งานวิจัย : การศึกษาปัจจัยบางประการที่ส่งผลต่อความสามารถในการอ่าน ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
พัชรินทร์ ทะวะระ. (2551). นิสิตปริญญาโท สาขาการวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้ศึกษาปัจจัยบางประการที่ส่งผลต่อความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มพระนครเหนือ จำนวน 394 คนการวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความสัมพันธ์และค่าน้ำหนักความสำคัญของตัวแปรปัจจัย ได้แก่ เจตคติต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ การส่งเสริมให้เรียนของทางครอบครัว โดยจำแนกตามเพศ ผลวิจัยพบว่า 1. ตัวแปรปัจจัยทั้งสาม สัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งตัวแปรปัจจัยทุกตัวสามารถร่วมกันอธิบายความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษได้ ร้อยละ 56.6 ในนักเรียนชายและหญิง พบว่าตัวแปรปัจจัย ได้แก่ เจตคติต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ การส่งเสริมให้เรียนภาษาอังกฤษของครอบครัว มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งตัวแปรปัจจัยทุกตัวสามารถร่วมกันอธิบายความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษได้ โดยตัวแปรที่ส่งผลต่อความสามารถในการอ่านสูงสุด คือ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ รองลงมาคือ เจตคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษ และการส่งเสริมการเรียนภาษาอังกฤษของครอบครัว
พัชรินทร์ ทะวะระ. (2551). การศึกษาปัจจัยบางประการที่ส่งผลต่อความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สังกัดกรุงเทพมหานคร
กลุ่มพระนครเหนือ. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การวัดผลการศึกษา).กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. คณะกรรมการควบคุม: อาจารย์ชวลิต รวยอาจิณ, รองศาสตราจารย์นิภา ศรีไพโรจน์.
การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อศึกษาความสัมพันธ์และค่าน้ำหนักความสำคัญของตัวแปรปัจจัย ได้แก่ ได้แก่ เจตคติต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ การส่งเสริมให้เรียนของทางครอบครัว โดยจำแนกตามเพศ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 ของโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มพระนครเหนือ จำนวนนักเรียน 394 คน ซึ่งได้มาด้วยวิธีสุ่มหลายขั้นตอนเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้ประกอบด้วย แบบสอบถามเจตคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษ แบบสอบถามแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษแบบสอบถามเกี่ยวกับการส่งเสริมให้เรียนของทางครอบครัว แบบทดสอบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.74, 0.79, 0.93, และ0.70 ตามลำดับ
ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
- ตัวแปรปัจจัยได้แก่ เจตคติต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ การส่งเสริมให้เรียนภาษาอังกฤษของครอบครัวของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สังกัดกรุงเทพมหานคร กลุ่มพระนครเหนือ มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ 0.752 ซึ่งตัวแปรปัจจัยทุกตัวสามารถร่วมกันอธิบายความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษได้ ร้อยละ 56.6 ในนักเรียนชาย พบว่าตัวแปรปัจจัย ได้แก่เจตคติต่อการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ การส่งเสริมให้เรียนภาษาอังกฤษของครอบครัว มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ 0.742 ซึ่ง ตัวแปรปัจจัยทุกตัวสามารถร่วมกันอธิบายความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษได้ ร้อยละ 55.1 ส่วนนักเรียนหญิงมีเจตคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ การส่งเสริมให้เรียนภาษาอังกฤษของครอบครัว มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณ 0.806 และตัวแปรปัจจัยทุกตัวสามารถร่วมกันอธิบายความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษได้ ร้อยละ 64.9
-
ค่าน้ำหนักความสำคัญของกลุ่มตัวแปรปัจจัย ที่ส่งผลต่อความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษ พบว่าในกลุ่มตัวอย่างเมื่อวิเคราะห์ตามตัวแปรชาย, ตัวแปรหญิง และวิเคราะห์รวม มีค่าน้ำหนักความสำคัญของตัวแปรปัจจัย ได้แก่ เจตคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษ แรงจูงใจใฝ่ สัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ และการส่งเสริมการเรียนภาษาอังกฤษของครอบครัว ส่งผลต่อความสามารถในการอ่าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และส่งผลในทางบวกทุกค่า ค่าน้ำหนักความสำคัญในรูปคะแนนมาตรฐานอยู่ระหว่าง 0.693 ถึง 0.787 โดยตัวแปรที่ส่งผลต่อ ความสามารถในการอ่านสูงสุด คือ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษ โดยมีค่าน้ำหนักความสำคัญ เท่ากับ 0.787 รองลงมาคือ เจตคติต่อการเรียนภาษาอังกฤษ เท่ากับ 0.752 และการส่งเสริมการเรียนภาษาอังกฤษของครอบครัว เท่ากับ 0.693