Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

คุยแบบสามัญชน กับ เวียง-วชิระ บัวสนธ์

 

 
ผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมมีชื่อว่า ‘เวียง-วชิระ บัวสนธ์’ 
หากเราจะตัดสินใครสักคนด้วยกฎเกณฑ์แห่งโลกทุนนิยม แน่นอน, หนุ่มใหญ่เจ้าของแผงหนวดงามเหนือริมฝีปากคนนี้ คงถูกคัดออกจากสาระบบรายชื่อของพลเมืองตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันโห่
แต่ถ้าเราว่ากันด้วยเรื่องของขนาด ‘หัวใจ’ ล้วนๆ ผมเชื่อว่าชายคนนี้สามารถยืนอยู่แถวหน้าในแวดวงคนทำหนังสือด้วย ‘ใจ’ ได้อย่างไม่เคอะเขิน
                        ‘สามัญชน’ คือสำนักพิมพ์ที่มุ่งมั่นผลิตงานวรรณกรรมชั้นยอดทั้งไทยและเทศมานานกว่า 16 ปี เรื่องสั้น นวนิยาย และบทกวีเชิงสร้างสรรค์ หลั่งไหลออกสู่สายตาคนอ่านอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่เราต่างรู้กันดีว่า ผู้คนในประเทศนี้ไม่นิยมเสพงานเขียนเชิงสาระ
                        เหนืออื่นใด ในสังคมที่หนังสือกระแสหลักอันอิงตลาดเป็นสรณะกำลังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า สำนักพิมพ์เล็กๆ แห่งนี้ไม่มีวันอยู่รอดได้ หากไม่มีผู้ชายที่ชื่อ ‘วชิระ บัวสนธ์’ บรรณาธิการใหญ่ และเจ้าของอาณาจักรน้อยๆ นาม ‘สามัญชน’
                        “พี่แบ่งงานเขียนออกแบ่งเป็น 2 พวกใหญ่ๆ พวกแรกคืองานที่เขียนโดยคำนึงแต่ประโยชน์สุขของคนเขียน โดยไม่คิดถึงว่าผู้อ่านจะได้รับสิ่งใด ส่วนอีกพวกคืองานเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งชั่วๆ ดีๆ อย่างไรมันก็ยังแฝงนัยยะของการรับผิดชอบสังคม แต่พี่ไม่ได้ตีความว่าคนพวกหลังสูงส่งกว่า มันเป็นเพียงจริตส่วนตัวเท่านั้น และคุณก็ไม่มีสิทธิ์เอาสิ่งเหล่านั้นไปอวดอ้าง หรือทำร้ายอีกพวกหนึ่ง เพราะมันจะสะท้อนว่าจิตใจคุณเองไม่ได้ถูกยกระดับจริง ที่สำคัญ พี่ไม่ได้คิดว่าการที่สำนักพิมพ์สามัญชนพิมพ์งานแบบนี้แล้วจะสูงส่งกว่าที่อื่น เพียงแต่ความสนใจของพี่มันเป็นแบบนี้”    
                        ในห้องสี่เหลี่ยมขนาดกะทัดรัดบนคอนโดมิเนียมย่านเลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ที่นี่คือออฟฟิศของสำนักพิมพ์สามัญชน ณ มุมหนึ่ง ‘เสี้ยวจันทร์ แรมไพร’ นักเขียนหนุ่มเซอร์กำลังนั่งกินข้าวอยู่เงียบๆ หนังสือของ ‘อ.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล’ สงบนิ่งอยู่บนชั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น พนักงานส่งปรู๊ฟนำอาร์ตเวิร์คปกของ ‘เดือนวาด พิมวนา’ มาส่ง ชั่วครู่ ชายเจ้าของสำนักพิมพ์กลับมาทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม
                          “การเลือกงานมาตีพิมพ์พี่ไม่เคยแย่งนักเขียนกับใคร ถ้าทำของใครแล้วก็ทำต่อเนื่อง มันเป็นเหมือนความสัมพันธ์เชิงลึกระหว่างนักเขียนกับสำนักพิมพ์ เราไม่ได้คบหากันด้วยเรื่องธุรกิจ แต่เป็นความรู้สึกแบบพี่แบบน้อง เป็นเพื่อนที่คอยดูแลกันมากกว่า อย่างเวลาบางคนเอาต้นฉบับมาส่ง แต่มันยังไม่ได้พิมพ์ ก็จะถามว่า เฮ้ย มึงมีเงินใช้หรือเปล่า พี่ก็จ่ายค่าเรื่องไป เรื่องพิมพ์ค่อยว่ากัน เพราะหลายคนที่ส่งต้นฉบับมา บางทียังไม่พอที่จะทำเป็นเล่ม ยังไม่สมควร” 
                        ทุกวันนี้หนังสือของสามัญชนมีเกือบ 400 ปก (ตอนนี้คงมากกว่านั้น) แน่นอนว่าแทบทุกเล่มผ่านการคัดสรรจากบรรณาธิการผู้รักการอ่านอย่างเขา
                        “วงจรชีวิตหนังสือของสามัญชนมันเป็นอีกแบบ ไม่มีอารมณ์หวือหวา หรือตกต่ำ เพราะมันไม่ใช่หนังสือในกระแส เศรษฐกิจจะแย่ ดีไม่ดีไม่มีผล น่าจะมาจากการที่ผู้อ่านของเราเป็นคนอีกประเภท ให้วิเคราะห์คงเป็นนักศึกษา และคนทำงานใหม่ๆ…”
                        “ผมว่าเป็นคนที่เริ่มแสวงหาความหมายของชีวิต หรือไม่ก็คนที่อยากค้นหาความหมายที่แท้จริงของชีวิตมากกว่า” เสี้ยวจันทร์ช่วยเสริม
                        “แค่การผลิตมันก็เป็นตัวสะท้อนถึงอะไรบางอย่างแล้ว ถ้าเราเข้าไปในร้านหนังสือ มองปราดเดียวก็รู้ว่า ประเทศนี้ความสนใจของคนมันเป็นแบบใด ถ้าคุณสนใจงานวรรณกรรมมากขึ้น นั่นหมายถึงคุณจะมีพื้นที่ด้านหนึ่งให้กับตัวเอง ฉะนั้นการเลือกเสพงานอื่นๆ ก็ตามมาโดยปริยาย อยากดูภาพเขียนดีๆ ฟังเพลงดีๆ ดูหนังดีๆ และสุ้มเสียงเหล่านี้มันจะสะท้อนกลับไปสู่ผู้สร้าง จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมหนังไทยถึงผลิตมาแบบนี้ เพลงไทยถึงทำออกมาแบบนี้ พวกคุณก็เน้นแต่การทำมาค้าขาย ทำมาหากินกันเป็นหลัก ความใส่ใจมุ่งมั่นทำงานแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพันก็ไม่ค่อยปรากฏ”
                        “คนเราไม่อ่านหนังสือเลยได้ไหม” ผมถาม
                        “ถ้าคุณเสพงานที่เป็นศิลปะ คุณก็จะเข้าใจมากขึ้นว่าชีวิตที่ดีไม่จำเป็นต้องผูกติดกับเงินเสมอไป มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจัดการชีวิตตัวเองให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของโลกด้านในของคุณอย่างไร การอ่านมันเป็นแค่ทางผ่านเพื่อนำไปสู่สิ่งที่สำคัญกว่า ถ้าหากคุณสามารถเรียนรู้จากสิ่งอื่นได้ มันก็ไม่ใช่ความจำเป็นของชีวิต ชายแจวเรือในนวนิยายเรื่องสิทธารถะเองก็เอาแต่พายเรือแจว ไม่เห็นเขาอ่านหนังสือ แต่เขาก็เรียนรู้ชีวิตที่ดีได้ ถ้าคุณอยู่ในเมืองแล้วเข้าถึงสัจธรรมของชีวิตจากการขับรถ คุณก็ไม่ต้องอ่านหนังสือ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ง่ายนัก…” 
                        สายฝนเบื้องนอกพรำลงมาไม่ขาดสาย ผมคิดถึงชื่อของนวนิยายเล่มล่าสุดที่กำลังอ่านค้างอยู่ คำพูดของเขาทำให้ผมอยากกลับไปอ่านมันต่อให้จบ
 
 
สันติสุข กาญจนประกร: เขียน 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.oknation.net/blog/mindmag/2007/11/13/entry-1