Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

คุยกับ ลาว คำหอม

 

 
มีโอกาสได้เจอ ลาวคำหอม เมื่อ 7 ปีกว่าที่แล้ว ตอนไปงานเปิดตัวห้องสมุดเด็กแถวขอนแก่น ตอนนั้นได้แต่คิดว่าตาลุงคนนี้เป็นใครนะ ดูใจดี คุยสนุกและลุ่มลึกจังเลย จนมารู้ทีหลังว่า ฝีมือแกขั้นเทพๆๆๆๆ
 
ลาว คำหอม มีชื่อจริงว่า คำสิงห์ ศรีนอก เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ในปีพ.ศ. 2535 มีผลงานมากมาย เช่น กระเตงลูกเลียบขั้วโลก (บันทึกต่างแดน) กำแพง (รมเรื่องสั้นและบทความ) กำแพงลม (ทรรศนะว่าด้วยเมืองและชนบท) นิทานชาวบ้าน – ลมแล้ง (เรื่องสั้น)  ฟ้าบ่กั้น (รวมเรื่องสั้น)  แมว (นวนิยาย) 
งานของลาว คำหอม นอกจากจะเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ มีการแปลงานเป็นภาษาอังกฤษ สวีดิช เดนนิช ดัชท์ ญี่ปุ่น ศรีลังกา มาเลย์ เยอรมัน (จัดพิมพ์ 6 เรื่อง) และภาษาฝรั่งเศส (จัดพิมพ์ 4 เรื่อง)
…………………………….
 
ช่วงนี้กลิ่นไองานสัปดาห์หนังสือยังอวลอุ่น เลยหยิบบทสัมภาษณ์ของลาวคำหอมจากรุของนิตยสาร Life & Family (ปัจจุบันปิดตัวไปแล้ว) ซึ่งสัมภาษณ์โดยคุณ นริสษา บุญเสิรม มาฝากกัน
 
 
คำสิงห์ ศรีนอก กับบทสนทนาแห่งยุคสมัย
 
 
สิ่งดึงดูดใจหนุ่มสาวไม่ใช่ธรรมชาติที่สวยงาม
 
ในโอบล้อมของต้นไม้ใบเขียวบนแผ่นดินโคราชวันนี้ มีทั้งนักคิด นักเขียนและศิลปินไปพำนักพักพิงกันอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะที่ไร่ ลาว คำหอม ซึ่งมักมีคนหนุ่มสาวผู้หลงไหลในสวนอักษร แวะเวียนไป…
 
บ้างตั้งใจไปคารวะ พบปะเสวนากับท่านเจ้าของบ้าน บ้างทุกข์หนักหนา สาหัสกับชีวิตก็พาตัวเองไป เพื่อจะพบผู้ใหญ่ใจดีที่คอยให้กำลังใจ บางคนเบื่อหน่ายเมืองหลวงก็มาหาสายฝนอันฉ่ำเย็นที่ไร่แห่งนี้ สิ่งดึงดูดใจคนหนุ่มสาวคงมิใช่ธรรมชาติอันพิสุทธิ์บนแผ่นดินที่ราบสูง หากแต่คือ ชายสูงวัย ผมสีดอกเลา ผู้มีโลกทัศน์กว้างไกล มีเมตตาเต็มหัวใจ ที่ชื่อคำสิงห์ ศรีนอกหรือเจ้าของนามปากกาลาว คำหอม ผู้ฝาก ฟ้าบ่กั้น เอาไว้บนทำเนียบวรรณกรรมคลาสสิกของไทย คุณลุงคำสิงห์วัย 70 ยังพึงพอใจต่อชีวิต ก้าวทันโลก และห่วงใยสังคมไทยสม่ำเสมอ
 
L&F : ตอนนี้ไร่ที่ปากช่องเป็นอย่างไรบ้างคะ
 
ยังรักษาสถานภาพไว้ได้
 
ผมเลี้ยงวัวไว้ ตอนลี้ภัยไปสวีเดนขายเกือบหมด เก็บไว้ให้หลานชายดูแล 5-6 ตัว พอกลับมามันออกลูก คอกวัวก็กลับมาอย่างเดิม มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่ชราลง เลยแบ่งเป็นสัดส่วนให้หลานคนนั้น คนนี้ เหมือนคนยุคโบราณ
 
จากตอนแรกของเราเป็นคอกใหญ่ ของหลานเป็นคอกเล็ก อยู่ไปๆของเราก็กลายเป็นคอกเล็ก ของหลานเป็นคอกใหญ่(ยิ้ม) ถึงอย่างไรก็ยังพอรักษาสถานภาพ พอดูแลตัวเองได้ ไม่เป็นภาระแก่ใคร ทำไร่น้อยลง มีเวลาให้เพื่อนฝูง ตอนนี้ยิ่งสบายใหญ่ เด็กเล็กแวะมาอ่านหนังสือบ้าง เป็นที่รับรู้กัน ถ้าใคร อยากอยู่กับหนังสือ อยากพักก็มาที่นี่
 
L&F : ยังได้เฝ้ามองสังคมบ้านเราอยู่…
 
ยังสนใจติดตามข่าวสารมาตลอด ในฐานะเป็นสมาชิกคนหนึ่งของสังคม
 
L&F : มองสังคมผ่านอะไรคะ
 
การอ่าน การรับหนังสือพิมพ์แบบเดิมน้อยลง และต้องยอมรับว่าผมเป็นแฟน BBC แม้แต่อยู่ในป่าก็อดไม่ได้ ได้อาศัย BBC นี้เอง ช่วยทำให้ตามโลกเขาทัน อย่างไรก็ ตาม ตอนหลังการจะนั่งฟังวิทยุก็ทำไม่ได้แล้ว เลยหันมาที่ทีวี เมื่อมี ITV ก็ช่วยได้เยอะ หนังสือทิ้งไม่ได้เหมือนกัน เพราะเราจะสูญเสียพลังสมาธิ
 
ผมอ่านหนังสือเหมือนพระสวดมนต์ จึงจับได้ว่า การทำวัตรเช้า-เย็นของพระ ทั้งๆที่ท่องได้ติดปาก เป็นการทำวิปัสสนาอย่างหนึ่ง ท่านอาจจะส่งเสียงดัง แต่เชื่อว่าท่านไม่ได้ยินเสียง เป็นการทำสมาธิแบบมีเสียง การอ่านหนังสือเป็นการทำสมาธิแบบเห็นตัว ถ้าเราจิตใจวุ่นวายจะไม่เห็นตัวหนังสือและอ่านไม่รู้เรื่อง
 
L&F : มองเห็นสังคมบ้านเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง
 
เห็นชัดว่ามีความรุนแรงมากขึ้น แม้โดยทั่วไปจะชอบอ้างว่า บ้านเมืองไม่ดีเพราะคนอดอยาก บีบคั้น ไม่มีที่ทำมาหากิน แต่ถ้าไปอยู่บ้านนอกจริงๆ จะรู้ว่าคิดอย่างนี้ไม่ถูกเสียทั้งหมด ถ้ามองอย่างใจเป็นกลาง เมืองไทยไม่ขัดสนถึงขนาดนั้น ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ สิ่งบำรุงชีวิต ปัจจัย 4 5 6 ก็พอจะมีอยู่ แต่ความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นนี้ ผมเข้าใจว่าลึกๆเป็นผลสืบเนื่องจากสงครามทางใจ ซึ่งเกิดขึ้นในสังคมมาเป็นเวลายาวนาน
 
การขัดแย้งทางความคิดมีอยู่ระยะหนึ่ง ที่ผู้คนตั้งใจต่อสู้กันแบบเอาเป็นเอาตาย ตั้งฝ่ายหนึ่งเป็นศัตรู ทำให้เกิดความรู้สึกตัดสินอะไรในเชิงศัตรู ลืมความเป็นเพื่อนเป็นมิตร เราอยู่ในภาวะสงครามอย่างนี้มานาน เรียกว่านั่งทำสงครามอยู่ในบ้านโดยไม่ออกไปไหนเลย เปิดวิทยุฟังก็จะมีรายการข่าวสารประเภทตัดแต่งพันธุกรรมปลุกใจให้ฮึกเหิม
 
เสร็จแล้วภาวะความขัดแย้งทางการเมืองหมดไป แต่สิ่งลึกๆที่เคยสะสมอยู่ในใจ คือการตัดสินใจแบบไร้เหตุผล ซึ่งเป็นพลังรักชาติตามกระแสในยุคหนึ่ง มันฝังอยู่ในตัวโดยไม่รู้ตัว ทำให้คนตัดสินใจในลักษณะรุนแรง
 
ผมสะเทือนใจมากกับการฟังข่าว เห็นพวกเรากระทำรุนแรงต่อกัน ไม่นานมานี้ คนทะเลาะกันเรื่องถ่านไฟฉายก้อนเดียว ที่เห็นว่าแพงไปก็ถึงกับฆ่ากันเหมือนถูกสะกดจิต นี่เป็นวิญญาณแห่งความรุนแรงที่ครองจิตใจคนในห้วงแห่งการทำสงครามในบ้าน
 
ทุกคนจึงเป็นเหยื่อของความรุนแรง จะระเบิดขึ้นมาเมื่อไหร่ไม่รู้ เป็นสิ่งยากจะกำหนด
 
ผมเห็นภาพที่ชัดเจนมาก เมื่อตำรวจจับผู้ร้าย อาจจะเป็นคดีอุกฉกรรจ์ ข่มขืน วิ่งราว จับมาได้ ตำรวจมักนำผู้ร้ายไปแสดงประกอบคำสารภาพ บางทีเราจะเห็นคนหนึ่งอาจเป็นฝ่ายผู้เสียหาย เข้ามาชกหน้าผู้ต้องหา ผมยังเห็นภาพหนึ่งที่ผู้โกรธแค้นใช้สนับมือชกหน้าผากผู้ต้องหา เลือดไหลอาบ เห็นแล้วรู้สึกสงสาร คนนั้นเป็นเหยื่ออยู่แล้ว เขาอาจจะก่อกรรมทำเข็ญ ถ้าคิดลึกๆคนที่ชกก็เป็นเหยื่อความรุนแรงเหมือนกัน หลายคนเห็นก็สะใจ ดีแล้ว สมน้ำหน้า
 
บางที เด็กไร้เดียงสา อายุ 15-16 ถูกจับมาในคดีร้ายแรง ก็จะมีพวกที่ออกมาเรียกร้องว่า ควรเพิ่มโทษ น่าจะประหารชีวิต
 
ถ้าปีศาจร้ายแห่งความเกลียดชังที่สะสมกันมาในสงครามทางใจ ยังอยู่ในครอบครัวและยังอยู่ในตัวพวกเราอย่างนี้ ผมว่าวันรุ่งขึ้น สังคมต้องผลิตอาชญากรขึ้นมาทดแทนพวกที่ถูกเข่นฆ่าต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด
 
L&F : แท้จริงแล้วเรื่องแบบนี้แก้ไขได้ไหมคะ
 
ศาสนาต้องกลับมามีบทบาทจริงๆ อาจจะถึงวาระที่มนุษย์ต้องมองตากันนานๆ แล้วเรียกหาความรักในฐานะที่เป็นมนุษย์ร่วมชะตากรรมกัน รู้จักให้อภัย ไม่ใช่คิดจะแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง ฆ่ากันท่าเดียว นี่เป็นเรื่องใหญ่ของสังคม ไม่อย่างนั้น ความรุนแรงจะมากขึ้นๆ และนำไปสู่กลียุคได้
 
L&F : เป็นสังคมไร้สติ…
 
ใช่ เพราะคนกำลังคิดจะแข่งกันสร้างสารพัด มีเงินมีทองทำได้ทุกอย่าง ปัจจุบันนี้ต้องใช้คำว่า สังคมกำลังขาดความยับยั้งชั่งใจ ผมเข้าใจว่าเรื่องอย่างนี้ไม่ใช่งานเล็กๆเสียแล้ว เราต้องดูเรื่องการศึกษาอย่างจริงจังทุกระบบ ต้องทำให้วัดกลับไปเป็นวัด พระต้องเข้ามามีบทบาทในการให้สติ ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองมีภารกิจหนึ่ง คือคอยให้สติผู้คนให้อยู่ร่วมกันได้
 
หากเราโชคดีพอ สามารถเอาสิ่งที่เคยเป็น เคยมี กลับมาได้ ถ้าเราให้เวลากันและกัน เริ่มคิดถึงเครื่องมือทางสังคมไทย คือขนบธรรมเนียมประเพณีหลายอย่างที่เคยเป็นเชื้อประสานให้คนอยู่ร่วมกัน เอามาพินิจพิจารณา รื้อฟื้นสิ่งที่ดีงามมาอยู่กับเราก็คงจะดีขึ้นบ้าง
 
ปีนี้จะเป็นปีที่ท้าทายมาก เพราะเป็นปีแข่งขันการเลือกตั้ง สถิติความรุนแรงเพิ่มขึ้นๆอย่างน่ากลัว กว่าจะผ่านการเลือกตั้งไปถึงปลายปี ไม่รู้ว่าเราจะสังเวยความรุนแรงมากแค่ไหน ความมีน้ำใจนักกีฬา รู้ผิดรู้ถูก หายไปหมด คนมุ่งแต่เอาชนะเป็นเป้าหมาย สิ่งที่เป็นกติกาไม่มีแล้ว
 
L&F : สังคมภายนอกเป็นอย่างนี้ กระทบต่อครอบครัวคุณลุงบ้างไหม
 
เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กระทบ เพียงแต่เราพอรับสภาพได้ ผมพูดกับเพื่อน กับครอบครัวว่า ภารกิจของคนรุ่นปัจจุบันนี้ ถ้าใครสามารถเลี้ยงลูกให้ผ่านพ้นจากโรคเอดส์ และยาเสพย์ติดได้ ถือว่าสำเร็จแล้ว และปัญหาฝังใจของทุกคนที่มีลูกอยู่ตรงนี้ เวลาลูกออกจากบ้านมักเป็นห่วง
 
เมื่อผ่านพ้นวัยแห่งยาเสพย์ติด ก็เป็นวัยหนุ่มสาว เมื่อสังคมกร้าน อะไรๆมัน ก็เป็นอย่างภาพที่เราเห็น หมิ่นเหม่ต่อการที่จะนำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บ มาถึงวันนี้ ผมคิดว่าตัวเองสามารถรักษาระดับครอบครัวได้ แค่นี้ก็พอแล้ว
 
 
 
 
L&F : หลายคนบอกว่า คุณลุงเป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจคนหนุ่มสาว และทันสมัยอยู่ตลอด…
 
ผมก็คงเหมือนคนอื่น อาจจะไม่มีหลายสิ่งหลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่คิดว่ามี เป็นคำที่น่าหมั่นไส้ คือ มีเมตตา
 
ผมเห็นเด็กเล็กทุกคนควรแก่การเมตตาทั้งนั้น กระเซอะกระเซิงสารพัดอย่างเวลาเข้าไปที่ไร่ หลายคนมาเล่าปัญหาให้ฟัง ผมก็หาหนังสือให้อ่าน คุยเรื่องที่เขากำลังทำ กำลังคิด เล่าเรื่องตลกให้หัวเราะสักหน่อย ด้วยความรู้สึกเมตตาเท่านั้นเอง สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้คือ เด็กเหล่านี้ทำให้ผมไม่ตกสมัย เพราะถ้าไม่ได้คุยกับเขา ก็ไม่รู้ว่าโลกคนหนุ่มสาวยุคนี้แตกต่างจากเราอย่างไร เวลาฟังเขา ผมไม่ได้ตั้งมาตรฐานผิดถูก ผมเป็นกลางเห็นหนุ่มไปไร่บางคนเจ้าเสน่ห์ ไปไหนชอบพาเพื่อนสาวไปด้วย แต่ถ้าพาเพื่อนสาวที่แปลกหน้ามาอีก
 
ด้วยความปรารถนาดี อาจจะโอบหลังเขาหน่อย แล้วบอกว่า นี่…ถ้าจะพาหน้าใหม่มาอีก แล้วเรายังไม่มีความมั่นคง อย่าพามา ลุงสงสาร ถ้าจริงจัง ลุงจะเป็นเถ้าแก่ให้ ฟังโบราณไปหน่อย ผมไม่เคยบอกว่าดีหรือไม่ดี และเขาไม่โกรธ
 
L&F : คิดอย่างไรกับการที่คนรุ่นใหม่อ่านหนังสือน้อยลง
 
คนสมัยก่อนไม่ได้อ่านหนังสือมากกว่าคนสมัยนี้หรอก แต่เมื่อก่อนหนังสือไม่เยอะอย่างทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นเวลาคุยกับใครพูดถึงหนังสือเล่มไหน ก็ได้อ่านกันหมด การที่เรามีดอกไม้ไม่กี่ดอก ทุกคนจะชื่นชมได้ แต่พอมีละลานตาไป คิดว่าเขาไม่เห็น เลย เหมือนอ่านน้อย
 
คนเดี๋ยวนี้อาจจะอ่านมากกว่าคนสมัยก่อนด้วยซ้ำไป เพราะถ้าไม่อ่านหนังสือมาก ร้านหนังสือไม่น่ามากมายขนาดนี้ รุ่นของผมเข้าไปในร้านก็มีหนังสืออยู่ไม่กี่ชั้น ปีหนึ่ง ผลิตออกมาไม่กี่เล่ม เมื่อมีหนังสือน้อยคนสมัยก่อนก็อ่านเป็นเรื่องจริงจัง ผูกพันกับหนังสือ ในขณะที่เดี๋ยวนี้อ่านๆไปอย่างนั้น ไม่ได้มีหนังสือในดวงใจลึกซึ้งเหมือนคนรุ่นผม ผมอ่าน สงครามชีวิต ของ 'ศรีบูรพา'อ่าน ปีศาจ ของ'เสนีย์ เสาวพงศ์'ฝังใจอยู่ยาวนาน
 
เดี๋ยวนี้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป การให้ความบันเทิงไม่ได้มีหนังสืออย่างเดียว มีทั้งทีวี วิดีโอ ในขณะที่สัญชาตญาณต้องการหาความสนุก สัญชาตญาณที่จะแสวงหาความรู้ของคนยังมีอยู่เท่าเดิม แต่ก่อนแม่ค้าอาจจะอ่านหนังสือไปร้องไห้ไป เดี๋ยวนี้เขาดูทีวี เงี่ยหูฟังซาวนด์อะเบาต์ มันคนละเรื่องแล้ว
 
L&F : คุณภาพงานมีส่วนด้วยไหมคะ
 
นักเขียนที่อยู่ในโลกได้ยืนยง เพราะงานของเขาแสดงออกซึ่งภูมิปัญญา ประสบการณ์ที่ผ่านการคิดและปรุงแต่งอย่างมีจิตสำนึก ดังนั้น อ่านงานเขาเมื่อไหร่ เราก็ได้ความสุข ความคิด ได้ความรู้ ได้ปัญญา ในโลกนักเขียนยุคก่อน จึงมีพระเอกให้มองเห็น เป็นตัวตน ของไทยเราก็เคยมี มาถึงยุคนี้เรามีคนเขียนหนังสือมากขึ้น แต่ที่เป็นพระเอกแท้ จริงมีไม่มาก ส่วนมากยังคงเป็นเสมือนหางเครื่อง วรรณกรรมนั้น ถึงยังไงๆก็ต้องยอมรับว่าเป้นงานที่แสดงออกวึ่งโลกทรรศน์และภูมิปัญญาของคนเขียน อารมณ์อย่างเดียวไม่น่าจะช่วยให้เป็นนักเขียนที่ดีได้
 
L&F : ตอนนี้มีนักร้อง นักแสดงมาเขียนหนังสือกันเยอะมาก…
 
เติมชีวิตและสีสันให้กับวงวรรณกรรม แต่ส่วนหนึ่งยังคงเป็นหางเครื่อง เราต้องให้เวลาและโอกาส
 
L&F : ไม่ทำให้คนอ่านหนังสือมากขึ้น?
 
งานหลักที่ควรต้องอ่านมีน้อยลง แต่หนังสือที่ถึงระดับดีจริงคนก็ยังคงอ่านอยู่ ตอนนี้เราหลายคนยังหันกลับไปอ่าน หลายชีวิตสี่แผ่นดิน ซึ่งถือได้ว่าเป็นงานคลาสสิกของท่านคึกฤทธิ์ปีศาจ ของ เสนีย์ เสาวพงศ์ยังคงอยู่ในตลาด ผมยังคงอ่าน แผ่นดินของเรา ของแม่อนงค์ด้วยความประทับใจเหมือนเมื่อยังหนุ่ม
 
เดี๋ยวนี้วรรณกรรมลูกโป่งและลูกกวาดมีมาก ที่เป็นหลักให้พักพิงใจมีค่อนข้างน้อย อาจเป็นเพราะเราวัดความเป็นนักเขียนจากปริมาณงาน ซึ่งไม่น่าจะถูกต้อง ที่ควรแล้วควร จะดูกันที่คุณภาพ ผมเองพอจะคุ้นๆกับงานเขียนของโลกตะวันตกที่พวกเขายอมรับกันอยู่บ้าง ได้ว่าเรื่องที่เขาเขียนล้วนผ่านการวิเคราะห์พิถีพิถัน ในแต่ละฉากที่ที่จะเขียนนวนิยาย เขาจะแวะเวียนไปดู เก็บซับบรรยากาศ พูดคุยกับผู้ค้น ภาษาสำนวนที่ออกมา จึงเป็นของท้องถิ่น ไม่มีสำเนียงและสำนวนของคนเขียน นักเขียนของเราในปัจจุบันเห็นได้ค่อนข้างชัดว่า ไม่ได้ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้มากนัก
 
L&F : เกี่ยวกับยุคสมัยด้วยไหมคะ
 
ถึงยังไงก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก นักเขียนในยุคก่อนหน้าเรา ดูเขาจริงจังกับวิชาชีพเขาคงคิดว่าเขากำลังทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้ทำเพื่อสิ่งอื่นใด หากแต่ทำเพื่อฝากความคิด สติ ปัญญา ฝีมือ และอุดมการณ์ อย่างที่เราชอบยกตัวอย่างกันเรื่อง กระท่อมน้อยของลุงทอม ของแฮเรียต บี. สโตว์ คนเขียนเขาทุ่มเท มีเป้าหมายชัดเจน ภาพการกดขี่ข่มเหงทาส เขาเรียกมันว่าบาป เขารู้สึกรุนแรงขนาดนั้น ถึงต้องใช้วรรณกรรมเพื่อประท้วง ต่อสู้ ต่อต้าน งานเขาใหญ่เพราะคิดใหญ่ หรืออย่างบางเรื่องที่พูดถึงสงคราม เหยื่อของสงคราม เขาก็เขียนให้เรารู้สึกว่าสงครามน่ารังเกียจ น่าขยะแขยง เป็นสิ่งร้ายกาจที่มนุษย์สรรหาขึ้นมา เห็นแล้วทนไม่ได้
 
นักเขียน ถ้าคิดเล็กคิดน้อย เพียงแค่นั่งในคอฟฟี่ช้อปมองฝ่าสายฝน กอดอกเศร้า แล้วจะให้งานใหญ่ได้ยังไง รับใช้อารมณ์ของตัวเองหายใจทิ้งออกไป
 
L&F : ตอนนี้มีสื่ออื่นมาแทนที่หนังสือเยอะมาก ต่อไปในอนาคตหนังสือจะต้องหลีกทางให้กับอะไรอื่นบ้างหรือเปล่า
 
ไม่เลย ผมคิดว่าหนังสือที่ดีจริงๆ ต้องอยู่กับโลก และมีอยู่ต่อไป ที่เรารู้สึกว่ากำลังจะสู้ไม่ได้ เพราะไม่มีงานดีๆเท่านั้นเอง เราไม่มีผลงานที่ยิ่งใหญ่ในยุคสมัยปัจจุบัน หนังสือให้ในสิ่งที่สื่ออื่นให้ไม่ได้ คือ สมาธิ และมนุษย์ต้องมีสมาธิจึงจะทำงานได้ มนุษย์ฟุ้งซ่านมาก จึงลืมไปว่าถ้าคุณไม่มีสมาธิ คุณจะทำงานดีๆไม่ได้ การรักษา ดูแล ครอบครัว การงาน เพื่อนพ้อง ล้วนต้องการสมาธิ
 
มนุษย์เมื่อออกจากถ้ำก็ต้องเริ่มผจญกับโลก เพราะอยู่ในถ้ำไม่ต้องมีอะไร มองด้านเดียว ดูผนัง ตะปุ่มตะป่ำ เพ่งเล็งไปที่นั่นสมาธิก็เกิด พอเกิดแล้วรู้สึกมีกำลังทำได้สารพัดอย่าง ซึ่งสิ่งที่ตามมาจริงเท็จเราไม่รู้ แต่คนที่มีสมาธิมักเป็นอย่างนั้น พลังจากส่วนนั้นทำอย่างอื่นได้เยอะ แต่โลกเราเปลี่ยนไปแล้ว วิถีชีวิตมนุษย์ก็เปลี่ยน สังคมซับซ้อนมากขึ้น
 
L&F : คุณค่าของหนังสือคือ…
 
เป็นสื่ออย่างเดียวในขณะนี้ที่เรียกร้องสมาธิได้เร็ว แต่หนังสือนั้นต้องดี มีพลังพอที่จะจับคนให้อยู่ ต้องเป็นผลิตผลของปัญญาความคิด และจินตนาการมาผสมผสานกัน
 
เดี๋ยวนี้ที่เราบ่นว่า ทำหนังสือแล้วคนไม่อ่าน ไม่ติด เป็นเพราะทำหนังสือฉาบฉวย คนอ่านก็ต้องฉาบฉวยตามไปด้วย ลองมองไปที่นักเขียนจริงจังที่อุทิศชีวิตทั้งชีวิตให้กับงานของเขา บ้านเรามีมั้ย ยุคนี้เป็นยุคสะสมประสบการณ์ แต่ต่อไปสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีนักเขียนอย่างนั้น พระเอกทางวรรณกรรมจะเกิดขึ้น หางเครื่องอาจไม่จำเป็น และหายไปในที่สุด
 
L&F : ในอนาคตที่อยู่ที่ยืนของคนทำ และคนเขียนหนังสือจะเป็นอย่างไร
 
นี่เป็นยุคแห่งการท้าทาย เป็นยุคแห่งการต้องตัดสินใจแล้ว ถ้านักเขียนมีความเชื่อ มีศรัทธาในสิ่งที่เขาทำ และมีความมุ่งมั่นสูงพอ ปรับระบบชีวิตให้เข้ากับภาวะปัจจุบันได้ แล้วจะมีความหมาย
 
 
 
 
ผมขอยกตัวอย่าง ชาติ กอบจิตติเป็นคนน่าสนใจ เขาศรัทธาในงานที่ทำ ใช้พลังความคิด พลังปัญญาในการทำงาน งานจะใหญ่หรือเล็กอยู่ที่ปัญญาและความคิดของเขาว่า จะคิดได้ลึก และสะสมปัญญาได้กว้างขวางขนาดไหน รวมถึงการปรับตัว ปรับชีวิตไปทำบ้านอยู่ในป่า ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะมาเขียนหนังสือ แล้วทำอย่างนั้นจริงๆ แน่นอนถ้าเขาคิดอย่างอื่น อยากมีสารพัดอย่างที่ควรจะมี เขาก็คงฟุ้งซ่าน แต่เขาตัดสิ่งเหล่านั้นออกไป เขาจำกัดชีวิตจนมั่นคงพออยู่ได้ ผมชอบยกตัวอย่างให้เด็กรุ่นหลังๆดู ถ้าจะเป็นนักเขียนต้องสร้างชีวิตของนักเขียนขึ้นมาก่อน ควรรู้ขอบเขตชีวิตว่าจะทำอะไร จึงอยู่ได้ ด้วยผลงานของตัวเอง ถ้าจะโต ก็ให้โตตามผลงานที่เกิดจากตัวหนังสือ
 
ชาติไปอยู่ใกล้กับผม ชีวิตของเขาได้ตัดสินใจแล้วว่า ในชาตินี้จะไม่ทำอย่างอื่นนอกจากเขียนหนังสือ ฉะนั้นเขาจึงดูแลสิทธิผลประโยชน์ที่ควรมีควรได้อย่างระมัดระวังมาก เขียนเอง พิมพ์เอง ดูแล ติดตามเอง ขณะเดียวกันเขารู้ว่าผลผลิตหรือรายได้จากหนังสือจะมีเท่าไหร่ แล้วจัดให้ลงตัวกับชีวิต พอทำไปได้ระยะหนึ่ง เขารู้สึกว่ามีความมั่นคง ชาติเป็นนักเขียนที่มีความมั่นคง ผมเชื่อว่าเขามีสตางค์ในบัญชีมากกว่า ใครต่อใครที่ทำงานหนัก เขามีชีวิตไม่ฟุ่มเฟือย สิ่งหนึ่งที่ควรระวังอยู่บ้าง คือต้องดูโลกมากด้วย ตอนนี้ที่บ้านเขาติดจานดาวเทียมแล้ว พฤษภาคมนี้ก็จะไปหาสิ่งที่ควรรู้ที่สหรัฐอเมริกา
 
ผมไม่เคยเห็นนักเขียนคนไหนให้ความสำคัญกับงานที่ทำ แก้แล้วแก้อีกโดยไม่เบื่อหน่ายเหมือนเขา ส่งงานแล้วบางทีคิดได้ว่าควรแก้ ก็ตามเข้ามาเอากลับไปแก้เมื่อเขาให้ความสำคัญขนาดนี้ หนังสือของเขาน่าจะเป็นพื้นฐานสำหรับทั้งชีวิตและอนาคต
 
L&F : คิดว่าหนังสือยังมีพลังผลักดันสังคมได้ไหม
 
คงไม่ชัดเจนขนาดนั้น แต่งานวรรณกรรมดีๆจะยังคงมีสถานะเป็นวิญญาณของสังคม
 
สังคมที่ขาดวิญญาณ ทำให้ขาดสติและสับสน หนังสือน่าจะเป็นสิ่งทำให้คนได้คิดและสร้างจุดสะเทือน ผมชอบคำของพี่เสที่บอกว่า ถ้าจะวัดงานวรรณกรรมว่ามีพลังมากน้อยเพียงไร ดูได้จากแรงสะเทือน และปฏิกิริยาที่ตามมา ปัจจุบัน เราอาจมีสื่อหลายอย่างที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลง ถึงกระนั้นผมก็ยังเชื่อว่า งานวรรณกรรมดีๆ จะยังคงมีพลังส่งผลสะเทือนในสังคมได้ในระดับลึก
 
L&F : ชีวิตที่ผ่านความเปลี่ยนแปลงมามาก ตั้งแต่ไปอยู่ป่า ลี้ภัยไปสวีเดน จนถึงวันนี้ ได้บทสรุปอะไรให้กับชีวิตบ้างคะ
 
เป็นคำถามคล้ายๆจะตอบยาก เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ในความระหกระเหินของชีวิต คนที่จริงจังกับสังคมพอสมควรอย่างเราๆ ย่อมถูกกล่าวขวัญทั้งด้านดีและด้านร้าย ทั้งที่เป็นความจริงและความเท็จ ชีวิตที่ผ่านมา อย่างน้อยก็ช่วยให้รู้ว่า แม้ความเท็จจะมีอยู่ในโลก และถูกนำมาใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้ แต่เอาเข้าจริงๆ ความเท็จก็เป็นอาวุธที่ไม่มีประสิทธิภาพในการทำลายล้างอะไรนัก เพียงแต่ส่งเสียงอึกทึกปึงปังไปอย่างนั้นเอง ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัวจนประคองตัวไม่อยู่ หากไม่หวั่นไหวเกินการณ์ ไม่เสียขวัญและกำลังใจ วันหนึ่งความจริงก็จะจัดการกับความเท็จเอง บทสรุปเพียงแค่นี้ถือว่ามีค่าแล้ว
 
L&F : พึงพอใจกับชีวิตทุกวันนี้
 
พอใจ เพราะไม่ได้ตั้งความหวังอะไรมากมายในชีวิต เอาเพียงขอมีชีวิตที่สามารถ จะทำในสิ่งที่อยากทำ และไม่ต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ เดี๋ยวนี้ผมคิดว่าตัวเองมีสองสิ่งนี้แล้ว คิดว่านี้คือสิ่งที่เรียกว่าเป็นความสุข
 
ภาพของความสุขของคำสิงห์ ศรีนอกเจ้าของไร่และรวงรังอันอบอุ่นของมวลมิตร ในสวนอักษรนี้ยังคงฉายชัด ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด แอ่งน้ำใจไม่เคยเหือดแห้งไปเลย
 
จาก: นิตยสาร Life & Family