งานวิจัย : การศึกษาผลการวิเคราะห์ความลำเอียงของข้อสอบวัดความเข้าใจในการอ่านภาษาไทยที่ใช้วิธีวิเคราะห์ความลำเอียงต่างกัน
ดารณี แดดภู่ (2542) นิสิตปริญญาโท สาขาการวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้ทำวิจัยเรื่อง การศึกษาผลการวิเคราะห์ความลำเอียงของข้อสอบวัดความเข้าใจในการอ่านภาษาไทยที่ใช้วิธีวิเคราะห์ความลำเอียงต่างกัน โดยศึกษาผลการวิเคราะห์ความลำเอียงของข้อสอบวัดความเข้าใจในการอ่านภาษาไทย ที่มีต่อกลุ่มนักเรียนหญิงกับนักเรียนชาย และนักเรียนในกรุงเทพมหานคร กับนักเรียนในสุพรรณบุรี ด้วยวิธีวิเคราะห์ความลำเอียง 3 วิธีคือ วิธีราส์ชโมเดล วิธีซิปเทสท์ และวิธีแมนเทล-แฮนส์เซล โดยเปรียบเทียบจำนวนข้อสอบที่มีความลำเอียง และเปรียบเทียบค่าความเชื่อมั่นหลังคัดข้อที่ลำเอียงออก กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6ของโรงเรียนสังกัดคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ในกรุงเทพและในจังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 1,963 คนผลการวิจัยพบว่า เมื่อใช้กลุ่มผู้สอบเป็นนักเรียนหญิงกับนักเรียนชาย หรือกลุ่มผู้สอบนักเรียนในกรุงเทพมหานครกับนักเรียนในสุพรรณบุรี จำนวนข้อที่มีความลำเอียงจากการวิเคราะห์ทั้ง 3 วิธี มีจำนวนข้อไม่แตกต่างกัน ส่วนค่าความเชื่อมั่นหลังคัดข้อที่ลำเอียงออก ในแต่ละวิธีวิเคราะห์ความลำเอียง เมื่อใช้กลุ่มผู้สอบเป็นนักเรียนหญิงกับนักเรียนชาย หรือนักเรียนในกรุงเทพมหานครกับนักเรียนในสุพรรณบุรี มีค่าความเชื่อมั่นไม่แตกต่างกัน
ดารณี แดดภู่. (2542). การศึกษาผลการวิเคราะห์ความลำเอียงของข้อสอบวัดความเข้าใจในการอ่านภาษาไทยที่ใช้วิธีวิเคราะห์ความลำเอียงต่างกัน.ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การวัดผลการ ศึกษา). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. คณะกรรมการควบคุม : รองศาสตราจารย์ ดร.ส. วาสนา ประวาลพฤกษ์, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เชาวนา ชวลิตธำรง.
การศึกษานี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาผลการวิเคราะห์ความลำเอียงของข้อสอบวัดความเข้าใจในการอ่านภาษาไทย ที่มีต่อกลุ่มนักเรียนหญิงกับนักเรียนชาย และนักเรียนในกรุงเทพมหานครกับนักเรียนในสุพรรณบุรี ด้วยวิธีวิเคราะห์ความลำเอียง 3 วิธีคือ วิธีราส์ชโมเดล วิธีซิปเทสท์ และวิธีแมนเทล-แฮนส์เซล โดยเปรียบเทียบจำนวนข้อสอบที่มีความลำเอียง และเปรียบเทียบค่าความเชื่อมั่นหลังคัดข้อที่ลำเอียงออก ในการศึกษาครั้งนี้มีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6ปีการศึกษา 2541 ของโรงเรียนสังกัดคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ในกรุงเทพและในจังหวัดสุพรรณบุรี จำนวน 1,963 คน ซึ่งเลือกมา โดยการสุ่มอย่างง่ายและมีห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม
ผลการวิจัยพบว่า เมื่อใช้กลุ่มผู้สอบเป็นนักเรียนหญิงกับนักเรียนชาย หรือกลุ่มผู้สอบนักเรียนในกรุงเทพมหานครกับนักเรียนในสุพรรณบุรี จำนวนข้อที่มีความลำเอียงจากการวิเคราะห์ทั้ง 3 วิธี มีจำนวนข้อไม่แตกต่างกัน
สำหรับค่าความเชื่อมั่นหลังคัดข้อที่ลำเอียงออก ในแต่ละวิธีวิเคราะห์ความลำเอียง เมื่อใช้กลุ่มผู้สอบเป็นนักเรียนหญิงกับนักเรียนชาย หรือนักเรียนในกรุงเทพมหานครกับนักเรียนในสุพรรณบุรี มีค่าความเชื่อมั่นไม่แตกต่างกัน