มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน | Reading Culture Promotion Foundation

จิระนันท์ พิตรปรีชา : 30 ปี ในชีวิตนักเขียนที่ก้าวพ้นรั้ววิชาการ

 

 
สำหรับนักอ่านเมืองไทยคงไม่มีใครไม่รู้จัก จิระนันท์ พิตรปรีชา นักเขียนหญิงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในเมืองไทย เจ้าของรางวัลซีไรต์จากบทกวีเรื่อง ใบไม้ที่หายไป ในปี 2535 และคุ้นตาในผลงานการแปล ทั้งหนังสือ และบทภาพยนตร์ อย่างต่อเนื่อง
 
วันนี้ คุณจี๊ด จิระนันท์ ขอระบายเรื่องราวความหลงใหลในประวัติศาสตร์ ซึ่งที่มาของงานเขียนหลายๆ เล่ม และเล่าถึง passion ใหม่หลังวัยเลข 4 ของเธอ
 
หลงใหลในประวัติศาสตร์
 
เราเรียนประวัติศาสตร์มา เป็นความหลงใหลส่วนตัว และตอนปี 2533 เราได้เขียนสารคดีท่องเที่ยวเรื่องหลวงพระบางเป็นชิ้นสำคัญในชีวิต ตีพิมพ์ในนิตยสาร อสท. สมัยที่หลวงพระบางยังไม่ดัง ไม่มีใครรู้จักเลย ทำให้เกิดกระแสการไปเที่ยวหลวงพระบางขึ้นมา เพราะข้อมูลทางประวัติศาสตร์เหล่านี้
 
เมื่อยิ่งค้นลึกลงไปก็ยิ่งสนใจ เข้าใจเกี่ยวกับอดีตของตัวเอง ของคนไทย ว่ามีอะไรเพี้ยนพลาดไปอย่างแรง โดยเฉพาะการนำเอาคำจำกัดความของปัจจุบันไปใช้ย้อนหลัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเส้นเขตแดน เรื่องสัญชาติ ในอดีตคนสุวรรณภูมิไปมาหาสู่กลมกลืนกัน ตั้งแต่มีคำว่าชาติ เขตแดนทำให้ความสำคัญในอดีตเรื่องนี้ขาดหายไป ซึ่งเราเข้าใจว่าเป็นความจำเป็นของรัฐนะ แต่อย่าเชื่ออย่างเกินเลย แบบว่าไม่ต้องมีข้อมูลเลยก็ได้ ด่าเขมร ด่าพม่าไว้ก่อน โดยไม่มีองค์ความรู้ที่พอเพียงมารับ ก็เลยอยากจะเริ่มต้นใหม่ว่า แทนที่เราจะไปว่าเพื่อนบ้าน เรามาทำความรู้ทางเลือกกันดีกว่า
 
คำว่าไทยแท้อยู่ตรงไหน
 
ที่มิวเซียมสยาม (คุณจี๊ดเป็นที่ปรึกษาด้านวิชาการให้) เราจะได้เจอกับชีวิตไทยปัจจุบัน มวยไทย รำไทย มีวัฒนธรรมทั้งจีน ไทย ฝรั่ง แขก ให้เราหาความเป็นไทยแท้ๆ ว่าอยู่ตรงไหน เป็นการละลายพฤติกรรมอย่างนุ่มนวล ถามคำถามนี้จะมีคนตอบทันทีว่า เพราะเราไหว้สวย นุ่งผ้าไทย มีน้ำใจ สุภาพอ่อนน้อม แล้วแต่จะปั้นอัตลักษณ์อันนี้ แต่ถ้าถามกลับไปว่า การไหว้มีจุดกำเนินจากไหนเช่น จีน อินเดีย เราอาจจะเหมือนเค้า แต่ความต่างในความเหมือนนั้นล่ะที่เรามี อย่างนี้มันจะจริงกว่าไหม การละลายพฤติกรรมไม่ได้สลายความรักชาติ ภูมิใจความเป็นไทยอย่างมีความรู้ ปัญญา หลักฐาน สิ่งที่เรายิ่งเรียนก็ยิ่งภูมิใจก็คือ เราเป็นศิลปิน เก่งมากในการผสมผสาน จนสร้างขึ้นมาจนเจ้าของเดิมแทบจะจำไม่ได้ เช่น ตัวเลขไทย มาจากอักษรขอม เวลาอ่านเป็นภาษาจีนกวางตุ้ง คำกล่าวหาที่หลักลอยมากที่สุดคือ พูด ร.ไม่ชัด ไม่รักชาติไทย เฮ้ย ภาษาอีสานไม่มี เหนือก็ไม่มี เพราะฉะนั้นความเป็นไทยวัดกันง่ายๆ แค่นี้ไม่ได้
 
มิวเซียมสยามจึงเป็นแหล่งที่กระตุ้นให้ถาม มากกว่ากระตุ้นให้เชื่อ พูดถึงประวัติศาสตร์สังคมให้ประวัติศาสตร์ในภาพใหญ่ชัดเจนมากขึ้น เด็กที่ได้มาเรียนรู้ การสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้สำคัญอย่างยิ่ง งานวิจัยบอกว่าสมองจะเปิดรับเรียนรู้ในเวลาที่สนุก เราก็ต้องการให้พิพิธภัณฑ์มีบรรยากาศสนุก คือเลิกกฎห้ามส่งเสียง ห้ามแตะต้อง ห้ามพูดคุย เด็กก็จะไม่เบื่อในการมาพิพิธภัณฑ์
 
ความสุขของการทำงานนี้คืออะไร
 
ได้ก้าวพ้นจากรั้ววิชาการ วิทยานิพนธ์เราทำแทบตาย แต่ถามว่าคนได้อ่านสักกี่คน แต่พอเรามาทำความรู้สาธารณะเกี่ยวกับเยาวชนแบบที่ทำกับที่นี่ (มิวเซียมสยาม) เราได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาอย่างเต็มที่ และสนุกด้วย ส่วนเด็กๆ ที่ได้เข้ามาเรียนรู้ ก็จะไม่รักชาติแบบโง่ๆ คือคิดว่าเราต้องดีกว่าคนอื่น ทะเลาะกับเพื่อนบ้าน เหยียดหยามแรงงานต่างด้าว เรื่องศาสนา เพราะแต่เดิมเราอยู่รวมกันหมด อะไรที่เราอยากสร้างอยู่ตอนนี้ เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ถ้าเรามีความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เราจะทำได้หมดเลย
 
Passion ใหม่หลังวัยแรก4
 
เราไม่ใช่นักวิชาการอย่างเดียว แต่ชอบเป็นเทวทูต เป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง เช่น ตอนนี้อยู่กับชมรมสหภาพ สนุกกับการถ่ายภาพ เพราะเบื่อพูด เป็นกวีที่เบื่อถ้อยคำ การเสียดสี เย้ยหยัน รำพัน อยู่กับช่างภาพดีที่สุด เพราะมันไม่พูด(หัวเราะ) ใช้ภาพในการสื่อความหมายอย่างเดียว
 
ที่สหภาพมีช่างภาพเด็ดๆ ระดับท๊อบทั้งนั้นมารวมตัวกัน ตอนนี้รวมกันได้ 500 คนแล้ว ถามว่าช่างภาพเหล่านี้มารวมกันทำไม แค่เราบอกว่าจะจัดกิจกรรม สิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้ไม่ใช่การเลื่อมใสศรัทธานะ แต่เราเป็นสะพานเชื่อมที่หายไป ระหว่างวิชาการสังคม ภาษา และวัฒนธรรม ระหว่างวงการถ่ายภาพที่ Exclusive อยู่แต่กับพวกเดียวกัน ประกวดกัน มาสู่วงการนักกิจกรรม เราเกิดมาเป็นสะพาน เหมือนกับพิพิธภัณณ์ไม่ใช่แค่ประวัติศาสตร์ แต่เป็นการบูรณาการ
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.women40plus.com