำงานหนักยิ่งกว่าผู้ใหญ่บางคน และจริงจังกับหน้าที่ในอาชีพของเธอตลอดเวลา ไม่ต่างกับเข็มวินาทีบนหน้าปัดหน้านาฬิกา
เข้าสู่อาชีพได้อย่างไร
สำหรับทรายนะ เข้ามาก็ได้เล่นละครเลย แต่ส่วนมากเค้าจะเข้ามาด้วยวิธีกันเยอะเช่นประกวด มีโมเดลลิ่ง แต่ทรายจะไม่มีอะไรเลย ก็คือพี่งัด (สุพล วิเชียรฉาย) เค้าเห็นรูปทราย ตอนนั้นเค้าหาเด็กใหม่มาเล่นเรื่องล่า อายุแบบ 14 ช่วงเมื่อ 10 ปีที่แล้วดาราเด็กยังไม่ฮิต คือเค้าจะแบบ 18-19 กัน พอเค้าเห็นรูปเค้าก็เรียกไปแคสท์ แล้วมันก็ได้ ตอนที่ไปเล่นก็ไม่ได้คิดว่าจะไปเล่นละครจริงๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่างานมันเป็นอย่างไร เห็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว พ่อก็ทำไม่เห็นสนุกเลย ทุกคนกลับบ้านมาแบบเหนื่อยๆ หลับๆ ง่วงๆ ถึงเวลาต้องลุกขึ้นมาถ่าย มันก็เลยไม่อยากทำ แต่พอทำมันแล้วมันก็ทำต่อไปเรื่อยๆ คล้ายๆ มันออกไปไม่ได้
ฟังดูเหมือนไม่มีความสุข
มันไม่ใช่ไม่มีความสุข แต่คำว่าออกไปไม่ได้ หมายถึงมันไม่ใช่งานแบบที่ถึงเวลา 5 โมงได้เลิกงาน มันไม่ใช่อย่างงั้น มันไม่สามารถแบบว่าถึงเวลาปุ๊บเสร็จจบกลับบ้านได้ ตราบใดที่ละครยังออนแอร์ อยู่คนก็ยังจำเราได้ คนเค้าดูเราตลอดเวลา คล้ายเป็นออปชั่นของการทำงานอีกทีหนึ่ง
และคนเค้าไม่ได้มาเห็นตอนเราทำงานจริงๆ แต่เค้าเห็นตอนงานมันเสร็จออกไปแล้ว
แล้วความสุขมันอยู่ตอนไหน
เวลามีคนบอกว่าเล่นดีนะ สำหรับทรายจะไม่พยายามเล่นเป็นตัวเอง เพราะว่าเวลาเราไปเดินที่ไหน คนเค้าก็จะเรียกชื่อเราในละคร ทรายมีความรู้สึกว่าชีวิตส่วนตัวเราก็ถูกเปิดเผยออกไปมากแล้ว มากจนจะกลายเป็นภาระของเราอยู่แล้ว ถ้าเล่นอะไรที่เหมือนตัวเอง มันก็จะไม่เหลืออะไรที่เป็นส่วนตัวเลย พอได้เล่นเป็นคนอื่นแล้วคนก็เชื่อว่าเราเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ถือว่าประสบความสำเร็จนะ
คือทำตามบทได้
ค่ะ เหมือนพวกเล่นเป็นนางร้ายคนอยากดักตบอะไรอย่างนั้น
สิ่งอื่นที่ต้องทำประกอบในการทำงาน มีอะไรบ้าง
ต้องดูแลตัวเอง ต้องดูแลหน้าตา ต้องดูแลเรื่องการแต่งตัว ต้องดูแลเรื่องของภาพพจน์ คือเหมือนจะไม่ต้องดูแลแต่มันเป็นอัตโนมัติ เหมือนแบบว่าเราจะเป็นผู้ใหญ่ ทำแบบนี้ไม่ได้นะเดี๋ยวเด็กเห็น คือมันไม่ได้ซีเรียสขนาดเป็นผู้นำประเทศ เพียงแต่ว่าไม่ให้น่าเกลียดจนเกินไปนัก อีกอย่างเราก็ต้องยอมรับว่างานเรามันต้องขายหน้าตาด้วย ก็ต้องดูแลหน้าตา ต้องรับอะไรที่มันจะเข้ามาได้เสมอ คืองานมันค่อนข้างจะวูบวาบ อยู่ๆ ก็ดังตู้มขึ้นมา วันเดียว พอดีมีข่าวอะไรบ้าๆ ขึ้นมาแล้วก็ตกฟุบลงไปก็ได้ หรืออาจจะดังนานๆ หรืออาจจะไม่เคยดังในชีวิตการแสดงเลยก็ได้ มันไม่มีใครรู้ไงคะ ซึ่งจะรู้ก็คือต้องทำ แต่บางคนก็ไม่อยากจะทำแล้ว เพราะเขาไม่รู้จริงๆว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น มันเป็นงานที่ไม่รู้เลย อย่างบางคนทำงาน เอาอย่างเขียนหนังสือ…เรารู้ว่าเล่มนี้โอเคนะ เรารู้สึกตัวเอง แต่ถ้าเป็นการแสดง เรื่องนี้เรารู้สึกเล่นดีนะ แต่ออกไปแล้วเราไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง เราก็ไม่รู้อยู่ดี อย่างเช่นเล่นหนังเล่นเสร็จปุ๊บก็จบ หนังออกไปแล้วรายได้ไม่ดีเค้าก็โทษเรานะ เค้าก็จะบอกดาราห่วย เค้าไม่ได้มาโทษตัดต่อไม่ดี แคสติ้งไม่ดี เค้าจะไม่โทษอะไรอย่างนั้นคะ อันนี้มันเป็นข้อมูลพื้นฐานที่ต้องรู้ว่าต้องโดนแน่ๆ
แล้วในสัปดาห์หนึ่งของชีวิตคนเป็นนางเอกขนาดนี้ ต้องทำอะไรบ้าง
ไล่ตั้งแต่วันเสาร์ ต้องทำรายการสดก่อน ทรายต้องไปเตรียมตัวที่เซ็นทรัลพระราม 2 ตั้งแต่ประมาณไม่เกิน 10 โมง รายการออกอากาศตั้งแต่ตอนเที่ยงถึงบ่ายโมง เสร็จแล้วก็ถ้ามีละครก็จะไปถ่ายละครต่อ แล้วหลังจากนั้นก็จะถ่ายละครทุกวันยกเว้นวันนี้วันจันทร์ 10 โมง ถึงเที่ยงที่อยู่ที่นี่ (ช่อง7) ทรายจะไม่จำเลยว่าทรายต้องไปทำอะไรบ้าง ต้องมีคนทำให้ เพราะว่าบางทีเราไม่สามารถที่จะชนงานด้วยตัวเองได้ มันเจอคนเยอะเกินไปแล้วมันจะงง หรือว่าต้องขับรถด้วยมันไม่ไหว คือถ่ายละครไม่ใช่ว่าแบบว่าถ่าย 8 โมง เลิก 4 ทุ่ม ถ้าอย่างนั้นมันก็โอเค แต่นี่คือ…รถตู้มารับที่บ้านตอนตี 4 ถ่ายถึงตี 1 แล้วนั่งรถกลับมาจากปากช่อง วันหนึ่งถ่ายประมาณ 50 กว่าซีน มันไม่ไหว
แล้ววันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์
ถ่ายละครหมดเลย และวันนี้วันจันทร์ถ่ายรายการเพลงทะลุจอกับช่อง 7
คือทรายเซ็นสัญญากับช่อง7 ค่ะ แต่ว่ารายการพวกนี้ทรายได้ทำก่อน ตอนนี้ทรายเล่นละครได้เฉพาะช่อง 7 เท่านั้น
การเซ็นสัญญาหมายถึงกำจัดสิทธิขาดในหลายๆ ประการที่ต้องทำกับช่องอื่น
สำหรับทรายอย่างเดียว เพราะว่าทรายไม่ได้เป็นเด็กที่ช่อง 7 เค้าปั้นขึ้นมา เราทำของเรามาแล้ว รายการที่ไหนทรายก็ออกได้ ช่องไหนทรายก็ออกได้ พิธีกรช่องไหนทรายก็ทำได้ เพียงแต่ว่าละครทรายต้องเล่นช่องเจ็ดช่องเดียว เท่านั้นเอง ซึ่งตรงนี้ทรายก็โอเคธรรมดาปกติ
สิ่งที่ได้รับจากการเซ็นสัญญาคืออะไร
ก็เล่นละครเล่นกับช่องเจ็ดตลอด
แล้วต้องเสียสิทธิบางอย่างไปด้วยหรือเปล่า
สำหรับทรายนะคะ ถ้าแต่ก่อนทรายไม่ได้เซ็น มันจะมีบางเรื่องที่มันน่าเล่นของช่อง 7 แต่ทรายก็จะไม่ได้เล่นเพราะว่าเค้าต้องเผื่อไว้ให้เด็กเค้า มันไม่ได้เป็นเรื่องของตัวเงินที่ชัดเจน มันเป็นสิทธิ
การเป็นดาราเราก็ต้องมีหน้าที่ไปโชว์ตัวไปทำอะไรหลายๆ อย่าง มันหมายถึงอะไรบ้าง
การโชว์ตัว มันเป็นงาน เป็นงานรายได้ด้วย แต่มันไม่ใช่งานอย่างเดียวหรือเงินอย่างเดียว มันก็เป็นทั้งสองอย่าง แต่คนที่ดูจะรู้สึกว่าการที่ดาราไปโชว์ตัว เป็นงานง่ายมากๆ ร้องเพลง 2 เพลง รับตังค์กลับบ้าน แต่ความจริงคือ…กว่าที่เค้าจะจ้างคุณ เพื่อไปร้องเพลง 2 เพลงมันนานมาก มันยากมากๆ
สมมุติดาราคนหนึ่งจะได้ไปเล่นเกมโชว์ เค้าจะต้องเป็นดาราที่…ขนาดไหน
อย่างน้อยก็ต้องเป็นตัวนำของละครที่กำลังออนแอร์ในขณะนั้น และก็ต้องมีกระแสพอสมควร แล้วก็ต้องมีลักษณะงานของเกมโชว์ด้วยว่าต้องการคนแบบไหน เป็นทอล์ค รึเปล่า หรือว่าเป็นแอคชั่น มันจุกจิกมันย่อยมากๆ อันนี้ก็ต้องแล้วแต่เจ้าของรายการเค้าจะเลือกมาด้วย
เอาง่ายๆนะคะ ยกตัวอย่างชื่อ…ติ๊ก เจษ คือคนจะรู้จักเลย โดยไม่ต้องนึกว่าเป็นใครเหรอ คือจะรู้ว่าคนนี้แล้วสามารถที่จะดูแล้วไม่ต้องเปลี่ยนช่องก็ได้ ก็ดูๆ กันไปโดยที่ไม่ต้องรู้ว่าเขามาทำอะไร ก็ดูไปได้เรื่อยๆ เพราะเขาคือติ๊ก เจษที่เรารู้จักแล้ว เค้าเอาตรงนี้ของเรา เค้าอยากได้ตรงนี้ จุดที่คนจะหยุดดู คือเราก็ต้องไปสั่งสมมา คือทำอย่างไรมาก็ได้
แล้วสำหรับงานพิธีกร…
พิธีกร…ทรายก็แฮปปี้ กับการทำพิธีกรนะคะ เพราะมันสนุก ส่วนมากทรายก็ทำรายการเพลง ด้วยวุฒิภาวะของเรา ถ้าให้ไปสัมภาษณ์ผู้ใหญ่ก็ลำบาก
การเข้าสู่อาชีพพิธีกร เหมือนที่เราไปสมัครงานได้ เหมือนกับงานอื่นไหม
ต้องไปแคสท์ค่ะ อย่างเล่นหนัง…เค้าส่งบทมา ถ้าอยากเล่นเราก็ต้องไปแคสท์ ซึ่งอาจจะได้หรือไม่ได้ มีเบื้องหลังตั้งเยอะที่คนไม่รู้ เพราะว่างานพวกนี้พอมันเสร็จปุ๊บคนจะได้เห็นเลย อะไรที่มันไม่ดี เค้าจะไม่ได้เห็นอยู่แล้ว เค้าก็นึกว่ามันมีแต่เรื่องดีๆ
สมมุติเค้าเลือกทรายแล้ว แต่ว่าดาราอีกคนเค้าอยากจะได้ เค้าก็มาขอแคสท์แข่งกับทราย มันเป็นเหตุการณ์ปกติที่จะเกิดขึ้นได้เปล่า
ก็อาจจะมี แต่มันเป็นมารยาทที่จะไม่บอกกัน หรือว่าเค้าก็จะไม่บอกว่ามีใครมาแคสท์มาแล้วบ้าง เป็นจรรยาบรรณ(หัวเราะ) เพราะว่าอย่างที่รู้ คนที่ได้ไม่ใช่ว่าเก่งกว่า แต่มันเหมาะกว่าเท่านั้นเอง สมมุติว่ามีบทต้องเล่นเป็นลูกคนจีน ทรายเล่นดีมากเลย แต่หน้าอย่างเนี่ยหน้ามันไม่จีนเลย แต่กับอีกคนหนึ่งเล่นก็อย่างงั้นๆ แต่หน้าจีนมากๆ มันก็แน่นอนว่าเค้าเหมาะกว่า มันเป็นมารยาท ที่เจ้าของหนังเค้าจะไม่บอกว่าคนนี้มาแคสท์ พอเราได้ยินปุ๊บเราจะมาทำไม กลับบ้านดีกว่า คือเราก็ต้องเป็นช้อยส์ไปด้วย ในขณะที่เราเป็นตัวเลือกของงาน งานก็เป็นตัวเลือกของเรา
สิ่งที่ได้กับสิ่งที่เสียในการทำงาน
เวลาได้มันก็เหมือนกับคนที่ทำงานมันก็จะมีรายได้ มีที่ให้ยืนในสังคม สถานภาพต่างๆ เหมือนกับคนที่ทำงานแล้วสำหรับทรายนะทรายเป็นแค่นี้
สิทธิพิเศษ…
ไม่ค่อยได้ใช้ แต่มีคนเค้าให้มาเอง แต่ไม่ได้ถึงขนาดยิ่งใหญ่ เราไม่ได้เอาตรงนั้นมาใช้ด้วยแหละ อาจมีบ้าง…เวลาไปสั่งอาหารอาจจะได้ก๋วยเตี๋ยวเร็วหน่อย (หัวเราะ) ทรายชินกับเรื่องอย่างนี้แล้ว ที่บ้านพ่อก็ทำมา บ้านมีแต่อาชีพนี้กันมาตลอด เราก็รู้สึกว่ามันเป็นอาชีพหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดว่ามันสิทธิพิเศษอะไร สิ่งที่ต้องเสียก็เอาทั้งหมดที่บ้านดีกว่า ก็แลกกันกับอะไรที่มีอยู่ เช่น เวลา ความเป็นส่วนตัว อย่างไรหลายๆ อย่าง แค่นี้ก็คงเยอะแล้วมั้ง
คือ…การเสียความเป็นส่วนตัว มันก็หมายถึงทุกอย่าง ความเป็นตัวเรา แต่ถ้าถามว่ามันถึงขนาดเสียไปเลยไหม มันก็ต้องแบ่งให้คนอื่นรู้ด้วย แค่นี้ความเป็นส่วนตัวมันก็จะไม่ส่วนตัวเท่าไหร่ เช่น สมมุติว่าคนเราสามารถมีเรื่องส่วนตัวได้ 10 เรื่อง เราก็อาจจะลดลง 5 เรื่องเท่านั้น อีก 5 เรื่องเราก็ต้องแบ่งให้คนอื่นเค้ารู้ด้วย
การศึกษาที่เรียนมาทั้งหมดมันมาเกี่ยวข้องอะไรกับอาชีพนี้แค่ไหน
ทรายทำงานก่อนเรียน การเรียนมันก็ช่วยให้สามารถบอกได้ด้วยภาษาทฤษฎี ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ ไอ้ที่ทำๆ อยู่เนี่ยทางหลักการเค้าเรียกว่าอะไร
เด็กที่สนใจจะไปเรียนการแสดง ทรายคิดว่าความรู้แค่ไหนที่จะเข้าไปสู่อาชีพนี้ได้ หรือแล้วแต่คน
แล้วแต่คนคะ หรือไม่ต้องเรียนเลยก็ได้ คนที่ไม่เคยเรียนเรื่องการแสดงเลยก็มี
เอาแค่อ่านหนังสือได้ เพราะจะได้ท่องบทได้ อ่านออกเขียนได้ก็ดี จะได้เซ็นชื่อรับตังค์ บวกเลขไม่เป็นไม่เป็นไร เรามีผู้จัดการ (หัวเราะ) ท่องบทให้ได้ แล้วก็ทำให้ได้ ทำตัวให้เป็นคนปกติได้ แม้บทที่ไม่ปกติก็ตาม ทรายจะเป็นคนเรื่อยๆ สังเกตว่านักแสดงถ้าไม่มีบุคลิกแบบพีคไปเลย ก็จะเป็นคนเรื่อยๆ ไปเลย มันจะเป็นอย่างไรอย่างหนึ่ง ถ้าเรื่อยๆ ไปเลยมันจะเล่นอะไรก็ได้ ส่งอะไรมา…โอเคก็เล่น
แล้วการเข้ามาสู่อาชีพสมัยนี้การศึกษาในระบบมันจำเป็นแค่ไหน
มันก็จำเป็น มันอยู่ที่ว่าคนเค้ามากับใคร และก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเข้ามาทำอะไรด้วยค่ะ คือเราจะเข้ามาอยู่ตรงไหนของมัน ถ้าเข้ามาเสิร์ฟน้ำไม่มีใครแย่งแน่ๆ ถ้ามาด้วยการเป็นนางสาวไทย เราเลือกแล้วว่าเราจะเข้ามาด้วยการเป็นนางสาวไทยก่อน ก็ต้องเรียนปริญญาตรีอย่างน้อย ปริญญาโทก็จะได้คู่แข่งที่น้อยลงมาอีกหน่อย แต่ก็ต้องสวยด้วย แต่ถ้าจะประกวดร้องเพลง ก็ต้องเรียนร้องเพลงมาก่อน ถ้าจะเข้ามาทางโมเดลลิ่ง ก็ต้องมีหน้าตาเป็นอาวุธ มีบุคลิกที่โดดเด่น มันแล้วแต่ช่องทางด้วยว่าคุณจะเข้ามาทางไหน ตอนที่ทรายเข้ามา ทรายยัง ม.2 อยู่เลยนะก็ถือว่าทรายถือวุฒิ ม.2 เข้าทำงาน พอเอาเข้าจริงๆ แล้วประสบการณ์มันมีผลมากกว่า สำหรับงานแบบนี้
แต่คนที่เข้ามาแล้ว ก่อนเข้ามาคุณอยู่ ป.4 เข้ามาแล้วคุณจะเรียนให้จบ ป.6 หรือว่าอะไรสักอย่างมันต้องพัฒนาตัวเองด้วย มันเป็นเรื่องของความรู้สึกของคนที่เค้าดูเราอยู่ด้วย อันนี้คืออย่างหนึ่งที่ทรายบอกว่ามันเป็นเรื่องภาพพจน์
เรื่องการพัฒนาตัวเองของการเป็นดารามันคืออะไร
ก็คือต้องเล่นให้ดีขึ้น โดยที่ไม่หลอกตัวเองว่าเราเล่นดีขึ้นแล้ว
ต้องดู ต้องฝึก ต้องหาให้ได้ คุยกับคนเขียนบท คุณต้องพยายาม คุณต้องมีความพยายาม ไม่ใช่ว่าคุณนอนอยู่เฉยๆ หรือว่าคิด อ่านว่ามันต้องเป็นอย่างงี้ๆ แล้วถามผู้กำกับ หรือคุยคนที่เล่นด้วย หรืออะไรก็ได้คือคุณต้องหา input ใส่ตัว เราไม่สามารถอยู่ๆ วันหนึ่งต้องเล่นเป็นหมอ แต่ก็ไม่ทำอะไรเลยอยู่เฉยๆ ต้องดู ER คุยกับหมอ หรืออ่านหนังสือ หรืออะไรก็ได้ที่จะทำให้คุณคุ้นเคยกับความเป็นตรงนั้นมากขึ้น งานตรงนี้มันขึ้นอยู่กับความเชื่ออย่างเดียวเลย คนเค้าไม่ได้รู้ว่าเราเป็นใครมาจากไหน แต่ถ้าเราทำให้เค้าเชื่อได้เค้าก็ดูเท่านั้นเอง คือใครก็ไม่รู้เอาสวิงช้อนใครมาก็ไม่รู้แต่ถ้ามันเล่นดีคนเค้าก็ดู
สิ่งที่ได้จากการเรียน…
มันได้ มันก็ได้รู้ อย่างที่บอกเราจะเข้ามาทำอะไรตรงไหนมากกว่า สมมุติเล่นละครเราก็ไม่ต้องใช้เทคนิคเล่นละครเวทีก็ได้ คือรู้ก็ไม่ได้ใช้
ในแง่ของการปฏิบัติตัวในชีวิตส่วนตัวมันต้องทำอะไรบ้าง
ทำปกติค่ะ คิดซะว่าทำตัวปกติ
เค้าบอกว่าดารามีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การเป็นอะไรซักอย่างหนึ่งมาก ทำไมทรายถึงอยู่ในตำแหน่งเดิมได้มาตลอด
เพราะว่าทรายทำให้มันปกติ
เพราะว่ามีคุณแม่ช่วยดูแล คือเรามีครอบครัวแข็งแรงหรือเปล่า
ด้วย เป็นไปได้ อย่างที่บอกรู้สึกแค่มาทำงานเท่านั้นเอง ทำตัวเฉยๆ ทำเหมือนเดิมที่เคยทำมา อันไหนที่ทำแล้วไม่สบายใจก็ไม่ต้องทำ อันไหนทำแล้วโอเคก็ทำก็แค่นั้นเอง คนก็จะรู้สึกว่าเราปกติ มันยากนะจริงๆ แล้วคนทั่วไปเค้าก็เป็นคนปกติของเค้าอยู่แล้ว ทรายก็ทำตัวเฉยๆ แต่บางทีทำตัวเฉยๆ คนเค้าก็ว่าเราหยิ่งแต่ไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องให้เค้ามารู้จักเราทุกคนหรอก
แล้วอีก 5 ปี 10 ปี จะคิดว่าตัวเองจะไปเป็นอะไรต่อไป
ไม่รู้
แล้วเป้าหมายในชีวิต…
…ทรายไม่มีเป้าหมายในเรื่องงานอยู่แล้ว
อื่นๆก็ไม่มีอะไร อาจจะเรื่องเรียน
ก็ต้องหาเวลา ทำงานเหนื่อยๆ ก็ขี้เกียจทำ เวลาไม่มีงานก็อยากทำงาน
แสดงว่าเราเกิดมาเพื่อทำอาชีพนี้จนกว่าคนจะไม่ต้องการเรา
หรือจนกว่าเราจะไม่ต้องการตัวเอง
แล้วพูดถึงความสุขในงาน…
มีค่ะ มันต้องมีซิคะ งั้นคนเค้าจะอยู่กับงานไม่ได้หรอก เพราะว่ามันเหนื่อยมากๆ ยิ่งกว่ากุลีบางที มีความรู้สึกว่ายิ่งกว่าจับกัง (หัวเราะ)
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจากนิตยสาร : YES