Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

งานวิจัย : การส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวของนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร.

ดวงพร  พวงเพ็ชร(2541)  นิสิตปริญญาโท  สาขาวิชาบรรณารักษศาสตร์  มหาวิทยาลัยลศรีนครินทรวิโรฒ  ได้ทำการวิจัยเรื่องการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวของนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 6ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร  โดยการวิจัยนี้แบ่งการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวออกเป็น 4 ด้าน  คือ  ด้านการให้ความรู้  การเป็นตัวแบบ การเสริมแรง  และ  การจัดสภาพแวดล้อม”  กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6  ที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร  จำนวน 416คน  ผลการวิจัยพบว่า1.นักเรียนได้การส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวโดยรวมและรายด้านทั้ง 4ด้าน รวมทั้งมีนิสัยรักการอ่าน อยู่ในระดับปานกลาง 2.  นักเรียนหญิงได้รับการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวโดยรวม  ด้านการให้ความรู้ ด้านการเป็นตัวแบบ  ด้านการจัดสภาพแวดล้อม และมีนิสัยรักการอ่านสูงกว่านักเรียนชาย3. นักเรียนที่มีสถานภาพการพักอาศัยแตกต่างกันได้รับการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวโดยรวมและรายด้านทั้ง 4ด้าน รวมทั้งมีนิสัยรักการอ่านไม่แตกต่างกัน4.นักเรียนที่บุคคลที่นักเรียนอาศัยอยู่ด้วยมีการศึกษาสูงสุดในระดับสูงกว่ามัธยมศึกษาได้รับการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านโดยรวม  ด้านการเป็นตัวแบบ  และด้านการจัดสภาพแวดล้อม สูงกว่านักเรียนที่บุคคลที่นักเรียนอาศัยอยู่ด้วยมีการศึกษาสูงสุดในระดับประถมศึกษา  5.นักเรียนที่รายได้รวมต่อเดือนของครอบครัวมากกว่า 10,001บาทขึ้นไป  ได้รับการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวโดยรวม และด้านการจัดสภาพแวดล้อมสูงกว่านักเรียนที่รายได้รวมต่อเดือนของครอบครัวไม่เกิน 5,000บาท  และ 5,001-10,000บาท  6.การส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวโดยรวมและรายด้านทั้ง 4ด้าน มีความสัมพันธ์ทางบวกกับนิสัยรักการอ่าน7.การส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวทั้ง 4ด้าน  สามารถทำนายนิสัยรักการอ่านได้ดีกว่าการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวเพียงด้านใดด้านหนึ่ง  โดยที่ด้านการจัดสภาพแวดล้อม ทำนายนิสัยรักการอ่านได้สูงสุด

ดวงพร  พวงเพ็ชร.  (2541). การส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวของนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 6ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (บรรณารักษศาสตร์).กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.  คณะกรรมการควบคุม :รองศาสตราจารย์พวา  พันธุ์เมฆา, ผู้ช่วยศาสตราจารย์เกสร  เจริญรักษ์.

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์สามประการ  คือ  ประการแรก  เพื่อศึกษาการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวและนิสัยรักการอ่านของนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 6ในกรุงเทพมหานคร  ประการที่สอง  เพื่อเปรียบเทียบการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวและนิสัยรักการอ่านของนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 6ในกรุงเทพมหานครที่มีภูมิหลังแตกต่างกัน  และประการที่สาม  เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวกับนิสัยรักการอ่านของนักเรียน  โดยการวิจัยนี้แบ่งการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวออกเป็น 4 ด้าน  คือ  ด้าน “การให้ความรู้”  “การเป็นตัวแบบ”  “การเสริมแรง”  และ  “การจัดสภาพแวดล้อม”   กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย  ได้แก่  นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6  จำนวน 416คน ที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร  ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบหลายขั้นตอน

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่  แบบสอบถามการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัว  และแบบสอบถามนิสัยรักการอ่าน  สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล  ได้แก่  การทดสอบค่าซี (Z-test)  การทดสอบค่าเอฟ (F-test)  ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson  Product  Moment  Correlation)  และสถิติการถดถอยแบบพหุคุณ (Multiple  Regression)

ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้

  1. นักเรียนได้การส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวโดยรวมและรายด้านทั้ง 4 ด้าน อยู่ในระดับปานกลาง
  2. นักเรียนมีนิสัยรักการอ่านอยู่ในระดับปานกลาง
  3. นักเรียนหญิงได้รับการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวโดยรวม ด้าน “การให้ความรู้” ด้าน “การเป็นตัวแบบ” ด้าน “การจัดสภาพแวดล้อม” สูงกว่านักเรียนชาย
  4. นักเรียนที่มีสถานภาพการพักอาศัยแตกต่างกันได้รับการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวโดยรวมและรายด้านทั้ง 4 ด้าน ไม่แตกต่างกัน
  5. นักเรียนที่บุคคลที่นักเรียนอาศัยอยู่ด้วยมีการศึกษาสูงสุดในระดับสูงกว่ามัธยมศึกษาได้รับการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านโดยรวม ด้าน “การเป็นตัวแบบ” และด้าน “การจัดสภาพแวดล้อม” สูงกว่านักเรียนที่บุคคลที่นักเรียนอาศัยอยู่ด้วยมีการศึกษาสูงสุดในระดับประถมศึกษา
  6. นักเรียนที่รายได้รวมต่อเดือนของครอบครัวมากกว่า 10,001 บาทขึ้นไป ได้รับการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวโดยรวม และด้าน “การจัดสภาพแวดล้อม” สูงกว่านักเรียนที่รายได้รวมต่อเดือนของครอบครัวไม่เกิน 5,000 บาท และ 5,001-10,000 บาท นอกจากนี้ นักเรียนที่รายได้รวมต่อเดือนของครอบครัว 10,001 บาทขึ้นไป ได้รับการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวด้าน “การให้ความรู้” และด้าน “การเป็นตัวแบบ” สูงกว่านักเรียนที่รายได้รวมต่อเดือนของครอบครัวไม่เกิน 5,000 บาท
  7. นักเรียนหญิงมีนิสัยรักการอ่านมากกว่านักเรียนชาย
  8. นักเรียนที่มีสภาพการพักอาศัยแตกต่างกัน มีนิสัยรักการอ่านไม่แตกต่างกัน
  9. นักเรียนที่บุคคลที่นักเรียนอาศัยอยู่ด้วยมีการศึกษาสูงสุดในระดับที่แตกต่างกันมีนิสัยรักการอ่านไม่แตกต่างกัน
  10. นักเรียนที่รายได้รวมต่อเดือนของครอบครัวแตกต่างกัน มีนิสัยรักการอ่านไม่แตกต่างกัน
  11. การส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวโดยรวมและรายด้านทั้ง 4 ด้าน มีความสัมพันธ์ทางบวกกับนิสัยรักการอ่าน
  12. การส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวทั้ง 4 ด้าน สามารถทำนายนิสัยรักการอ่านได้ดีกว่าการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านจากครอบครัวเพียงด้านใดด้านหนึ่ง โดยที่ด้าน “การจัดสภาพแวดล้อม” ทำนายนิสัยรักการอ่านได้สูงสุด