จรรยา อำนาจพันธุ์พงศ์ “ผมเอาแต่ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง”

ในบรรดานักเขียนเรื่องสั้นรุ่นใหม่ที่มีผลงานอย่างต่อเนื่อง ชื่อของ "จรรยา อำนาจพันธุ์พงศ์" คือหนึ่งในจำนวนนั้นอย่างแน่นอน ซึ่งการก้าวเข้ามาสู่ถนนนักเขียนของเขา จากจุดเริ่มต้นและพยายามจะก้าวเดินบนถนนสายนี้อย่างมั่นคง ด้วยการเสนอผลงานเพื่อให้นักอ่านได้พิสูจน์ตัวตนของเขา เช่นเดียวกับวันเวลา ซึ่งจะเป็นกรรมการที่ดีที่สุดในการชี้วัดความเป็นนักเขียนของเขา
และต่อไปนี้คือช่วงเวลาหนึ่งในการสนทนากับนักเขียนหนุ่มถึงการเริ่มต้นเดินทางสู่ถนนนักเขียนทั้งวันนี้และในอนาคต
o ทำไมถึงอยากมาเป็นนักเขียน?
คงเหมือนกับนักเขียนท่านอื่นๆ นั่นแหละครับ คือเริ่มต้นจากการอ่าน แล้วก็นึกอยากเขียนบ้าง แต่ผมว่าคนที่จะมาเป็นนักเขียนได้ การอ่าน และความอยากเขียนคงไม่เพียงพอ มันต้องมาจากแรงขับดันบางอย่าง พี่กนกพงศ์เคยบอกผมว่า แรงขับดันนั้นคือการระเบิดออกจากภายใน ซึ่งมันอาจหมายถึงภาวะบีบคั้น ผสมเข้ากับความใฝ่ฝันอันแรงกล้าที่อยากจะทำในสิ่งที่ตัวเองฝันไว้ ผมคิดว่าสำหรับผมเริ่มต้นจากสิ่งเหล่านี้
นึกดูแล้ว ชีวิตของผมค่อนข้างเป็นนิยายน้ำเน่านะครับ พออายุสิบห้าผมก็ระหกระเหินออกจากบ้านเกิด ทำงานในโรงงาน ตื่นขึ้นมาเพื่อเดินไปตอกบัตร ทำงานอย่างไม่ลืมหูลืมตา พอเงินเดือนออกก็เข้าร้านเหล้า แห่ตามเพื่อนรุ่นพี่อย่างเป็นรูปแบบ หลายปีทีเดียวชีวิตวันๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการทำงาน กินเหล้า จีบผู้หญิง ออกจากที่หนึ่ง ย้ายไปอีกที่หนึ่ง มันเป็นการเดินตามแบบอย่างในสังคมกลุ่มหนึ่งที่เราไม่เคยรู้ตัวว่า เราเกิดมาทำไม จะเดินไปไหน ทั้งมองไม่เห็นว่าชีวิตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
พอวันหนึ่ง ผมได้ข่าวถึงการล้มป่วยของแม่ ผมเดินทางกลับบ้าน ญาติๆ ร้องไห้ ไม่ใช่เพราะเสียใจต่อการป่วยของแม่ แต่พวกเขาดีใจที่เห็นผมกลับมาบ้านเกิด แม่ผมป่วยไม่นานก็จากผมไป หลังงานศพแม่ ผมย้ายตัวเองไปทำงานที่อำเภอสะเดา ที่นั่นผมไม่รู้จักใครเลย เหงาและเศร้ามากๆ ช่วงนั้นเองที่ผมทบทวนตัวเอง เลิกเที่ยว เลิกดื่ม เลิกทุกอย่าง ยกเว้นแฟนที่บอกเลิกผมไปก่อนแล้วนะ (หัวเราะ) ผมเริ่มค้นพบการอ่านตอนนั้น กับหนังสือขุนทองเจ้าจะกลับมาเมื่อฟ้าสาง หนังสือที่ผมพบโดยบังเอิญที่โรงพยาบาลบนเก้าอี้ของคนไข้หน้าห้องรอตรวจ หลังจากนั้นผมก็พาชีวิตเดินเข้าร้านหนังสือ เดินทางไปกับโลกการอ่าน ผมรู้แล้วล่ะ ตอนนั้นว่าผมจะเขียนหนังสือ
o จุดเริ่มต้นการเขียนหนังสือของคุณเป็นอย่างไร?
ผมมีพี่น้องเก้าคน พอจำความได้ผมก็เจอหนังสืออยู่ตามมุมต่างๆ ของบ้าน ส่วนใหญ่เป็นตำราเรียนของพี่ๆ มีหนังสืออ่านนอกเวลาบ้าง แต่ผมก็ไม่สนใจอ่านอะไรนัก แม่ของผมเป็นชาวนา พ่อของผมรับราชการ พ่อเป็นคนที่มองการณ์ไกลแตกต่างจากพ่อแม่คนอื่นในบรรดาเพื่อนบ้าน ถ้านับเป็นหนังสือนะ ตำราของแม่เล่มใหญ่มากๆ มันคือท้องทุ่งขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยเรื่องราวอันสวยงาม เมื่อสิ่งสวยงามนี้บวกเข้ากับความคิดของพ่อที่อยากลูกๆ ได้ร่ำเรียนสูงๆ มีการศึกษาดี ด้วยการเคี่ยวเข็ญลูกๆ ให้อ่านออกเขียนได้ พี่น้องผมจึงไม่เคยมีใครเรียนซ้ำชั้น ทุกคนสอบผ่าน ผมจึงคิดว่าครอบครัวน่าจะมีผลตรงนี้ เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต สิ่งที่พ่อแม่อบรมมาแต่วัยเด็ก มันก็นำเรามาสู่การค้นพบหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ
o ทุกวันนี้ทางบ้านสนับสนุนการเขียนหนังสือหรือเปล่า?
ว่าไปมันก็ตลกดี ตอนที่คิดอยากเขียน พอตกค่ำ ผมเอาแต่ขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง พวกพี่น้องบางคนของผมหาว่าผมเพี้ยน หรือบ้าอะไรทำนองนั้น มาถึงวันนี้ พวกเขากลับยินดี และเชื่อว่าเราทำได้ ส่วนพ่อไม่พูดอะไร แต่พ่ออ่านงานของผมหลายชิ้นด้วยความตั้งใจ และชื่นชมด้วยแววตาอันปีติ ส่วนน้องชายฝาแฝดผู้ชอบจัดสวนเป็นชีวิตจิตใจของผม อ่านงานของผมแทบทุกชิ้น ผมคิดว่าเขาดีใจมากกว่าคนอื่นๆ
o เรื่องสั้นเรื่องแรกที่ได้รับการตีพิมพ์?
ก่อนมารู้จักจุดประกายวรรณกรรมฉบับวันอาทิตย์ ผมอ่านกรุงเทพธุรกิจฉบับวันเสาร์ จำได้ว่ามันมีคอลัมน์เกี่ยวกับคนรักสัตว์ที่เปิดให้ผู้อ่านเขียนเรื่องของสัตว์ที่ตัวเองรักความยาวไม่เกินหนึ่งหน้าเอสี่ ผมเลี้ยงแมวไว้สองสามตัว ก็ลองเขียนถึงวีรกรรมของแมว เขียนโดยที่ไม่มีหลักเกณฑ์อะไร ส่งไปพิจารณา ก็รอครับ ตามไปเปิดหนังสือพิมพ์ดูนานนับหลายเดือน มันไม่ได้ลงพิมพ์ รู้สึกท้อ แต่ยังแอบหวังว่าเราคงยังเขียนไม่ดี
หลังจากนั้นผมก็หันมาซื้อฉบับวันอาทิตย์ ดีใจมากเลย มีเรื่องสั้นในนั้นด้วย ตามอ่านงานของคนอื่นๆ ทุกฉบับ ก็ฝันครับว่าสักวันจะเขียนให้ได้ลงพิมพ์ที่นั่นบ้าง ส่วนเรื่องสั้นในหนังสือรายสัปดาห์ก็อ่านนะ แต่รู้สึกว่ามันมีแต่เรื่องหนักๆ ยากๆ ไม่กล้าฝันว่าจะได้ลง จุดประกายวรรณกรรมน่าจะมีโอกาสมากกว่า เพราะชื่อมันก็บอกเป็นนัยๆ อยู่นะ ก็เลยเอาเรื่องแมวมารื้อใหม่ คิดเองตามประสบการณ์ที่ได้อ่าน ว่ามันน่าจะเป็นเรื่องสั้นได้ พอส่งไปก็ตั้งตารออีก พระเจ้า ตอนที่เห็นมันลงพิมพ์ ไม่อยากอธิบายเลยครับ (หัวเราะ)
o นักเขียนจำนวนไม่น้อยถึงกับลาออกมาเขียนหนังสืออย่างเดียว จรรยาคิดอย่างไรครับและทำไมถึงไม่ทำอย่างนี้บ้าง
ผมเขียนจดหมายไปชื่นชมเพื่อนนักเขียนรุ่นพี่ชื่อฉมังฉาย คือพี่เขากล้าหาญลาออกจากงานยึดอาชีพนักเขียนอย่างจริงจัง หลายวันก่อนผมได้รับจดหมายจากพี่ฉมังฉาย เขาบอกผมว่าอย่าริเลียนแบบเขา เป็นอันขาด มันเกิดอันตรายอย่างสาหัสได้ ผมเลยคิดว่าคงไม่กล้าหาญพอที่จะทำอะไรแบบนั้น (หัวเราะ) ผมตอกบัตรเข้าทำงานมาตั้งแต่อายุสิบห้า รับเงินเดือนในสิ้นเดือน คือบางทีผมก็แอบกลัวว่าถ้ามีเวลาว่างขนาดนั้นขึ้นมาจริงๆ ผมคงเขียนไม่ออกหรอก แต่ก็ไม่แน่นะครับ บางอย่างมันเป็นเรื่องในอนาคต อย่างน้อยผมก็คิดแล้วว่าในบั้นปลายชีวิตผมอยากกลับไปทำสวน และเขียนหนังสือไปด้วย
o เคยเขียนจดหมายถึงกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ?
ตอนที่เริ่มอ่านหนังสือแล้วค้นพบถึงโลกใบหนึ่งที่ไม่เคยรู้จัก ซึ่งมันอัศจรรย์สำหรับผมมาก อยากบอกใครสักคนถึงการค้นพบ อยากบอกเพื่อนที่ทำงานก็ไม่มีใครเลยที่สนใจหนังสือ ความตั้งใจแรกเริ่มของจดหมายก็มาจากตรงนี้ คืออยากคุยกับใครสักคนถึงเรื่องราวการอ่าน และความฝันที่อยากเขียนหนังสือ ผมเลยเลือกจากนักเขียนที่ผมชื่นชอบผลงานของเขา ก็ลองจดหมายไปหาพี่บรรณาธิการที่พิมพ์หนังสือ บันทึกจากหุบเขาฝนโปรยไพร ซึ่งก็คือพี่ขจรฤทธิ์ รักษา นับเป็นความกล้าหาญมากๆ เพราะไม่คิดหรอกว่า พี่กนกพงศ์จะตอบจดหมายมา
ความดีใจนั้นอธิบายไม่ถูกเลย มันเหมือนกับว่าสิ่งที่เราค้นพบนั้นมีอยู่จริง นักเขียนมีตัวตนอยู่จริง และเป็นนักเขียนที่เราชอบงานของเขามากๆ แรงบันดาลใจต่อมาจึงเกิดขึ้นตามมา และจากจดหมายของพี่กนกพงศ์นี่เอง ที่ทำให้ผมรู้จักพี่รัตนชัย มานะบุตร ซึ่งผมสืบพบต่อมาว่าบ้านแกอยู่ใกล้บ้านผมแค่ปลายจมูก ผมเข้าไปคลุกคลีอยู่ที่บ้านของพี่รัตนชัยทุกเย็น การเขียนของผมเริ่มต้นอย่างจริงจังก็มาจากคำแนะนำของพี่รัตนชัย และถือเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพใหม่จากพี่ๆ นักเขียน ไม่ว่าจะเป็นนักเขียนกลุ่มภูเก็ต หรือกลุ่มอื่นๆ ในแถบภาคใต้ ทุกคนให้กำลังใจแก่ผม ส่งให้ผมมีแรงบันดาลใจในการเขียนมาถึงวันนี้ได้
o ในฐานะที่ จรรยา อำนาจพันธุ์พงศ์ ได้รับการจับตามองในแวดวงเรื่องสั้นไทย คิดอย่างไรถึงไปเขียนบทกวีด้วยในนามปากกาอื่น?
ก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะมาเขียนกวี คงเป็นเพราะจดหมายฉบับหนึ่งของพี่สร้อยแก้ว บอกว่าภาษาของผมน่าจะพอเขียนกวีได้นะ ผมก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะทำได้ ช่วงหนึ่งเคยคิดเขียนกลอน แต่แย่ ไปไม่เป็นเอาเลย มาช่วงหนึ่งหลังจากเว้นว่างจากการเขียนเรื่องสั้น ผมก็ลองเขียนกลอนเปล่า ช่วงนั้นเขียนอะไรที่หวานๆ สำหรับจีบสาว ไม่จริงจัง เพิ่งมาเอาจริงบ้างในช่วงสองสามปีมานี่เอง ส่วนนามปากกา จันทร์ รำไร นั้นใช้กับงานประเภทความเรียงอยู่แล้ว ซึ่งงานเขียนในนามปากกานี้ส่วนใหญ่เขียนแบบระบายอารมณ์ไหวไปเรื่อยๆ มันคนละแนวกับเรื่องสั้น แต่ช่วงหลังบทกวีของผมก็เล่นหนักๆ เหมือนกันนะ
o รางวัลในการประกวดวรรณกรรมในทัศนะของคุณ?
เขียนหนังสือมาหกเจ็ดปี ผมก็เพิ่งมาสนใจเวทีประกวดแค่ช่วงระยะสองสามปีมานี้เองนะ ก่อนนั้นก็ไม่ได้ต่อต้านหรือไม่เห็นด้วยนะครับ คิดแต่ว่าแค่เขียนให้ลงพิมพ์ได้ก็ดีใจมากแล้ว มาช่วงหลังนี่คิดหลายอย่าง เวทีประกวดมันช่วยให้เรามีพื้นที่เผยแพร่ในทางหนึ่ง การไปมีส่วนร่วมบ้างก็ช่วยให้เรามีตัวตนชัดขึ้นในทางหนึ่ง แต่ที่สุดแล้ว ก็ตามสะดวก ไม่ได้วางแผนการเขียนสำหรับการประกวดแต่อย่างใด อย่างบทกวีที่ได้รางวัลรองชนะเลิศนายอินทร์ ก็มาจากแรงเชียร์ของเช บอกว่าให้ลองส่งดูบ้าง ผมรับปาก พอดีมีงานอยู่ในมืออยู่ชิ้นหนึ่งก็ลองส่งไป ได้รางวัลมาก็ดีใจครับ อย่างน้อยเป็นข้อพิสูจน์ว่าเราทำได้ เขียนกวีได้
o คุณรู้สึกอย่างไรกับสนามวรรณกรรมที่มีพื้นที่ลดน้อยลงในปัจจุบัน?
ผมไม่เคยทำหนังสือเลยรับรู้ข้อจำกัดของพื้นที่เรื่องสั้นในหน้านิตยสารน้อยมาก แต่ผมคิดว่าเรื่องมันน่าจะทำความเข้าใจไม่ยาก อย่างน้อยการเว้นวรรคในยุคสามของช่อการะเกด หรือหน้าเรื่องสั้นใน ฅ คนก็ตาม นั่นพอจะบอกเราได้ว่ารสนิยมการอ่านเรื่องสั้นของประเทศนี้มันไม่ได้เข้มข้นอะไรมากนัก จะพูดให้ถูกก็คือกลุ่มคนอ่านเรื่องสั้นนั้นมีอยู่จริง แต่ไม่มากพอที่จะเพิ่มยอดขายได้ ก็ไม่รู้ว่ามันผิดที่ใครกันแน่ ระหว่างคนเขียนกับนักอ่าน เรื่องนี้นักเขียนต้องเข้าใจคนทำหนังสือด้วย แต่ในฐานะคนที่เขียนหนังสือมาแล้วระยะหนึ่งอย่าง หรือพวกที่กำลังเริ่มต้น ผมคิดว่าพื้นที่ยังพอมีมากพอ แต่มันมีพอสำหรับคนที่เอาจริงเท่านั้นนะ มันสำคัญว่าเรากำลังเขียนอะไร แบบไหน มีความฝันอันแรงกล้ากับมันหรือไม่ ที่สำคัญบางเรื่องเราอาจถึงขั้นต้องใช้ศรัทธาด้วย อย่างน้อยมันก็ปลอบประโลมเราได้ในระดับหนึ่งล่ะ
o ผลงานช่วงหลังมักนำเสนอประเด็นเหตุการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้?
แน่นอนครับ ผมขบคิดกับมันตามปกติของคนเขียนหนังสือ แต่ที่ผมสนใจนำเสนอมากเป็นพิเศษกลับไม่ใช่การหาสาเหตุ หรือการตีแผ่ปัญหา ตรงนี้ผมคิดว่าสื่ออื่นๆ ได้ทำหน้าที่นั้นอยู่ ที่ผมทำคือการนำเสนอวิถีชีวิตของมุสลิมผ่านเหตุการณ์ความไม่สงบ ผมคิดว่าการเล่าเรื่องผ่านตัวละครที่กำลังดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงอยู่ในครรลองหรือบทบัญญัติของอัลกุรอานนั้นช่วยให้ผู้อ่านได้รับรู้ความจริงหนึ่ง
ซึ่งก็คือความงดงามในวิถีของอิสลามที่คนส่วนใหญ่ในประเทศนี้รับรู้มันน้อยมากๆ วิถีบางอย่างที่ดำเนินอยู่ในครรลองอันเรียบเรื่อยนั้นมันคือความงามที่สังคมแบบอื่นได้สูญสิ้นมันไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ผมคิดว่าวรรณกรรมจะทำหน้าที่เป็นสื่อผ่านความรับรู้นั้นได้ดีในอีกมิติหนึ่ง ถึงที่สุดแล้วผมก็แอบหวังว่าความเป็นอิสลามจะได้อยู่ในการรับรู้ของคนนอกพื้นที่ในแง่มุมอันงดงามบ้าง ไม่ใช่มีเพียงภาพความอัปลักษณ์ที่ถูกส่งผ่านจากข่าวรายวันที่ไม่ได้วิเคราะห์ความจริงอย่างที่รอบด้าน เป็นแค่เพียงการขายข่าวเรียกเรทติ้งไปวันๆ ที่สุดแล้วมันเกิดอะไร ถ้าไม่เรียกว่าความเข้าใจผิดๆ สร้างความเกลียดชังขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
o ทราบว่าเร็วๆ นี้จะมีผลงานรวมเล่มเรื่องสั้น?
รวมเรื่องสั้นเล่มแรกของผมส่งไปสำนักพิมพ์แล้ว เข้าใจว่าอยู่ระหว่างคัดต้นฉบับ แต่ราวๆ เดือนมีนานี้ คงเสร็จออกมาเป็นเล่มแล้วล่ะ
o แล้วกับอนาคตที่วาดหวังไว้บนเส้นทางนักเขียน?
ถ้านับช่วงเวลาตั้งแต่งานชิ้นแรกลงพิมพ์ ก็ถือว่าเราเดินมาไกลกว่าที่เคยฝันไว้มากเลย แต่ก็นั่นแหละครับ ถึงเวลานี้งานเขียนมันคือส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้การเขียนเกิดขึ้นตามอารมณ์ การตั้งเป้าหมาย และทบทวน เพื่อก้าวต่อ ยืนระยะให้ถึงลมหายใจสุดท้ายนั้น ผมถือว่ามันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผมมาก
โดย : ติณ นิติกวินกุล
Life Style : Read & Write
วันที่ 29 มกราคม 2554
By : bangkokbiznews.com