Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ดีได้กว่านั้น : อธิคม คุณาวุฒิ ( บรรณาธิการบริหารนิตยสาร WAY และ อดีตบรรณาธิการ A day Weekly )

ดีได้กว่านั้น : อธิคม คุณาวุฒิ

     

     ฤดูกาลซีไรต์ปีนี้ทำผมเกิดอาการ “เจ็บตับ” อีกครั้ง หลังจากทิ้งช่วงห่างหายไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องยินดียินร้ายกับเรื่องทำนองนี้มาหลายปี
   
     เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนประกาศผล พี่เชื้อท่านหนึ่งซึ่งรักใคร่นับถือน้ำใจกันมานาน โทรศัพท์มาแจ้งขออนุญาตเอาชื่อ-นามสกุลของผมไปร่วมลงนามในแถลงการณ์เพื่อยื่น “ข้อเสนอ” (ที่ใครต่อใครต่างก็ปฏิเสธมาเป็นสิบๆ ปี) ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในพิธีกรรมนี้ กลับไปทบทวนหลักเกณฑ์วางมาตรฐาน กฎ กติกา การประกวดประชันกันใหม่ โดยเจตนาก็เพื่อให้เหตุการณ์ทะเลาะเบาะแว้ง จิกๆ ทึ้งๆ เศษเงินเศษทองลาภยศสรรเสริญ จนส่งผลข้างเคียงเสียบุคลิกกันไปทั้งวงการมันทุเลาเบาบางลงบ้าง

     ด้วยสติสัมปชัญญะที่มีอยู่…ผมอ้ำอึ้งชั่วครู่ เพราะรู้ดีว่าตัวละครแต่ละท่านที่โลดแล่นอยู่ในแวดวงวรรณกรรมประเทศนี้ต่างก็มีขนาด “ตัวตน” ค่อนข้างใหญ่โตกันทั้งสิ้น จนเป็นที่ร่ำลือว่าหากรักตัวกลัวตาย หรือยังไม่ฉีดวัคซีนแล้ว…ไม่สมควรจะเอาเศษไม้เข้าไปแหย่ไปจิ้มท่านๆ เหล่านี้โดยเด็ดขาด
   
     อย่างไรก็ตาม พี่เชื้อที่รักของผมก็เตือนสติว่า ลำพังการเพิกเฉยเพื่อรักษาตัวเองให้ดูดีนั้น มันไม่ยากหรอก แต่คนจิตใจดีแบบเราสามารถ “ทำดีได้มากกว่านั้น” ด้วยการลงมือออกเรี่ยวออกแรง แม้ว่าอาจจะสุ่มเสี่ยงต่อการเปลืองเนื้อเปลืองตัว เห็นผลบ้างไม่เห็นผลบ้างก็ตาม สรุปแล้ว เมื่อบวกลบคูณหาร พิจารณาจากพื้นฐานจิตใจ หลักการทำงาน และความปรารถนาดีต่อผู้คนของรุ่นพี่ท่านนี้ ผมจึงพูดอะไรได้ไม่มากไปกว่า…แล้วแต่พี่เห็นสมควร จะให้ขึ้นสวรรค์ลงนรกที่ไหนก็ว่ามา
   
     ปากก็พูดไปล่ะครับ…แต่ใจก็อดหวั่นไม่ได้ เพราะยังไม่เห็นเนื้อหาของแถลงการณ์ที่ว่าแม้แต่ประโยคเดียว
   
     2-3 วันถัดมา พรรคพวกเพื่อนฝูงที่รักใคร่ห่วงใยผมก็แจ้งข่าวทักท้วงแสดงความแปลกใจว่าคิดอะไรถึงไปร่วมขบวนกับเขา จากนั้นแต่ละคนก็ให้ข้อมูลทั้งในแง่ประเด็น ทั้งเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเบื้องหน้าเบื้องหลังตาม “แหล่งข่าว” ของแต่ละคน จนผมต้องกลับไปเช็กข่าวย้อนหลังว่ามันมีอะไรเป็นเรื่องเป็นราวน่าห่วงถึงขนาดนั้น
   
     พอได้อ่านเนื้อหา พิจารณาท่วงท่าลีลา รวมถึงน้ำเสียงในข้อเสนอแถลงการณ์ฉบับเต็ม จึงพบว่าอาการที่เกิดขึ้น “น่าห่วง” จริงๆ …ไม่ใช่ห่วงว่าใครบ้างจะเปลืองเนื้อเปลืองตัว แต่บรรยากาศและทัศนคติแบบนี้ต่างหากที่ควรห่วง
   
     จะว่าเบื่อหน่ายหมดใจกับการสู้รบตบมือกับผู้คนก็คงไม่เชิง แต่หลังๆ มาผมมีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องทำนองนี้อยู่ว่าการจะปักธงประกาศจุดยืนทางความคิดก็ดี ความพยายามที่จะสถาปนาออกแบกฎ กติกา มารยาท ทั้งในแง่ส่วนตัวหรือจะเป็นเรื่องส่วนรวมเชิงสถาบันก็ดี ทั้งหมดนี้แม้จะยืนอยู่บนความเชื่อ (ของใครก็ตาม) ที่ว่า…เป็นกระบวนการสร้างสรรค์และสถาปนาความดีชนิดหนึ่ง แต่หากมันต้องแลกมาด้วยการห้ำหั่น ทำร้าย หรือดิสเครดิต เตะตัดขาคู่กรณีฝ่ายตรงข้ามให้ดูโฉดกว่า เลวกว่า โง่กว่า หรือน่าสงสัยกว่า…บางทีก็ต้องคิดหนักเหมือนกันว่า มันมีกรรมวิธีอื่นให้เราสามารถทำดีได้มากกว่านั้นหรือไม่
   
     นี่คือยังไม่ต้องพูดถึงว่า ภายใต้ท่วงท่าจุกจิกหยุมหยิมซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงขนาดความกว้างขวางของจิตใจ ท่าทีเอาเป็นเอาตายกับตัวละครระดับ ‘รายละเอียด’ ชนิดที่ไม่มีที่ว่างให้กับความเป็นพี่เป็นน้องเป็นเพื่อนมนุษย์ ไล่เรื่อยไปจนถึงการ ‘ให้ค่า’ กับรางวี่รางวัลปานประดุจสิ่งศักดิ์สิทธ์ประการเดียวที่ชนเผ่าวรรณกรรมอาศัยเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวชีวิตและจิตใจ ปลายทางของท่าทีดังกล่าวมันจะเอื้อให้เกิดบรรยากาศทางสติปัญญา หรือเปิดประตูสุนทรียภาพทางศิลปะให้คลี่คลายไปถึงผู้คนสังกัดอื่นๆ ในสังคมได้มากน้อยแค่ไหนกัน
   
     โดยเปรียบเทียบก็คือ ในทางการเมือง คนทั่วไปรู้สึกอย่างไรกับคนแบบคุณสมัครและพรรคประชาธิปัตย์ แนวโน้มที่คนเหล่านั้นจะรู้สึกกับซีไรต์และแอนตี้ซีไรต์…มันก็คงไม่ต่างกัน  ไม่ต่างกันในที่นี้ไม่ใช่แค่ความน่าเบื่อหน่ายชวนเวียนหัว แต่มันสะท้อนต่อไปถึง “ระยะสายตา” ของแต่ละคนด้วย เช่น ถ้ายังสนุกเมามันกับการลุ้นคุณหมัก-คุณมาร์ค โอกาสที่จะมานั่งคุยกันถึงจินตนาการทางการเมืองที่ “ไปไกล” กว่านั้น…ก็คงลำบาก ในแง่นี้ประเด็นทางศิลปะก็ไม่ต่างกัน
   
     อย่างที่บอกครับ สาเหตุของอาการปวดตับของผม เนื่องในฤดูซีไรต์ปีนี้ นอกเหนือจากการพยายามแลกเปลี่ยน อธิบายความเห็นข้างต้นของเพื่อน พี่ น้อง รับฟังในวงดื่มนมแล้ว เย็นย่ำในวันประกาศผลรางวัล ร้านกาแฟชั้นล่างสำนักงานทำหนังสือของผม ก็ถูกแปรสภาพเป็นร้านอาหารชั่วคราวเพื่อรับรองกวีหมี่เป็ดเจ้าของรางวัลปีนี้ (ซึ่งต่อให้ไม่ได้รางวัล ผมก็ยินดีที่ได้รู้จักอยู่ดี เพราะเห็นจังหวะฝีมือ และอารมณ์ขันร้ายๆ ตั้งแต่ยุคที่แกเริ่มละเลงบทกวีในหนังสืออาทิตย์รายสัปดาห์)
   
     ผมชอบบรรยากาศในคืนนั้น เพราะมันไม่ใช่แค่งานเลี้ยงรื่นเริงของคนชนะ แต่รอบๆ โต๊ะยังมีเพื่อนฝูงพี่น้อง กวีที่เข้ารอบสุดท้ายด้วยกันหลายคนนั่งล้อมวงพูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะ…คนทำงานศิลปะพลาดรางวัลที่ถูกพรรคพวกปากร้ายของผมบางคนแขวะเอาแรงๆ ว่าเป็นพวก “กวีขี้แพ้” นี่แหละ
   
     ชั่วดีถี่ห่างอย่างไรก็กันอยู่แค่นี้ ในระดับพื้นฐานหยาบๆ ก็คือ อย่างน้อยก็ควรจะพูดจากันดีๆ เว้นที่ว่างให้มิตรภาพและความเป็นมนุษย์บ้าง เพราะล้มเหลวเสียตั้งแต่ขั้นตอนนี้ แนวโน้มที่จะหยิบจับเรื่องใหญ่ให้เป็นชิ้นเป็นอัน…มันก็เป็นไปได้ยากเหลือเกิน
   
     หรือต่อให้สถาปนา “ระเบียบใหม่” ขึ้นมาได้จริง ความเหน็ดเหนื่อยเวลาถอยหลังย้อนกลับไปนับศพผู้คนระหว่างทาง มันก็จะเกาะกินใจกันไปอีกนาน.

จากคอลัมน์ "ขมเป็นยา" หน้า 5
ไทยโพสต์  ฉบับวันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน 2550