
ความอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ทำให้วรรณกรรมแกะรอยประเภทนักสืบขายดิบขายดี วรรณกรรมนักสืบเป็นงานที่ต้องใช้ตรรกหรือ Logic ในการสร้างเรื่องนั่นคือเรื่องต้องมีที่ไปและที่มา แต่ถ้าจะย้อนกลับไปถึงที่มาของมันจะพบความประหลาดใจ ว่างานแบบนี้กลับเกิดขึ้นครั้งแรกในยุคที่ผู้คนไม่นิยมในความมีเหตุผลกันสักเท่าไหร่ หากแต่กลับเกิดขึ้นในยุคที่ผู้คนบูชาความรู้สึกฉับพลันหรือการหลั่งไหลของความรู้สึก ว่าจะเป็นผลดีต่อการสร้างสรรค์งานมากกว่า ยุคสมัยที่บรรดานักเขียนพากันหลงใหลในการสร้างงานแบบที่มาจากแรงบันดาลใจนี้คือยุคโรแมนติค หรือยุคที่นักเขียนบูชาความเป็นปัจเจก ทั้งต่อความรู้สึกและจินตนาการยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
งานชิ้นแรกที่จัดว่าเป็นวรรณกรรมแห่งตรรก เจาะหาเหตุผลกันได้ เกิดขึ้นในปลายยุคที่อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เอ็ดการ์ อัลลัน โพ (Edgar Allan Poe: 1809-1849) คือแกะดำตัวแรกในฝูงแกะโรแมนติคที่มีความเห็นพิลึกพิลั่กออกไปจากฝูงว่า งานศิลปะนั้นควรจะเป็นสิ่งที่จับต้องมองหาเหตุผลกันได้ มนุษย์หน้าไหนก็ตามถ้ามีความคิดเป็นเหตุเป็นผล จัดได้ว่ามนุษย์คนนั้นเข้าถึงธรรมชาติมากที่สุด นอกจากนี้งานเขียนชิ้นไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นบทกวีหรืองานเล่าเรื่อง ถ้าหากจะให้ดีก็ต้องเป็นงานแบบที่อ่านแล้วเห็นความเคลื่อนไหวของภาษาได้ หรือเห็น action ของมันได้นั่นเอง โพยังแหวกแนวไว้ว่าแม้จินตนาการก็ต้องอยู่ในขอบเขตที่สามารถจับต้องวิเคราะห์ได้ ซ้ำความคิดริ่เริ่มต่างๆ นานาก็สร้างไม่ได้ด้วยแรงบันดาลใจล้วนๆ แต่จะต้องเอาแรงบันดาลใจนั้นมาผูกรวมกันเข้าอย่างมีจุดมุ่งหมายเสียก่อน ถึงจะเรียกว่าเป็นความคิดริเริ่ม
เอ็ดการ์ อัลลัน โพ ว่าเอาไว้อย่างนั้น และเขาก็มักจะได้รับการอ้างถึงว่าเป็นคนเริ่มต้นการผูกเรื่องลึกลับในแนวสืบสวน เรื่องสั้นของโพเรื่องแรกที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของวรรณกรรมนักสืบก็คือ "The Murders in the Rue Moque" (ฆาตกรรมที่รูมอค)
เวลาล่วงมาจนถึงปี ค.ศ.1887 โลกก็มีนักเขียนแนวสืบสวนที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นอีกคน เมื่อเซอร์ อาเธอร์ โคแนน ดอยล์ (Sir Arthur Conan Doyle : 1859-1930) เขียนงานชิ้นแรกเกี่ยวกับนักสืบชื่อดัง เชอร์ล็อค โฮล์มส (Sherlock Holmers) ในเรื่อง A Study in Scarlet เสร็จแล้วก็ดังเป็นพลุ คนติดกันมากถึงขนาดเชอร์ล็อค โฮล์มส ตายแล้ว แต่คนอ่านก็ยังไม่ยอมเลิกลาเรียกร้องให้โคแนน ดอยล์ เอาเชอร์ล็อค โฮล์มสกลับมาอีก จริงๆแล้วความสำเร็จของเชอร์ล็อค โฮล์มสนี้ต้องยกเครดิตให้กับโพไปบ้างบางส่วน เพราะว่าเชอร์ล็อค โฮล์มสเกิดจากแรงบันดาลใจหรือมีต้นแบบมาจากตัวละครในเรื่องสั้น The Purloined Letter ของโพนั่นเอง ใน A Study in Scarlet วัตสัน (Watson) ก็ได้พาดพิงถึงมิสเตอร์ดูแปง (Mr. Dupin) ใน The Purloined Letter ไว้ว่า
"จากที่คุณ (โฮล์มส) อธิบายมามันก็ฟังดูง่ายนิดเดียว" วัตสันพูดยิ้มๆ "คุณทำให้ผมนึกถึงดูแปง ตัวละครของเอ็ดการ์ อัลลัน โพนะ ผมไม่นึกมาก่อนเลยว่าตัวละครที่บุคลิกเด่นอย่างนั้นจะมีตัวจริงอยู่นอกเรื่องด้วย" (A Study in Scarlet น.25)
นอกเหนือไปจากนั้น เชอร์ล็อค โฮล์มส ยังถอดบุคลิกบางส่วนมาจากดร.โจเซฟ เบล (Dr. Joseph Bell) ศัลยแพทย์และนักสืบมือเยี่ยมซึ่งสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก โคแนน ดอยล์รู้จักเขาระหว่าที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยนั่นเอง ท่าทางของเชอร์ล็อค โฮล์มส ที่โคแนน ดอยล์ยืมมาจาก ดร.โจเซฟก็คือสไตล์การสูบไปป์นั่นเอง
จากการเริ่มต้นสร้างจินตนาการในแนวใหม่ หรือจินตนาการที่พิสูจน์ได้ โพก็กลายเป็นคนวางรากฐานรูปแบบการนำเสนอวรรณกรรมนักสืบไว้ให้กับนักเขียนรุ่นต่อมา ถึงแม้แรงบันดาลใจแรกเริ่มของนักเขียนทั้งจากฝั่งอังกฤษและอเมริกาจะมาจากคนๆเดียวกัน แต่ก็ยังมีความแตกต่างแสดงให้เห็นในแง่มุมที่ว่า วรรณกรรมนักสืบจากฝั่งอเมริกจะมีความตื่นเต้นเร้าใจ และตัวเรื่องก็มีความเคลื่อนไหวให้ความรู้สึกได้มากกว่า ผิดกับงานฝั่งอังกฤษที่ตัวงานมักจะมีการวางพล็อตเรื่องกระชับหนักแน่น และมีสไตล์การเดินเรื่องเนินนาบนุ่มนวลมากกว่า
โดยทั่วไปแล้ววรรณกรรมสืบสวนต่างๆมันจะออกมาในรูปของนวนิยายหรือเรื่องสั้นที่พัวพันกับอาชญากรรม และอาชญากรรมส่วนใหญ่ก็มักจะออกมาในรูปของการฆาตกรรม ฆาตกรมือลึกลับมักทำงานได้อย่างแนบเนียน ชนิดที่ว่าตำรวจระดับธรรดาคลำหาร่องรอยไม่พบ และแน่นอนว่าคนที่จะเปิดหน้ากากฆาตกรก็คือนักสืบนั่นเอง วิธีที่นักสืบเขาใช้กันในการสาวคดีไปให้ถึงต้นตอ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Science of Deduction หมายถึงการสาวจากหลักฐานทั่วไปเท่าที่จะได้ในแต่ละคดีที่เกิด เพื่อนำไปสู่คำตอบว่าใครคตือตัวการในคดีนั้นๆ
เจ้าวิธีการ Deduction ที่ว่านี้ ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพกันได้ง่ายขึ้นก็ลองดูกันตอนที่โฮล์มสเจอวัตสันครั้งแรก โฮล์มสบอกได้ทันทีว่าวัตสันเพิ่งกลับมาจากอัฟกานิสถาน โฮล์มสเรียกวิธีการของเขาว่าเป็นความคิดที่เข้าแถวเรียงว่า (the train of thought) และมาอย่างเร็วจนไปถึงข้อสรุปได้อย่างไม่รู้ตัว ในเรื่อง A Study in Scarlet โฮล์มสไต่ไปตามความคิดว่า
1. ผู้ชายคนนี้เป็นหมอ แต่มีกลิ่นของความเป็นทหารอยู่
2. ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นหมอที่รับราชการในกองทัพน่ะสิ
3. ผิวหน้าคล้ำ ซึ่งไม่ใช่สีผิวของเขาจริงๆ เพราะข้อมือของเขาขาว บอกว่าเพิ่งกลับมาจากเมืองร้อน
4. หน้าตาซีดเซียวของเขาบอกให้รู้ว่าเขาเพิ่งผ่านการใช้ชีวิตอย่างลำบากมาและเพิ่มหายป่วย
5. แขนข้างซ้ายของเขาเจ็บ
6. ท่าทางที่เขาถือไม้เท้าก็ดูแปลกๆ
แล้วโฮล์มสก็มาถึงข้อสรุปว่าเมืองร้อนที่หมอจากกองทัพอังกฤษต้องไปผจญความยากเข็ญมา จะเป็นที่ไหนไปเสียไม่ได้ นอกจากอัฟกานิสถาน
รูปแบบของวรรณกรรมนักสืบส่วนใหญ่เดินตามรอยนี้ แต่ก็ไม่ทั้งหมด มีบ้างบางเรื่องพลิกแพลงออกไป เช่นให้ตัวนักสืบหายตัวไปอย่างลึกลับเสียเอง หรือฆาตกรไม่ได้ทิ้งอะไรเอาไว้ให้พอได้เป็นกุญแจสำหรับนักสืบเลย ถ้าเรื่องออกมาแนวนี้ก็มักจะจัดเข้าเป็นเรื่องลึกลับที่ไม่ได้มีแต่การสืบสวนธรรมดาเสียแล้ว
วรรณกรรมนักสืบชุด เชอร์ล็อค โฮล์มส กลายเป็นเรื่องชุดคลาสสิคฮิตตลอดกาล และเป็นแบบอย่างเฉพาะที่โดดเด่นเห็นได้ชัด เรื่องเฉพาะตัวที่ว่านั่นก็คือตัวเชอร์ล็อค โฮล์มสเองมีบุคลิกแบบที่เรียกได้ว่า "หลากหลายกลายเป็นหนึ่ง" เพราะโคแนน ดอยล์ ฉวยเอาแบบอย่างที่เป็นบุคลิกเด่นๆ ของตัวละครในงานของนักเขียนอื่นมารวมกันไว้ ว่ากันว่าในตอนแรกโคแนน ดอยล์ กระอักกระอ่วนใจที่จะยอมรับ แต่ในที่สุดก็เปิดออกมาให้เห็นกันไปเลยว่าเชอร์ล็อค โฮล์มสนั้นมีที่มาอย่างไร
จากบุคลิกที่เห็นได้ชัดว่าเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองสูง เป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง เป็นคนที่มีความรู้ไม่หลากหลายสาขานัก แต่รู้อะไรแล้วก็รู้จริงอย่างชนิดที่ว่าความรู้นั้นแทบจะฝังลงไปในทุกอณูของรายละเอียด เชอร์ล็อค โฮล์มส ก็ยังมีบุคลิกขัดแย้งปรากฎออกมาให้เห็น เช่น เขาเป็นนักสืบที่เก่งกาจหาตัวจับยาก แต่เขาก็เคยหน้าแตกกับวัตสัน เมื่อครั้งหนึ่งเขาตั้งสันนิษฐานเกี่ยวกับคดีหลงทางอย่างมั่นใจว่ามันจะต้องถูก โฮล์มสบอกวัตสันว่ามันต้องเป็นคดีแบ็คเมล์ที่ยิ่งใหญ่ เมื่อโฮล์มสสันนิษฐานว่าอดีตสามีที่หญิงสาวบอกกับสามีหนุ่มคนปัจจุบันว่าตายไปแล้วกลับมามีตัวตนขึ้นมาอีก เขาบอกว่าสามีคนปัจจุบันซึ่งรักหญิงสาวมากจะต้องรับไม่ได้กับเรื่องอย่างนี้ และต้องพบกับความทุกข์ใหญ่หลวง แต่โฮล์มสก็ยังไม่ทันจะได้พิสูจน์อะไร ชายหนุ่มก็ลุยไปเจอเสียก่อนว่าหน้าลึกลับที่มักจะเห็นที่หน้าต่างไม่ใช่อดีตสามี แต่เป็นลูกสาวน่าสงสารของหญิงสาว และด้วยความรักในตัวหญิงสาวเขาก็พร้อมจะรับเลี้ยงดูเด็กอย่างดี โดยไม่ได้มีความรู้สึกว่ารับไม่ได้อะไรเลย
นอกจากนั้น ความขัดแย้งยังปรากฏให้เห็นว่าโฮล์มสเป็นคนใช้ความคิดได้อย่างแหลมคม อะไรที่เขาเห็น คนอื่นมักจะมองไม่เห็นหรือมองข้าม แต่ในตอนเริ่มต้นของเรื่อง The Sign of Four โฮล์มสก็ช็อกความรู้สึกของวัตสันและคนอ่าน เมื่อเขาเปิดเผยให้เห็นว่าเขาเป็นติดยาคนหนึ่ง (โฮล์มส ฉีดโคเคนเข้าเส้นหน้าตาเฉย) หรือในเรื่อง A Study in Scarlet โฮล์มวิจารณ์เลอคอด (Lecoq ตัวละครในเรื่อง Monsieur Lecoq ของ Emile Gaboriau นักเขียนชาวฝรั่งเศส อีกหนึ่งในแบบอย่างที่โคแนน ดอยล์ยืมบุคลิกมา) และดูแปงอย่างไม่แยแส แต่โฮล์มสก็มีคาร์แรคเตอร์อย่างหนึ่งที่เหมือนลอคอดและดูแปงอย่างไม่ผิดเพี้ยน นั่นคือเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษเกี่ยวกับกลิ่นและชนิดของยาสูบ รวมถึงความสามารถในการอ่านรอยนิ้วมือคนเหมือนเลอคอด ทั้งยังมีความละเอียดละออในการสังเกต กระทั่งสามารถบอกได้ว่าคนนั้นหรือสิ่งนั้นมีความเป็นมายังไงเหมือนดูแปง
การที่โคแนน ดอยล์ ยกบุคลิกด้านเด่นให้กับเชอร์ล็อค โฮล์มส เพียงคนเดีย ทำให้เชอร์ล็อค โฮล์มสเด่นกว่าใครๆ ทั้งหมดในเรื่อง คนอื่นกลายเป็นตัวประกอบไปทันทีอย่างเห็นได้ชัด โฮล์มสได้รับการปรนเปรอจากผู้เขียนให้มีแต่ความสะดวกสบาย แม้แต่ตอนที่ต้องไปสืบคดีในที่ทุรกันดารอย่างดาร์ทมัวร์ (Dartmoor) เขาก็ยังมีเด็กรับใช้ตามไปบริการ (ในเรื่อง The Hound of the Baskervilles)
ไม่ใช่ลูกค้าที่เอาคดีมาให้โฮล์มสทำ ไม่ใช่ฆาตกรที่ก่อเรื่องร้ายกาจขึ้นมา แต่เป็นความไม่รู้และการคาดการณ์ของวัตสันที่แหละ ทำให้โฮล์มสมีโอกาสแสดงฝีมือออกมาให้คนอ่านทึ่ง เรื่องนักสืบอย่างเชอร์ล็อค โฮล์มส จึงไม่สามารถให้ตัวนักสืบเป็นคนเล่าเรื่องได้ หรือจะใช้สายตาพระเจ้า (ommiscience) เล่าเหมือนเรื่องเล่าอื่นๆ ก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน เพราะนั่นจะทำให้เรื่องไม่มีความลับ แล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่นักสืบจะต้องเฉลยอะไรต่อมิอะไรให้คนอ่านแปลกใจกันทีหลัง เพราะคนอ่านก็จะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นพร้อมๆกับตัวละครอยู่แล้ว เมื่อหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านครั้งหนึ่ง จึงไม่ใช่แค่ตัวละครเท่านั้นที่มีมิติโลดแล่นไปตามบทบาท แต่คนอ่านก็หลุดเข้าไปอยู่ในมิตินั้นๆ ด้วย มิติของคนอ่านอย่างแรกคือเราใช้สายตาของพระเจ้าอ่าน หรือเราเป็นคนที่รอบรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง ในขณะที่ตัวละครยังรู้ไม่เท่าเราด้วยซ้ำไป มิติที่สองคือเราเป็นแค่คนติดตามเหตุการณ์ หรือบางครั้งทำได้แค่เดาเหตุการณ์เท่านั้น ส่วนความจริงที่เกิดขึ้นตัวละครจะเป็นคนเฉลยให้เรารู้ทีหลัง คนที่หยิบเชอร์ล็อค โฮล์มส ขึ้นมาอ่านและหลุดเข้าไปอยู่ในมิตินี้ เมื่อย้อนกลับไปดูความสัมพันธ์ระหว่างวัตสันกับคนอ่าน ก็จะเห็นว่าร่วมอยู่ในมิติเดียวกัน คือต่างก็เป็นส่วนที่ทำให้ความเป็นนักสืบของเชอร์ล็อค โฮล์มสสมบูรณ์เต็มความหมายนั่นเอง
ถึงจุดนี้ ถ้าจะถามว่าอะไรทำให้เชอร์ล็อค โฮล์มส มีชีวิตโลดแล่นเป็นอมตะครองใจคนอ่านไม่เสื่อมคลาย คำตอบคงจะหลีกไม่พ้นเหตุผลว่าวิธีการสืบสวนของเขานั่นเอง เพียงสังเกตรอยไหม้บนไปป์ โฮล์มสก็รู้ว่าคนสูบถนัดซ้ายหรือขวา รายละเอียดเล็กน้อยแบบนี้ต่างหากที่ทำให้เชอร์ล็อค โฮล์มส ยังคงอยู่เป็นเงาของโคแนน ดอยล์ตลอดไปในใจคนอ่าน
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจากเว็บไซด์ : http://www.toulo.com