Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

งานวิจัย : การศึกษาพัฒนาการด้านการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ที่ได้รับการส่งเสริมการอ่าน โดยใช้โปรแกรมการอ่านหนังสือนอกเวลา

สุพัตรา  ชัยมณี (2547) นิสิตปริญญาโท สาขาการสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้ทำวิจัยเรื่อง การศึกษาพัฒนาการด้านการอ่านภาษาอังกฤษของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการส่งเสริมการอ่าน โดยใช้โปรแกรมการอ่านหนังสือนอกเวลา กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสตรีวิทยา กรุงเทพมหานคร จำนวน 118 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มทดลองจะได้รับการเสริมการอ่าน โดยใช้โปรแกรมการอ่านหนังสือนอกเวลา กลุ่มควบคุมจะได้รับการเสริมการอ่าน โดยไม่ใช้โปรแกรมการอ่านหนังสือนอกเวลา ผลการวิจัยพบว่า 1. กลุ่มทดลองมีพัฒนาการด้านการอ่านภาษาอังกฤษมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2.กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีการพัฒนาการอ่านภาษาอังกฤษสูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถติที่ระดับ .01

สุพัตรา  ชัยมณี. (2547). การศึกษาพัฒนาการด้านการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการส่งเสริมการอ่าน โดยใช้โปรแกรมการอ่านหนังสือนอกเวลา.สารนิพนธ์.ศศ.ม. (การสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศ). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. อาจารย์ที่ปรึกษาสารนิพนธ์ : ผู้ช่วยศาสตรจารย์เฉลียว พิบูลชล.

การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาพัฒนาการด้านการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการเสริมการอ่าน โดยใช้โปรแกรมการอ่านนอกเวลา

กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 โรงเรียนสตรีวิทยา เขตพื้นที่ การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2546 ที่ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างง่าย (Simple Random Sampling)โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม ใช้วิธีจับฉลากเลือกสุ่มตัวอย่างจำนวน 2 ห้องเรียน มีจำนวนนักเรียน ห้องเรียนละ 59 คน ซึ่งจัดระบบห้องเรียนแบบคละความ สามารถ รวมทั้งสิ้น 118 คน แล้วทำการสุ่มอย่างง่ายอีกครั้งเพื่อจัดเป็นกลุ่มทดลอง 1 ห้องเรียนและกลุ่มตัวอย่าง 1 ห้องเรียน กลุ่มทดลองจะได้รับการเสริมการอ่าน โดยใช้โปรแกรมการอ่านหนังสือนอกเวลา กลุ่มควบคุมจะได้รับการเสริมการอ่าน โดยไม่ใช้โปรแกรมการอ่านหนังสือนอกเวลา

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ

  1. แบบทดสอบวัดความสามารถทางการอ่านภาษาอังกฤษของ Dr. David R Hill แห่ง สถาบันภาษาประยุกต์ มหาวิทยาลัยเอดินเบรอะ (EPER) ประเทศสหราชอาณาจักร ซึ่งใช้เป็นแบบทดสอบก่อนการทดลอง (Pre-test)และหลังการทดลอง (Post-test) ของกลุ่มตัวอย่าง

  2. หนังสืออ่านนอกเวลาหลากหลายประเภทที่แบ่งระดับความยากง่ายตามศัพท์ หลักโดย ใช้เกณฑ์กำหนดระดับความยากง่ายของหนังสืออ่านนอกเวลาตามคำศัพท์หลัก EPER Level ของ Dr. David R Hill

  3. แบบบันทึกการอ่าน

  4. โปรแกรมการอ่านหนังสือนอกเวลาสำหรับกลุ่มทดลอง ประกอบด้วย การปฐมนิเทศ การเสนอแนะการอ่านตามระดับความสามารถ และกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน

  5. แบบสอบถามความคิดเห็นทั่วไปเกี่ยวกับโปรแกรมการอ่านหนังสือนอกเวลา

การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า t-test for Independent Samples และ t-test for Dependent Samples รวบรวมข้อมูลด้านการอ่านของกลุ่มทดลองโดยดูจากแบบบันทึกการอ่าน แบบสอบถามความคิดเห็นทั่วไปเกี่ยวกับโปรแกรมการอ่านหนังสือนอกเวลา

ผลการวิจัยพบว่า

  1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 ที่ได้รับการเสริมการอ่านโดยใช้โปรแกรมการอ่านหนัง สือนอกเวลามีพัฒนาการด้านการอ่านภาษาอังกฤษสูงกว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการเสริมการอ่านโดยไม่ใช้โปรแกรมการอ่านหนังสือนอกเวลา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

  2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่  1 ที่ได้รับการส่งเสริมการอ่านโดยใช้โปรแกรมการอ่าน หนังสือนอกเวลา และไม่ใช้โปแกรมการอ่านนอกเวลามีการพัฒนาการอ่านภาษาอังกฤษสูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถติที่ระดับ .01