Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

คุณนายดัลโลเวย์

 

 
โกวเล้งกล่าวว่า มันผู้ใดคิดว่าตนเข้าใจสตรี มันผู้นั้นแหละที่ไม่เข้าใจสตรีเป็นที่สุด   ดังนั้นจึงเปล่าดายที่ผมจะมาพยายามอ่านใจสตรี ยิ่งสตรีที่เป็นนักสตรีนิยมด้วยยิ่งแล้วใหญ่   กระนั้นก็ตาม มันอดไม่ได้จริงๆ ที่จะอยากรู้นักว่านักสตรีนิยมนั้น ตั้งแต่รุ่นเจ้าแม่อย่างไซมอน ดี โบวัวร์ จนถึงจูเลีย คริสเตวา  จูเลียต มิทเชล  และนักสตรีนิยมชาวไทยคือคุณคำผกา คิดอย่างไรกับเวอจิเนียร์ วูลฟ์ และนิยาย คุณนายดัลโลเวย์  (จากสำนวนแปลของดลสิทธิ์ บางคมบาง จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ชมนาด) 
 
อันที่จริงวูลฟ์เองก็สมควรถูกจัดให้เป็นนักสตรีนิยมเช่นกัน และไม่ใช่นักสตรีนิยมธรรมดา แต่เป็นรุ่นบุกเบิกเลยด้วยซ้ำ   A Room of One's Own ซึ่งถอดความและดัดแปลงจากปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ของเธอถือเป็นตำราสตรีนิยมรุ่นแรกๆ โดยตีพิมพ์สองทศวรรษก่อนหน้า The Second Sex ของโบวัวล์เสียด้วยซ้ำ   จึงไม่เกินเลยนักถ้าจะพูดว่าเจ้าแม่สตรีนิยมอย่างโบวัวร์แท้ที่จริงก็คือผู้ยืนอยู่บนบ่าของยักษีอย่างวูลฟ์อีกที
 
สาเหตุที่งานเขียนของวูลฟ์ไม่ได้สร้างอิทธิพลและกระแสสตรีนิยมเทียบเท่านักเขียนรุ่นหลัง เพราะเธอเป็นรุ่นบุกเบิกอย่างแท้จริง   ก่อนหน้าวูลฟ์ นักเขียนหญิงผู้โด่งดังเช่นเจน ออสติน   พี่น้องบรองเต้   หรือแฮรี บีช สโตว์ ก็ยังสร้างผลงานที่อยู่ในกรอบคิดแบบผู้ชายเป็นใหญ่   ในสมัยนั้นผู้หญิงไม่มีแม้แต่สิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเลยด้วยซ้ำ   จึงไม่น่าแปลกใจที่หนุ่มสาวช่วงต้นศตวรรษที่ 20 จะตามนักเขียนล้ำสมัยอย่างวูลฟ์ไม่ทัน   แต่ขณะเดียวกันถ้าเอา คุณนายดัลโลเวย์ ไปเทียบกับงานเขียนสตรีนิยมในปัจจุบันก็จะเห็นความล้าหลังและไม่สอดคล้องกันอยู่หลายประการ   จุดนี้เองทำให้ คุณนายดัลโลเวย์ เป็นผลงานที่น่าพินิจพิเคราะห์อยู่ไม่น้อย เพราะมันยืนอยู่ตรงกลางระหว่างยุคสมัยพอดี
 
คุณนายดัลโลเวย์จับตามองตัวละครต่างๆ ที่อยู่รายล้อมคาลิสซา ดัลโลเวย์ และกิจวัตรประจำวันของนางในการจัดเตรียมบ้านให้พร้อมสำหรับงานเลี้ยงตอนหัวค่ำ   ถึงแม้นางดัลโลเวย์จะเป็นตัวละครขึ้นปกหนังสือ แต่ให้เทียบความโดดเด่นกับตัวประกอบที่เหลือแล้วก็ต้องถือว่าไม่ต่างกันไกลนัก   นอกจากจะอัดแน่นไปด้วยตัวละครมากมาย คุณนายดัลโลเวย์ยังดำเนินเรื่องโดยการสลับมุมมองระหว่างตัวละคร   บ่อยครั้งก็กระโดดข้ามมุมมองอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เช่นขณะที่เอลิซาเบธ ลูกสาวของคาลิสซากำลังดื่มด่ำกับอิสรภาพของผู้หญิงโดยการนั่งรถเมล์ชั้นสองพลาง[1] มองก้อนเมฆไปพลาง   จู่ๆ หนังสือก็ตัดไปหาเซปติมุส ทหารผ่านศึกสติไม่สมประกอบ มองเมฆก้อนเดียวกันนั้นจากห้องพักอันคับแคบขณะรอรถพยาบาลนำตัวเขาไปส่งสถานกักกัน
 
การเล่นกับวิธีเล่าเรื่องที่แปลกใหม่นี้เองสร้างชื่อเสียงให้วูลฟ์ในฐานะนักทดลองทางวรรณกรรม[2]   ในบันทึกของเธอ วูลฟ์อธิบายแนวคิด กลวิธีในการนำเสนอจิตวิทยาของตัวละครแบบใหม่นี้เอาไว้ว่า เบื้องหลังของมนุษย์ทุกคนจะมีเครือข่ายอุโมงค์ถ้ำอยู่ ระหว่างการปฏิสัมพันธ์กัน เครือข่ายเหล่านี้จะเชื่อมต่อถึงกันได้ ดังนั้น "จะรู้จัก…ใครสักคนหนึ่ง เราต้องเริ่มจากผู้คนที่มาเติมเต็มใครคนนั้นเสียก่อน"   คำกล่าวนี้ปรากฎอยู่ในคุณนายแดโลเวย์ด้วย แต่วูลฟ์เปลี่ยนสัญลักษณ์เสียใหม่จากถ้ำให้เป็น "ด้ายบางๆ "   ส่วนหนึ่งก็คงเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศวันที่แดดสดใสและดอกไม้ผลิบาน   อีกส่วนหนึ่งเพราะ "ด้ายบางๆ " เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงสตรีเพศได้ดีกว่า   วูลฟ์ตั้งใจบอกว่าบทบาทและอำนาจของสตรีมาจากการสร้างเครือข่ายด้วย "ด้ายบางๆ "   ยกตัวอย่างเช่น คาลิสซาจัดงานเลี้ยงก็เพื่อให้คนแปลกหน้าได้พบปะกันภายใต้การสอดส่องของเธอ   หรือท่านผู้หญิงบรูตันผู้ใช้ผู้ชายที่อยู่รอบตัวหล่อนเป็นเครื่องไม้เครื่องมือสร้างอิทธิพลทางการเมืองของตัวเอง
 
ตรงนี้เองที่วูลฟ์แตกต่างจากนักสตรีนิยมในปัจจุบัน   ขณะที่นักสตรีนิยมช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองได้ผสานความเชื่อของตัวเองเข้ากับลัทธิสังคมนิยม ทำให้พวกหล่อนรังเกียจการแบ่งแยกชนชั้น[3]   คาลิสซา แดโลเวย์กลับเป็นตัวละครที่โอบกอดวัฒนธรรมการแบ่งบทบาท สถานภาพทางเพศและชนชั้นไว้อย่างเต็มเปี่ยม   การจัดงานเลี้ยงสังสรรค์คือกิจกรรมที่บ่งบอกอัตลักษณ์ความเป็นผู้หญิงชั้นสูงแห่งศตวรรษที่ 19   นอกจากนี้วูลฟ์ยังสร้างตัวละคร นางคิลมา เพื่อมาเป็นคู่แค้นคู่ตรงข้ามกับคาลิสซา   คิลมาเป็นผู้หญิงยากจน อัปลักษณ์ ซึ่งครอบครัวดัลโลเวย์อุปการะไว้เพื่อให้เป็นครูสอนหนังสือแก่เอลิซาเบธ   นางรังเกียจและสมเพชผู้หญิงชั้นสูงอย่างนางจ้างตัวเองเป็นที่สุด   และถึงแม้อีกฝ่ายจะมีสถานภาพทางสังคมที่เหนือกว่า "นางเชื่อว่าตัวเองมีสิทธิอย่างสมบูรณ์ในอะไรก็แล้วแต่ที่ครอบครัวดัลโลเวย์มอบให้แก่นาง"   คาลิสซาเองก็รังเกียจคิลมาไม่แพ้กัน   สนามรบของทั้งคู่คือเอลิซาเบธ โดยฝ่ายไหนจะชักจูงเด็กหญิงให้เข้ามาอยู่ในโลกของตนได้มากกว่า[4]
 
ส่วนความเหมือนกันระหว่างคุณนายดัลโลเวย์และงานเขียนสตรีนิยมในยุคหลังๆ คือการนำเสนอภาพผู้หญิงในฐานะเหยื่อ ผู้ถูกกระทำโดยเพศชาย   ซึ่งการกระทำที่วูลฟ์เน้นว่าเป็นความรุนแรงอย่างที่สุดก็คือการลดทอนอำนาจในการสื่อสารของผู้หญิง โดยผู้หญิงที่แต่งงานและกลายเป็นภรรยาจะถูกจำกัดบทบาทให้อยู่แต่ในบ้าน ไม่มีโอกาสพบปะเพื่อนฝูงที่เคยคบหากันในอดีต   ภรรยาของทหารผ่านศึก เซปติมุส เปรียบเทียบความสูญเสียของสามีกับของตัวเองว่า "ทุกคนมีเพื่อนที่ถูกฆ่าตายในสงคราม ทุกคนยอมสละบางอย่างภายหลังการแต่งงาน"   การแต่งงานทำให้ผู้หญิงสูญเสียความสามารถที่จะสื่อสารระหว่างกัน   ทั้งที่นางดัลโลเวย์และท่านผู้หญิงบรูตันต่างมีนิสัยคล้ายคลึงกัน โดยท่านผู้หญิงบรูตันเองก็นิยมชมชอบคาลิสซาอยู่ไมน้อย แต่หล่อนกลับไม่สามารถเข้าหาหรือสนิทชิดเชื้อกับคุณนายดัลโลเวย์ได้ เนื่องจากอีกฝ่ายเป็น “ภรรยาของริชาร์ด ดัลโลเวย์”
 
วูลฟ์กระทั่งเขียนให้การลดทอนอำนาจในการสื่อสารนี้ออกมาเป็นรูปธรรม   แซลลี เพื่อนวัยเด็กของคาลิสซา เคยเป็นหญิงสาวผู้สดใสร่าเริง มีนิสัยห่ามๆ แบบทอมบอย   ครั้งหนึ่งเธอถกเถียงกับชายหนุ่ม แขกผู้มีเกียรติ โดยเธอบอกว่าผู้หญิงควรมีสิทธิเลือกตั้งทัดเทียมผู้ชาย   อีกฝ่ายโต้ตอบด้วยวิธีล่วงละเมิดทางเพศโดยการจูบปากเธอ ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าเธอจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องผู้ใด ก็ไม่มีใครยอมเชื่อเธอเลยสักคน (เพราะแซลลีได้ถูกลดทอนอำนาจในการสื่อสาร หรือถูก “ปิดปาก” ไปแล้วนั่นเอง)
 
เหมือนจะเป็นภาคบังคับว่า ถ้าพูดถึงลัทธิสตรีนิยม ก็ต้องพูดถึงประเด็นอิสรเสรีภาพทางเพศด้วย   นิยายที่นางเอกประพฤติผิดศีลข้อสามจึงมักจะได้ฉลากสตรีนิยมไปโดยปริยาย   ขอทิ้งไว้เป็นการบ้านให้นักวิชาการไปถกเถียงกันดีกว่าว่าพฤติกรรมดังกล่าวคือการปลดปล่อยผู้หญิงจากจารีตประเพณี หรือเป็นการกลับบทบาทหญิงและชายแต่ยังคงกรอบคิดแบบผู้ชายเป็นใหญ่เหมือนเดิม   ในคุณนายดัลโลเวย์ แม้จะมีตัวละครรักร่วมเพศทั้งสองเพศ แม้จะมีตัวละคร คนรักเก่าของคาลิสซาโผล่เข้ามาวนเวียนในชีวิตหล่อน แต่จนแล้วจนรอดนางดัลโลเวย์ก็ยังประพฤติตัวอยู่ในกรอบจารีตแบบผัวเดียวเมียเดียวตลอดทั้งเรื่อง[5]
 
ถึงผมจะเน้นคำว่า “สตรีนิยม” บ่อยๆ ในบทความนี้ และทึกทักเอาเองว่ามันหมายถึงอย่างนี้อย่างนั้น   แต่เอาเข้าจริงๆ   ลัทธิสตรีนิยมก็ไม่ใช่กระแสที่ไหลบ่าไปในทิศทางเดียว   ในปัจจุบันอัตลักษณ์ความเป็นผู้หญิงก็ยังคงถูกถกเถียงอยู่เรื่อยมา   ผู้หญิงประเภทไหนกันที่จะประกาศตัวได้อย่างสง่างามว่า "ฉันเป็นนักสตรีนิยม"   จำเป็นไหมว่าต้องนอกใจสามี จำเป็นไหมว่าต้องมีเงินเดือน จำเป็นไหมว่าต้องออกไปเดินขบวนเรียกร้องสิทธิ จำเป็นไหมว่าต้องสร้างงานศิลปะขึ้นมาสักชิ้น   แล้วคุณล่ะ ใช่นักสตรีนิยมหรือเปล่า
 
 
 
นั่นคือคำถามซึ่งวูลฟ์ฝากทิ้งไว้ให้คนอ่าน พวกเราทุกคน
 
[1] สมัยนั้นถือว่าการที่ผู้หญิงนั่งรถเมล์ชั้นสองเป็นสิ่งไม่สมควรเพราะเป็นการเปิดเผยตนเองต่อสายตาคนแปลกหน้า
 
[2] วูลฟ์เป็นนักเขียนในยุคเดียวกับนักทดลองผู้ยิ่งใหญ่อีกคน เจม จอยซ์ แต่ที่ตลกคือวูลฟ์ดูจะต่อต้านผลงานของจอยซ์เอามากๆ  โดยเฉพาะ Ulysses
 
[3] บทวิจารณ์ ความสุขของกะทิ โดยคุณคำผกาในนิตยสาร อ่าน เป็นตัวอย่างที่ดีของแง่มุมต่อต้านชนชั้นในนักสตรีนิยม
 
[4] เอลิซาเบธคือตัวแทนของนักสตรีนิยมรุ่นใหม่   ยุคที่เอลิซาเบธเติบโตขึ้นมาเป็นยุคที่ผู้หญิงเริ่มมีโอกาสจะร่ำเรียนและเอาวิชาความรู้ไปประกอบอาชีพใดๆ ที่เธอปรารถนาได้แล้ว   ดังนั้นจึงไม่ยากเลยที่จะมองว่าเอลิซาเบธก็คือเด็กสาวที่จะเติบโตไปเป็นไซมอน ดี โบวัวร์   จูเลีย คริสเตวา  หรือจูเลียต มิทเชล
 
[5] ล่าสุดผมไปดูละคร ช่อมาลีรำลึก โดย New Theatre Society เป็นละครแนวสตรีนิยม ซึ่งก็มีความลักลั่นอยู่ไม่น้อยในแง่อิสรภาพทางเพศของตัวเอก ที่จนแล้วจนรอดก็เหมือนขนาดผู้สร้างเองยังตีโจทย์ไม่ค่อยแตกว่าพฤติกรรมแบบไหนกันแน่ถึงจะ “เหมาะสม” กับผู้หญิงอายุสี่สิบที่มีลูกแล้วสองคน และอยากเปลี่ยนตัวเองไปเป็นนักสตรีนิยม
 
 
ภาณุ ตรัยเวช