ตลาดนิตยสารในเมืองไทย ยังมีอนาคตจริงหรือ?

ขาใหญ่ในวงการหนังสือคนหนึ่งเคยสอนผมว่า ถ้าอยากรู้ว่า สภาพเศรษฐกิจ สังคมของไทยเรารุ่งหรือว่าร่วง ให้สังเกตตลาดนิตยสารเอาไว้ เพราะมันจะเป็นสัญญาณบ่งชี้อะไรบางอย่างได้ …ผมว่าก็ไม่เสียหายถ้าจะลองเชื่อดู!!
ครับ-เท่าที่จับตาดูแผงหนังสือนิตยสารระยะหลังๆ ก็มีความรู้สึกว่า สัญญาณในทางบวกก็แสดงออกมาให้เห็นผ่านการออกมาใหม่ของนิตยสารหลายเล่ม แน่นอนว่า ตลาดนิตยสารของไทยเราเติบโตแข็งแรงขึ้นมาก
หลังจากที่มีการรวมตัวกันเปิดเป็น สมาคมนิตยสารแห่งประเทศไทยเมื่อหลายปีก่อนแม้ว่ามาถึงวันนี้แล้วจะยังไม่ค่อยเห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากมายนัก แต่ผมก็มั่นใจลึกๆ ว่า สมาคมน้องใหม่ของวงการหนังสือแห่งนี้คงจะสร้างคุณูปการให้วงการได้ในอนาคตข้างหน้า
ทุกวันนี้บริษัทใหญ่ๆ ที่มีนิตยสารในเครือหลายหัวก็มีอยู่ไม่กี่ค่าย เพราะการสร้างนิตยสารขึ้นมาสักเล่มให้ได้รับความนิยมยาวนาน ฮิตติดตลาดไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ขาใหญ่ในวงการนิตยสารคนหนึ่งบอกผมว่า การทำนิตยสารสักเล่ม ไม่เหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เพราะทุกวันนี้โลกเปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยน เทคโนโลยีเปลี่ยน ไลน์สไตล์ของคนเราก็เปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นคนทำนิตยสาร นิตยสารก็ต้องเปลี่ยน
และนั่นแหละคือสิ่งที่ยากสำหรับการทำนิตยสารในทุกยุคสมัย เพราะนอกจากความท้าทายที่ต้องวิ่งตามความเปลี่ยนแปลงแล้ว
สิ่งที่ยากยิ่งกว่าในยุคนี้คือเรื่องของเงินลงทุน ตอนนี้ ถ้าจะปั้นนิตยสารสักเล่มใหม่ฮิตติดตลาดจะต้องลงทุนถึง 10 ล้านบาท!!
แต่แม้ทุนจะสูง และการแข่งขันในแวดวงนิตยสารจะดุเดือด การเกิดและเพิ่มขึ้นของนิตยสารใหม่ในแต่ละปีก็ยังเป็นสิ่งยืนยันว่าความน่าสนใจและการเติบโตของแวดวงนี้เป็นสิ่งที่หอมหวน ซึ่งนี่เองเป็นเหมือนการ์ดเชิญให้หลายๆ คนลงสู่สนามแข่งขันประเภทนี้
อย่างตอนนี้เทรนด์ความนิยมของผู้อ่านนิตยสารในต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นแถบยุโรป อเมริกาหรือว่าญี่ปุ่น นิตยสารเฉพาะกลุ่มกำลังมาแรงมาก
และแน่นอนว่าตลาดนิตยสารในเมืองไทยก็มีแนวโน้มที่จะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ถ้าเราสังเกตไปตามร้านหนังสือทุกวันนี้จะพบหนังสือที่สร้างขึ้นมาตอบสนองความต้องการของผู้อ่านเฉพาะกลุ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ผมเชื่อว่าตลาดนิตยสารเฉพาะกลุ่มในบ้านเรายังสามารถเติบโตได้อีกมาก หากมีการศึกษาและค้นคว้าความต้องการของผู้บริโภคอย่างชัดเจน ใครชอบพระเครื่อง,ชอบแต่งรถ,ชอบแต่งสวน,ชอบแต่งบ้าน,ชอบแต่งคอนโดฯ ฯลฯ ทุกอย่างจะแยกย่อยและเจาะลึกลงไปในกลุ่มมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของคนอ่าน
แต่สิ่งหนึ่งที่จะปฏิเสธไม่ได้สำหรับสภาวะการเติบโตของแวดวงนิตยสารยุคนี้ คือ การเข้ามาต่อเนื่องของนิตยสารหัวนอกที่ค่อนข้างไหลทะลักเข้ามาจัดทำในฉบับภาษาไทย บางคนบอกผมว่า การไปซื้อลิขสิทธิ์หัวหนังสือเมืองนอกมาเหมือนกับการขึ้นลิฟต์ไปสู่ความนิยมปรู๊ดเดียวถึง….ไม่เหมือนกับการสร้างนิตยสารฉบับหัวไทยแท้ๆ มันเป็นเรื่องยาก ต้องอาศัยความตั้งใจและความสม่ำเสมอในการทำงาน
บางคนบอกว่าซื้อหัวนิตยสารเมืองนอกมาก็เหมือนเราซื้ออะไรสำเร็จรูปมาใช้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ได้ผลทั้งหมด เพราะถึงยังไงก็ต้องมาปรุงเอง แต่ก็ไม่ใช่หมายความว่าหัวหนังสือนิตยสารดังๆ จากเมืองนอกทั้งหมดที่เข้ามาจะประสบความสำเร็จ เพราะสุดท้าย นิตยสารเล่มนั้นมันต้องตอบโจทย์ว่า ต้องการนำเสนออะไรให้กับคนอ่าน ต้องการจะขายโฆษณากับใครและใครคือกลุ่มเป้าหมายพร้อมจะติดตามผลงานไปอย่างต่อเนื่องทุกเดือน
การที่นิตยสารฉบับใดฉบับหนึ่งจะอยู่ได้หรือประสบความสำเร็จไหม บางทีแค่หัวหนังสืออย่างเดียว หรือแม้แต่มีเฉพาะหน้าโฆษณาอย่างเดียว ก็ไม่ใช่ว่านิตยสารจะสามารถอยู่ได้
เนื้อหาของหนังสือมันจะต้องตอบโจทย์ให้ได้ นิตยสารเล่มไหนตอบโจทย์ได้ก็รอด…ตอบไม่ได้ก็ร่วง…อย่างที่เห็นอยู่นะครับว่า ในตลาดหนังสือ แผงหนังสือบ้านเราตอนนี้ก็ยังมีพื้นที่ว่างให้นิตยสารใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่ขณะเดียวกันก็มีหลายเล่มที่ร่วงไปเพราะไม่ตอบโจทย์ของกลุ่มเป้าหมายของตัวเอง
ขาใหญ่ในแวดวงการหาโฆษณามาลงในนิตยสารคนหนึ่งบอกผมว่า ตอนนี้ตลาดนิตยสารเมืองไทยมีส่วนแบ่งเม็ดเงินจากเจ้าของสินค้ามาลงพื้นที่โฆษณาอยู่แค่ 7-8 % เท่านั้นเองถ้าไปเทียบซึ่งน้อยกว่าต่างประเทศมาก
ผมว่าข้อนี้เป็นปัญหาที่สำคัญ ข้อแรกคือความสำคัญของทุกโฆษณาที่ให้กับนิตยสารยังน้อยอยู่ แล้วยังมีการแย่งโฆษณากันอีกจากตัวนิตยสารด้วยกันเอง หรือแม้กระทั่งอย่างสื่ออื่นคืออินเทอร์เน็ต วิทยุ โทรทัศน์ฟรีทีวีและตอนนี้ที่กำลังมาแรงมากคือ โฆษณาในทีวีดาวเทียมที่ราคาไม่สูง ซึ่งน่าห่วงมาก
เรื่องของเรทอัตราค่าโฆษณาในนิตยสารตอนนี้ ถือว่าเข้าขั้นวิกฤติเพราะแย่งตลาดกันเองแย่งลูกค้ากันเองเลยมีการหั่นราคาพื้นที่โฆษณากันเละเทะไปหมด …นี่เป็นข้อจำกัดทำให้นิตยสารหลายเล่มต้องคุมกำเนิดจำนวนหน้าและไม่สามารถจะทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดได้มากมายนัก เพราะได้เงินจากโฆษณาไม่มาก เพราะถ้าโฆษณาไม่สามารถเข้าได้ตามนั้น ราคาต้นทุนก็คุมไม่ได้
สุดท้ายมันเลยกลายเป็นโจทย์ใหญ่มากสำหรับนิตยสารบ้านเราจริงๆ ว่า จะมีอนาคตหรือไม่มีอนาคต…เม็ดเงินจากค่าโฆษณาก็เหมือนถังออกซิเจนที่คนทำนิตยสารขาดไม่ได้จริงๆ ครับ!!
โดย : Mr.QC จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ