มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน | Reading Culture Promotion Foundation

งานวิจัย : ผลของการอ่านซ้ำและพฤติกรรมนำตนเอง ที่มีต่อทักษะการอ่านและการแผ่ขยายทักษะการอ่านของนักเรียนชาวเขาชั้นประถมศึกษาปีที่ 3

บุญเลิศ คำปัน  (2540) นิสิตปริญญาโท  คณะครุศาสตร์  สาขาวิชาจิตวิทยาการศึกษา    จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการวิจัยเรื่องผลของการอ่านซ้ำและพฤติกรรมนำตนเอง ที่มีต่อทักษะการอ่านและการแผ่ขยายทักษะการอ่านของนักเรียนชาวเขาชั้นประถมศึกษาปีที่3 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชาวเขาชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ยังมีปัญหาในการอ่านจำนวน 28 คน จากโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เชียงใหม่  ซึ่งได้รับการจัดเรียงลำดับตามคะแนนเวลาที่ใช้อ่านและความเข้าใจในการอ่าน จากนั้นสุ่มเป็นกลุ่มทดลอง 4 กลุ่ม ดังนี้ คือ (1) กลุ่มอ่านซ้ำที่ใช้พฤติกรรมนำตนเอง (2) กลุ่มอ่านซ้ำที่ใช้พฤติกรรมที่มีครูนำ (3) กลุ่มอ่านไม่ซ้ำที่ใช้พฤติกรรมนำตนเองและ (4) กลุ่มอ่านไม่ซ้ำที่ใช้พฤติกรรมที่มีครูนำ ผลการวิจัยพบว่า  นักเรียนที่อ่านซ้ำใช้เวลาในการอ่านน้อยกว่าและค้นหาคำที่ผิดพลาดได้มากกว่านักเรียนที่อ่านไม่ซ้ำ  ไม่พบความแตกต่างของเวลาที่ใช้ในการอ่านการค้นหาคำผิดพลาดและความเข้าใจในการอ่าน ในนักเรียนที่ใช้พฤติกรรมนำตนเองและนักเรียนที่ใช้พฤติกรรมที่มีครูนำ นักเรียนอ่านซ้ำที่ใช้พฤติกรรมนำตนเองใช้เวลาในการอ่านน้อยกว่านักเรียนอ่านซ้ำที่ใช้พฤติกรรมที่มีครูนำ และใช้เวลาในการอ่านลดลงและค้นหาคำที่ผิดพลาดได้มากขึ้น  นอกจากนี้ยังพบว่า  กลุ่มอ่านซ้ำและอ่านไม่ซ้ำใช้เวลาในการอ่านเรื่องใหม่น้อยลงกว่าการอ่านครั้งแรกของเรื่องที่อ่านซ้ำและเรื่องที่อ่านไม่ซ้ำ 

บุญเลิศ คำปัน.  (2540).  ผลของการอ่านซ้ำและพฤติกรรมนำตนเอง ที่มีต่อทักษะการอ่านและการแผ่ขยายทักษะการอ่านของนักเรียนชาวเขาชั้นประถมศึกษาปีที่3.  วิทยานิพนธ์ ค.ม. (จิตวิทยาการศึกษา). กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.  อาจารย์ที่ปรึกษา: รศ.ดร.สมโภชน์ เอี่ยมสุภาษิต.

 

วัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ เพื่อศึกษาผลของการอ่านซ้ำและพฤติกรรมนำตนเอง ที่มีต่อทักษะการอ่านและการแผ่ขยายของทักษะการอ่าน กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยนักเรียนชาวเขาชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่ยังมีปัญหาในการอ่านจำนวน 28 คน จากโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์เชียงใหม่กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดนี้ได้รับการจัดเรียงลำดับตามคะแนนเวลาที่ใช้อ่านและความเข้าใจในการอ่าน จากนั้นสุ่มเป็นกลุ่มทดลอง 4 กลุ่ม ดังนี้ คือ (1) กลุ่มอ่านซ้ำที่ใช้พฤติกรรมนำตนเอง (2) กลุ่มอ่านซ้ำที่ใช้พฤติกรรมที่มีครูนำ(3) กลุ่มอ่านไม่ซ้ำที่ใช้พฤติกรรมนำตนเองและ (4) กลุ่มอ่านไม่ซ้ำที่ใช้พฤติกรรมที่มีครูนำ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยเรื่องที่อ่านซ้ำและเรื่องที่อ่านไม่ซ้ำอย่างละ 5 ชุด และเรื่องอื่น ๆ อีก 3 เรื่อง นักเรียนแต่ละคนอ่านออกเสียงเรื่องที่อ่านซ้ำหรือเรื่องที่อ่านไม่ซ้ำ ชุดละ 4 ครั้ง ค้นหาคำที่ผิดพลาดในเรื่องขณะที่อ่านและตอบคำถามความเข้าใจหลังจากอ่านเรื่องจบแล้วในการอ่านแต่ละครั้งนักเรียนใช้พฤติกรรมนำตนเอง หรือพฤติกรรมที่มีครูนำตามเงื่อนไขกลุ่มร่วมด้วย เมื่อนักเรียนแต่ละคนอ่านเรื่องที่ซ้ำหรือเรื่องที่ไม่ซ้ำครบทั้ง5 ชุดแล้ว ผู้วิจัยให้นักเรียนอ่านเรื่องอื่น 3 เรื่องเพื่อทดสอบการแผ่ขยายของทักษะการอ่าน ตัวแปรตามในการศึกษาครั้งนี้ประกอบทักษะทางด้านเวลาที่ใช้ในการอ่านการค้นหาคำที่ผิดพลาด และความเข้าใจในการอ่าน 

 

การวิจัยพบว่า (1) นักเรียนที่อ่านซ้ำใช้เวลาในการอ่านน้อยกว่าและค้นหาคำที่ผิดพลาดได้มากกว่านักเรียนที่อ่านไม่ซ้ำ แต่ไม่พบความแตกต่างทางด้านความเข้าใจในการอ่าน (2) ไม่พบความแตกต่างของเวลาที่ใช้ในการอ่านการค้นหาคำผิดพลาดและความเข้าใจในการอ่าน ในนักเรียนที่ใช้พฤติกรรมนำตนเองและนักเรียนที่ใช้พฤติกรรมที่มีครูนำ (3) นักเรียนอ่านซ้ำที่ใช้พฤติกรรมนำตนเองใช้เวลาในการอ่านน้อยกว่านักเรียนอ่านซ้ำที่ใช้พฤติกรรมที่มีครูนำ (4) นักเรียนอ่านซ้ำที่ใช้พฤติกรรมนำตนเองพบว่า เวลาที่ใช้ในการอ่านลดลงและค้นหาคำที่ผิดพลาดได้มากขึ้น (5) กลุ่มอ่านซ้ำและอ่านไม่ซ้ำ พบว่า มีการแผ่ขยายของทักษะการอ่าน คือใช้เวลาในการอ่านเรื่องใหม่น้อยลงกว่าการอ่านครั้งแรกของเรื่องที่อ่านซ้ำและเรื่องที่อ่านไม่ซ้ำ