คึกฤทธิ์คิดลึก ทศกัณฐ์วรรณกรรม บทสัมภาษณ์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช (3)ตอนจบ

อาจารย์เป็นสมาชิกของสมาคมนักเขียนหรือเปล่า
ไม่ได้เป็นหรอก
อาจารย์มองบทบาทเขาเป็นอย่างไร
ไม่ได้เป็นก็ไม่ได้มอง ผมว่านั่นแหละดี มันต้องมีสมาคมอะไร
แล้วอาจารย์รู้สึกอย่างไรที่สมาคมนักเขียนเขาให้อาจารย์เป็นหนึ่งใน 15 นักเขียนเรื่องสั้นดีเด่นในรอบ 100 ปีที่ผ่านมา
ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำ เมื่อไหร่ล่ะ
เร็วๆ นี้เอง
ยังไม่รู้เลย โอ้โฮ ขอบพระคุณมาก แล้วมีใครมั่ง
ก็มีทั้งที่มีชีวิตอยู่และเสียชีวิตไปแล้วอย่างมนัส จรรยงค์
ผมเห็นด้วย นั่นแกเก่งจริง คุณมนัส แต่แกขี้เมาไม่เอาไหนเลยนะ รำคาญตรงนี้แหละ เมาจังเลย ผมนี่รู้จักแต่นักเขียนขี้เมา คุณชิต บุรทัต ก็เหมือนกัน น่าเศร้าใจที่ใครว่าจะฉันท์อะไรต้องกินเหล้าก่อน ไม่จริง แกเขียนเวลาที่ดีที่สุด ไม่ได้กินเหล้าเลย ทีนี้สตางค์แกไม่ค่อยมีก็ต้องไปขอเหล้าตามโรงพิมพ์เขากิน
แกอยู่บ้านตอนกลางคืน แกแต่งไว้เสร็จ เพราะแกเป็นคนปัญญาดี ซึ่งความจริงเราแต่งเองเราก็จำได้ วันไหนผมแต่งกลอนผมก็จำได้นี่ เช้าขึ้นแกก็ไปตามโรงพิมพ์ ตรงกับวันเฉลิมฉลองอะไรแกก็ถามเขาว่าไม่เอาฉันท์ถวายพระพรบ้างหรือ บรรณาธิการบอกว่าดีซิ งั้นคุณชิตแต่ง แกก็บอกว่าเอาเหล้ามาขวดหนึ่ง กินกันก่อน แกก็เอาเหล้าซดตรงนั้น นั่งเขียนนิดๆ หน่อยๆ หมดไปขวดหนึ่งแกก็ขออีกขวดหนึ่ง แกเขียนได้ดีตามที่จำมา พอแกเขียนเสร็จก็เมาแล้ว (ฮา) หนังสือแกดีมาก แกกินตั้งแต่แกเป็นเพระรู้ไหม บวชวัดบวรฯ สมัยสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระวชิรญาณวโรรส ความที่แกหนังสือดี สมเด็พระมหาสมณเจ้าฯ โปรดปรานตั้งเป็นเลขานุการส่วนพระองค์ มีหนังสือหนังหาจะบอกอะไรจะให้เขียนอะไรเรียกพระชิตขึ้นไป แกก็ไปหมอบจดตามพระราชดำรัสทุกอย่าง ท่านจะเทศน์จะทำอะไรท่านก็บอกก่อน หนังสือส่วนพระองค์จะเขียนถึงใครต้องเรียกพระชิตมาจด มาร่าง มาพิมพ์ ไปใกล้ชิดพระองค์ ไปหมอบ ทีนี้ความบริสุทธิ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ท่านบวชพระมาจนไม่รู้โลกภายนอก วันดีคืนดีท่านถามพระชั้นผู้ใหญ่ในวัดบวรฯ ท่านบอกว่ามีใครเห็นอย่างฉันหรือเปล่า ว่าพระชิตนี่ไม่เหมือนคนธรรมดา ถามว่าทำไม เพราะมันมีกลิ่นอะไรก็ไม่รู้ ฉันไม่รู้นี่แต่มันชอบกล กลิ่นอะไรของมัน กลิ่นเหล้า กลิ่นละมุดนี่แหละ พระก็ไม่กล้าทูลได้แต่ก้มหน้ายิ้มไปตามกัน ใครๆ ก็บอกว่าไม่รู้ ท่านก็ไม่รู้จนตาย
เขาบอกผมเอง ว่าอยู่ไปก็บาปกรรม เลยสึก อยู่ไม่ไหวหรอก มันอายใจตัวเอง โธ่เอ้ย ถ้าอยากกินเหล้าก็สึกมากิน บวชอยู่ทำไม แต่ตอนหลังเขาก็ทำลายแกเหมือนกัน ที่จริงแกเป็นคนน่ารัก ลูกเมียแกก็ดี อ้ายฉันท์ที่แกแต่งก็ประเสริฐจริง หาที่ติมิได้ กินเหล้ามากไปมันก็ทำลาย
คุณโชติก็เหมือนกัน ตอนหลังก็ทำอะไรไม่ได้ นั่นก็จริตมาก ผู้ชนะสิบทิศ นี่ต้องเขียนบนกระดาษสีชมพูแผ่นเท่านี้ (ยกฝ่ามือให้ดู) แล้วต้องอบให้หอมด้วย แล้วก่อนจะเขียนต้องไปทำร่างกายให้บริสุทธิ์ด้วย อาบน้ำประแป้งหอม อาบน้ำแต่งตัวมาเรียบร้อยประณีตมาก เขียนส่งเรียงทีละแผ่น ไม่มีใครว่าอะไร ตอนหลังประณีตยิ่งขึ้น เขียนส่งทีละย่อหน้า (ฮา) ตอนหลังส่งเรียงทีละบรรทัด แค่ๆ นี้ส่งลงไป (ทำท่าให้ดู ผู้ฟังหัวเราะ) ช่างเรียงมันเดินขึ้นมาเตะ บอกว่านักประพันธ์อะไรวะ กูจะอดข้าวอดน้ำ ต้องคอยต้นฉบับมึง ขึ้นมาชกเอาเลย นี่ คุณรู้จักเอาไว้บ้าง คนเก่าๆ มันก็ดี แต่นี่แหละ (ฮา) ส่วนมากนักเขียนนวนิยายในสมัยนั้นเขาไม่ค่อยได้ทำอะไรกันอย่างครูอบ อย่างใครนี่ อย่างแสงทองนี่ ร้านกินเหล้าที่สี่แยกสี่กั๊กพระยาศรีนี่ มันมีร้านหนึ่ง เดี๋ยวนี้ไม่ทราบว่าเลิกหายไปไหน เช้าไปนั่งกันอยู่ที่นั่นแหละ กันกันไปเถอะครับ บางทีกินกันถึงขั้นไม่มีตังค์จ่ายเจ๊ก ต้องให้คนนั่งกินต่อไว้คนหนึ่ง คนอื่นออกไปหมุน (ฮา) ไปหาตังค์มาใช้ (หัวเราะ) จะลุกหมดไม่ได้เจ๊กมันโวย
อาจารย์ครับ แล้วที่ท่านอาจารย์เขียนป้ายที่สยามรัฐว่าห้าม…ช่างเรียง จริงไหมครับ
จริง (ฮา) มันเสียการปกครองหมดก็ปิดป้ายไว้ ก็เลยเลิก ไม่มีใครทำ ป้ายนั่นออกจะศักดิ์สิทธิ์อยู่ (ฮา)
เขียนปิดเลย
ไม่ได้เขียนด้วยซ้ำ เรียงตัวไม้เป็นแผ่นเดียวมาปิด ก็ประกาศเป็นหลักธรรมเฉยๆ ก็ไม่ได้บอกว่าใครไปทำ ไม่ได้ทำ เป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ (ฮา) ก็ตายไปแล้วคนทำกรรมอย่างนั้น
ในที่สุดก็ตายกันหมด คบๆ กันไปก็ตายายไปหมด ผมเองนี่นั่งอยู่ทำไมกระโดกกระเดก
ตอนอาจารย์ไปจีนดูในทีวีแล้วแก่
ผมเป็นคนเข้ากล้องเล่นหนังไม่ได้ เล่นได้เรื่องเดียวเลิก ถ่ายรูปถ่ายหนังออกมาแก่จมเลย ตัวจริงไม่ได้แก่เท่านั้นน่ะ (ฮา) ไม่รู้เรื่องอะไร ก็รูปที่เพิ่งลงไปถ่ายที่สภาแก่หงำเลย ผมมาดูๆ แล้ว เอ๊กูก็ไม่ได้แก่อย่างนี้ ทำไมออกมาได้อย่างนี้ได้
สุขภาพอาจารย์ยังแข็งแรง
มันก็ไม่เจ็บไม่ไข้อะไร ขามันอ่อนๆ ไป เป็นโรคเบาหวาน แต่มันก็ไม่ถึงกับเดินไม่ได้อะไร พอตะเกียกตะกายไป บางคนเขาเป็นหนักจนเดินไม่ได้ อย่างชูศรี (มีสมมนต์) นี่ นั่นแกก็เป็นเบาหวาน ไม่ได้รักษาตัวมัวแต่เล่นหนังเล่นละคร ปั๊วะเดียวนอนกลิ้งเลยลุกไม่ขึ้น เดี๋ยวนี้ยังเดินไม่ได้ตั้งนาน ต้องนั่งเล่นละครตั้งนาน สงสารแก แกไม่มีตังค์ใช้ก็ต้องเล่นละคร เดินไม่ได้ก็ต้องเล่น โธ่เอ๊ย
เล่นตลกเสียด้วย บางทีดูไม่ตลกเท่าไหร่
แต่ผมว่ายังตลกกว่าเพชฌาตความเครียด (ฮา)
แสดงว่าอาจารย์ชอบแบบไทยๆ
ไม่ใช่หรอก เขาเล่นกันเหมือนในคณะสถาปัตย์ฯ กันแล้วเอามาออกโทรทัศน์นี่ มันตลกในคณะเขานี่ อยู่จะให้ผมขันด้วย ผมไม่เห็นขัน เขาเล่นกันเฮๆ ในคณะ เขามาออกโทรทัศน์บังคับให้คนดูกันทั้งเมือง คนดูเราก็นั่งอ้าปากว่ามันตลกตรงไหน หรือใครว่าขัน ผมไม่ขันนี่ ผมยิ่งดูแล้วยิ่งเครียดใหญ่ ไม่ได้ผ่อนคลายอะไร (ฮา) เครียดเพราะอะไร ผมก็ผูกพันอยู่กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เดี๋ยวนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่ เคยเป็นครูบาอาจารย์ มีอะไรก็ช่วยกัน คณบดีเขาจะเอาอะไรเขาก็มาขอช่วย ก็ไม่เห็นเด็กจุฬาฯ ทำอย่างนี้
มันรู้สึกว่าน่าจะคมคายกว่านี้ จะเล่นก็เล่นเถอะไม่ว่า น่าจะทำให้ดีกว่านี้ นี่จะเล่นว่าไม่ตลกอย่างชาวบ้าน แต่มันไม่ตลกนะซิ อะไรก็ไม่รู้ หรือใครหายเครียด ผมไม่หายก็แล้วกัน ดูกันก็พยายามจะติดตาม
ทราบว่ายูกิโอะ มิชิมา นักเขียนญี่ปุ่นเคยมาหาอาจารย์
มา ก่อนจะกลับไปฆ่าตัวตาย
เขามาบอกอะไรหรือเปล่า
ก็ไม่เห็นมีอะไร ก็มาคุยเหมือนกับคนบ้านั่นแหละ ตามันก็ขวางแล้ว เมื่อตายก็ไม่ได้แปลกใจ (ฮา) พวกฆ่าตัวตายนี่ผมไม่แปลกใจน่ะ พวกตาขวางนี่ พอรู้ว่าฆ่าตัวตายเออแล้วไป เราก็เห็นแล้ว เหมือนชามที่วางอยู่หมิ่นๆ อย่างนี้ (เอาชามไปวางไว้ที่ขอบโต๊ะ) เราเดินผ่านเห็นก็คิดว่าเออมันแตกแน่ พอรู้ว่าชามนั่นแตกแล้ว เออ (ไอ)
แล้วคนบ้าชอบมาคบกับผมด้วยหรือผมจะบ้าเองก็ไม่รู้ (ฮา) คนขี้เมาหนึ่ง บ้าหนึ่ง ชอบเสียจริง รักที่สุดเห็นที่ไหนมันก็เข้ามาหา
เขาว่าคนบ้ากับอัจฉริยะนี่อยู่ใกล้กัน
ผมนั้นไม่ได้อัจฉริยะ แต่มันชอบ ไม่รู้มีอะไรใกล้ชิด คงบ้าด้วยกันล่ะมั้ง เราก็ไม่ได้ถือสา บ้าดี คบกันได้ก็คบกันมา เสร็จแล้วคนบ้าไปทำอะไรก็ไม่แปลกใจ
อาจารย์ครับหมาในเรื่องสั้นเรื่องมอมนี่ มีตัวจริงหรือเปล่าครับ
ไม่มีหรอก นั่นเขียนเพราะคนรักหมา หมามันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะหมาทุกตัวเป็นอ้ายมอมทั้งนั้น มันอยู่ในใจ อยู่ในตัวมัน เราเลี้ยงหมาเรารู้ ลักษณะหมาเป็นอย่างไร รักเจ้าของเป็นอย่างไร นั่นคือธรรมะของหมา
อ้ายเสือใบนี่ก็เป็นอ้ายมอมตัวหนึ่ง คืออย่างว่า มันชักจะหลงๆ ราวกับคนอายุร้อยกว่าแล้ว เพี้ยนหน่อยๆ มันอยู่ติดตัวผม อยู่แถวนี่แหละไม่ไปไหน ตอนกลางคืนก็นอนด้วยกัน นอนติดตัวผม กินข้าวคลุกมาให้มันก็ไม่กิน ต้องกินสำรับเดียวกับผม
ที่ว่าหมาไทยเวลานั่งแล้วหันหน้าออก
มันเป็นสัญชาตญาณครับ มันเป็นหมาป่ามันต้องเข้าฝูง หมาฝรั่งมันไม่ใช่หมาป่าแล้ว มันเป็นลูกหมาไม่โต หมาไทยนี่ยังเป็นหมาป่าอยู่ หมามีสองตระกูล พวกหนึ่งกลายจนหมดความเป็นป่าแล้ว คือหมาฝรั่งทุกตัว ไม่ว่าจะหมาพันธุ์ไหนอยู่ในตระกูลนี้ทั้งนั้น ตระกูลหมาทอง ส่วนหมาไทยยังอยู่ในตระกูลหมาป่า สัญชาตญาณมันเป็นอย่างนั้น อยากจะนอนมันต้องวนเจ็ดรอบแปดรอบ เหยียบหนามเหยียบไหน่ก่อนนอน (ไอ) แล้วมันรักเจ้าของมาก มันมีสัญชาตญาณระวังภัยมาก นี่ผมมีหมา 2 ตัวนะ อ้ายสามสีนี่เป็นหมาฝรั่ง อ้ายเสือใบนี่หมาป่า (เลื่อนรูปหมาทั้งสองตัวให้ดู) ไปเที่ยวเชียงใหม่ด้วยกัน ไปด้วยรถยนต์ สรุปว่าอ้ายนี่ (สามสี) เป็นฝรั่ง เป็นทัวร์ริสต์อาศัยรถมาเที่ยว สนุกฉิบหาย นั่งชมเมืองชมไม้ อ้ายตัวนี้ (เสือใบ) ไม่มีความสุขหรอก มันเฝ้าผม มันคอยเฝ้าป้องกันภัยอยู่เรื่อย อ้ายนี่มันคนละหน้าที่กัน อ้ายนั่นเป็นฝรั่งอาศัยไปเที่ยวแท้ๆ เทียว มีความสุขที่สุด หน้ามันซิ นั่นมันฝรั่งล่ะแล้วมันก็น่ารัก
ถ้าเรื่องรักเจ้าของมันก็รักกันทั้งนั้น แต่มันแสดงออกคนละทาง
ตัวไหนล่ะที่เคยแสดงหนัง
นั่นแหละตัวนั่นแหละ (สามสี) แสดงกับคุณสมบัติ เมทะนี คุณเนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ (ฮา) แล้วเล่นตามสคริปเป๊ะนะ ผมก็ว่าหมามันจะไปเล่นตามสคริปได้อย่างไร คุณสุพรรณ (บูรณพิมพ์) ก็ว่าไม่เป็นไรค่ะ ลองดู ก็ถ่ายกันอยู่ที่ศาลานั่น ผมก็ไม่สนใจ ขึ้นนอนกลางวัน สามสีก็ขึ้นไปด้วย พอจะเข้าคิว นายหละบอกว่าสามสีไปเล่นหนังมันก็ไม่มา นายหละก็อุ้ม มันก็โฮกฮากเข้าใส่ ก็เอามาปล่อยตรงนี้ มาถึงมันก็เข้าคิวเลย ในบทนั้นมันจะต้องมานั่งกับคุณเนาวรัตน์ แล้วคุณสมบัตินี่จะต้องเอาขนม ตั้งใจจะวางยาให้คุณเนาวรัตน์ ยาเสน่ห์อะไรก็ไม่รู้ แต่ให้หมาคุณเนาวรัตน์กินก่อน หมามันก็ไม่กิน พอยื่นให้อ้ายสามสีก็ไม่กินตามบท แล้วตามบทนั้นพอไม่กินแล้วต้องหันไปมองตาคุณเนาวรัตน์อย่างลึกซึ้งกับคุณเนาวรัตน์ แสดงหนเดียวคัทเลย ผู้กำกับบอกว่าใช้ได้ตลอดเลย มันเก่งมาก ผมว่าโอ้โฮ
คือมันเก่งยิ่งกว่านั้น มันอยู่ทางห้องนี้ ประเดี๋ยวคุณสมบัติวิ่งมา แกหัวเราะก๊ากๆ ว่าเฮ้ย อ้ายสามสีมันเก่งกว่ากู ถามว่าทำไม คืออย่างนี้ คุณสมบัติเขาก็รัก เอาไปกอดไปรัด กอดจูบกันสนิทมาก อ้ายสามสีมันก็แข็งขึ้นมา (ฮา) คุณสมบัติพอเห็นก็วิ่งหนี ว่าแกกอดดารามามากยังไม่แข็งเลย อ้ายนี่มันเก่งกว่า เอากับมันซิ มันแข็งขึ้นมาแล้ว (ฮา) คุณสมบัตินี่สัปดน ไม่ใช่ผม (ฮา) ว่าแหมมันเก่งจริงๆ (หัวเราะ)
แล้วตัวที่หายไป
อ้ายนั่นตายไปนานแล้ว อ้ายสีหมอก ได้คืน หลับมาเอง นั่นก็รักมาก แต่อ้ายนี่ (เสือใบ) อยู่จนแก่จนเฒ่า ดูสิมันนั่งหันหลังให้ผมเห็นไหม (ชี้ให้ดูภาพที่วางไว้บนโต๊ะ) แต่ก่อนมันเกิดใหม่ๆ หูตั้งทั้งสองข้าง พอแก่ลงเป็นอะไรที่ปลายหูหมอเขาผ่า ปลายหูเลยตกพับลงมาข้างหนึ่ง เก๋ไปอีกแบบ (ฮา)
อาจารย์ลองเปรียบเทียบระหว่างคนกับหมา
เปรียบกันไม่ได้หรอก เดี๋ยวผมเปรียบคนกับหมา คุณก็ว่าให้ผมเปรียบคนกับช้างอีก (ฮา) คนละโครงสร้างกัน อย่าเอาไปเปรียบ เลี้ยงหมาก็รักมันเป็นหมาก็แล้วกัน อย่าไปนึกอย่าไปเทียบ คนมันเป็นสัตว์ประเสริฐจะไปเทียบกับสัตว์ไม่ได้ คนไม่ว่าจะเป็นคนเลวอย่างไรก็ยังประเสริฐอยู่ มีสติปัญญา
รวมทั้งคนเลวด้วย
คนเลวด้วย คนมันเกิดมามีปัญญาทั้งนั้น แล้วแต่บุญแต่กรรม ถ้าใครไม่ฝึก ไม่ใฝ่ดีมันก็ชั่วไปเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าตัวเขาชั่ว กรรมมันชั่ว ส่วนหมามันแค่ไหนแค่นั้น จะฉลาดแค่ไหนมันก็ฉลาดอย่างหมา เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ มันถึงที่สุดไม่ได้ มันอยู่ใต้สัญชาตญาณมากกว่าเรา คนนี่มันเหนือสัญชาตญาณของสัตว์ เหนือมาไกล
แล้วที่อาจารย์ว่าจะไม่เลี้ยงอีก
มันเศร้าใจครับ คืออย่างที่บอกจริงๆ แต่ก่อนนี่เรารู้นี่ว่าหมามันต้องตายก่อนเรา รักตัวไหนเป็นห่วงกลัวมันจะตายก่อน ตลอดชีวิตมาหละก็ตายก่อนจริง ทุกข์มากี่สิบตัวแล้ว ถึงเวลานี้มันไม่ใช่อย่างนั้น เรามันแก่ลงกลัวตายก่อนหมา แล้วเราก็รู้ว่าหมามันรักเจ้าของ เจ้าของมันตายมันวุ่นวายเหมือนกัน ไม่กินข้าวกินน้ำตายตามกัน ทุเรศ เราก็ไม่รู้ว่าหมามันเป็นอย่างไร อายุเท่านี้ไม่เลี้ยงหมาอีกแล้วกลัวตายก่อนหมา สงสารมัน ถ้ามันตายก่อนก็ดีกว่า เราหักใจได้
ก็อ้ายนี่แหละ (เสือใบ) เพื่อนหมามัน (สามสี) ตาย มันโทรมไปเลย จริงไหมเจ๋ง (หันไปถามคนสนิท) ทีแรกก็ไม่แก่ วิ่งเล่นอยู่ตามประสามัน พอเพื่อนมันตายเป็นตาแก่ไปเลย ชักจะหลงใหลแล้ว (ฮา) มันไม่เข้าใจความตาย มันรับไม่ได้ มันไม่รู้ว่าเพื่อนมันหายไปไหน สงสารมัน
ผมมีบ้าน 2 บ้าน ที่บ้านเชียงใหม่มันก็เคยไปกันทั้ง 2 ตัว ตอนที่สามสีตายมันก็เห็นแต่มันไม่รู้ ตอนฝังมันก็ดูไม่ได้ เอาเพื่อนมันไปฝังมันก็ไม่ชอบ เสร็จแล้วมันก็คงลืมแล้ว อีก 2-3 เดือนพามันไปเชียงใหม่อีกตัวเดียว แหมพอรถจอดเท่านั้นแหละไปถึงบ้านมันลงมันค้น สงสาร ผมแทบจะร้องไห้ มันทั้งร้องทั้งค้นหาทุกห้องเลย สามสีอยู่ไหน เพื่อนมันอยู่ไหน มันนึกว่าเพื่อนมันตกค้างอยู่ที่นั่น ความจำมันได้แค่นั้นแหละ มันไม่เหมือนคน แต่เราก็รู้ว่ามันสุจริต ความรัก ความเสียใจ มันก็มี คนนี่ใช้เหตุผลได้ แต่เมื่อไม่ใช้ก็ตามใจ ตัวใครตัวมัน
อาจารย์มองบ้านเมืองเป็นอย่างไร
เมืองไทยนี่คุณ จะเอาอะไรกันหนักหนา รัฐบาลเป็นอย่างไรประชาชนก็ควรได้รับอย่างนั้น เพราะประชาชนก็ใช่จะวิเศษอะไรหนักหนา รัฐบาลเลวคนก็มีส่วนทำให้รัฐบาลเลว ถ้าคนมันดีก็รีเสริฟท์ให้รัฐบาลดี สุภาษิตสันสกฤตว่า ผู้ปกครองเป็นอย่างไรคนก็เป็นอย่างนั้น
ธรรมดาอาจารย์มีเวลาเป็นส่วนตัวบ้างไหม
ไม่มี ถามเลขาดูสิ
ยังเป็นพระนอนวัดโพธิ์เหมือนเดิม
มันไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นผู้ช่วยพระแก้ว (ฮา) คือคนมาขอนั่นขอนี่พระนอนวัดโพธิ์นั่นเราไปนมัสการเรา ไปฮือฮาว่าท่านองค์ใหญ่เฉยๆ นี่ไม่ใช่ นี่มาอธิษฐาน ขออะไรมันก็ไม่รู้ ติดสินบาทสินบน
อยู่ๆ เขียนหนังสือมาบอกว่าจะให้ผมนี่ไปบอกรัฐบาลว่าอย่าซื้อเอฟ.16 เลย ให้ซื้ออะไรนะ เอฟ.20 ดีกว่าถูกกว่า ค่ารักษาก็ถูกกว่า ความบินเร็วคล่องแคล่ว ในการรบก็ได้ผลกว่า มันก็น่าฟัง มันไปพังวรรคสุดท้าย ว่าถ้าท่านไปเจรจาทำอย่างไรให้รัฐบาลเลิก เอฟ.16 มาซื้อ เอฟ.20 ได้ ผมจะให้เงินท่าน 200 ล้านบาท พังฉิบหายเลย (ฮา) ผมจะเอาใส่กรอบติดบ้านสักวัน ใครมาจะได้อ่าน นี่มันเป็นอย่างนั้นไปหมดแล้ว คนไทยชอบได้ของอะไรง่ายๆ โดยไม่ต้องเสียแรงงาน แล้วเราก็ส่งเสริมอย่างนั้น รายการโทรทัศน์นะ ตอบปัญหาชิงรางวัลอะไรกันนี่ รางวัลมากมายเหลือเกิน ไปแสดงความโง่ผิดๆ ถูกๆ เดาๆ เอาประเดี๋ยวมันก็ได้ ไปสอบปรนัยเอา (ฮา) กาผิดกาถูกก็ได้ ดีไม่ดีรวยไปเลย รถยนต์ โทรทัศน์ ตู้เย็น ขนกันไม่หวาดไม่ไหว อย่างนี้ทันสมัยมาก ถูกใจคน คนก็ชอบได้ของอะไรโดยไม่ต้องทำงาน ที่ได้เปล่าๆ นี่ก็ดี
ไม่ใช่ว่าไม่หนักใจ มันหนักนะ แต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ต้องอดต้องทนแก้นิดแก้หน่อยได้ก็ต้องพยายาม ไม่ได้เป็นพระแก้วนี่ เป็นเพียงผู้ช่วยเท่านั้นเอง
ไปไหนมาไหนคนไหว้รับไม่หวาดไม่ไหว ลงบันไดขาเราก็อ่อนจะตกกระได มาไหว้กลางกระได ถ้าไม่รับไหว้ก็หาว่าเย่อยิ่ง ยโส ถ้ารับไหว้ก็เสี่ยงชีวิต ต้องปล่อยราวมาไหว้ (ฮา) โธ่ ไม่รู้จักเห็นใจกันบ้าง กลัวที่สุดเลยที่คนมาไหว้กำลังลงกระไดนี่ ยกมือปล่อยราวบันไดนี่เสียหลัก ขนาดว่าตกลงมาแล้วมันต่อไม่ติดแล้วนี่ คนมันล้มตายไม่รู้ตัว เด็กซิมันล้มโตไหว้กันเสียจังเลย
หนังสือที่ขายอยู่นี่อาจารย์อ่านอะไรบ้าง
อ่านทุกชนิด ไม่ว่ามีอะไร นิตยสารอะไรก็ขอให้ผ่านตา อะไรไม่สนใจก็ทิ้งไป อะไรสนใจก็อ่านมาก อ่านหลายอย่าง อ่านจนมิถุนา (ผู้ฟังหัวเราะ) ไม่งั้นจะไปรู้เขาเรอะว่าใครไปทำอะไรกันที่ไหน อะไรก็ไม่รู้ หนุ่มสาวอะไร ลลนาอะไรนี่
ส่วนใหญ่เขาส่งมาให้อาจารย์
ส่งมาให้ ศิลปวัฒนธรรมอะไรของคุณสุจิตต์ วงษ์เทศ ก็อ่านของแก
อาจารย์ครับ แล้วถนนหนังสือเป็นอย่างไรบ้าง
ยังไม่คุ้นพอ (ผู้ฟังหัวเราะ) ความจริงแล้วถนนหนังสือนี่เขียนเฉพาะเรื่องหนังสือเท่านั้น ผมบอกแล้วว่า ผมเองไม่ได้เห็นการเขียนหนังสือเป็นเรื่องใหญ่ มันมีประโยชน์สำหรับคนที่เขาเขียนหนังสือเป็นอาชีพ มันมีประโยชน์มาก แต่ผมนี่เขียนหนังสือด้วยการระเบิดเสียแล้ว มันก็เลยไม่ค่อยจะเข้ากับตำรับตำรา แต่ที่ให้ความรู้ได้ว่าใครเขาเขียนอะไรมั่งอันนี้ดี
อาจารย์มีหนังสือเล่มไหนอยู่ในใจที่หยิบอ่านอยู่เรื่อย
ไม่ค่อยจะมีหรอก ส่วนมากอ่านแล้วจำได้เสียหมดเลย อย่างขุนช้างขุนแผนเอามาโค้ดเล่นได้เลย (ฮา) ต้องเปิดตำราอะไรกันอีก เหมือนกับท่องสวดมนตร์ได้แล้ว มันรู้หมดแล้วแม้แต่ของครูแจ้ง
ครูแจ้งนี่ผมนับถือ ต้องไปอ่านที่หอพระสมุด ไม่มีใครเขาพิมพ์แล้ว แกมีรายละเอียดดี อธิบายดี บทอัศจรรย์ของแกไม่ค่อยอุปมาเท่าไหร่ งัดอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้หัวแดงก่ำอะไรอย่างนี้ (ฮา) มันเหลือเกินที่จะเอามาพิมพ์ในสมัยนี้ แต่รายละเอียดอื่นๆ แกก็ดี จะส่งตัวลูกสาวแม่เขาสอนละเอียดจนกระทั่งวิธีอยู่กินกับผัว จะทำกับข้าวอย่างไร กับข้าวที่ทำให้ผัวกินแล้วโป๊วทั้งนั้น ขึ้นต้นแกก็สอนดีๆ ว่า อันการปฏิบัติของสตรี ทำดีแล้วชายไม่หน่ายใจ สู้เจียมตัวปฏิบัติคอยจัดแจง ถ้าเขาแข็งแล้วอย่าขัดอัชฌาศัย (ฮา) รู้จิตผัวว่าสมัครรักเท่าไร ก็ยักย้ายส่ายให้ถูกใจกัน นี่มันก็เป็นความรู้ (ฮา)
ครูแจ้งนี่แกเป็นครูใหญ่จริงๆ ทำกับข้าวกับปลาแกบอกหมด อนึ่งต้มตีนหมูดูให้แน่ ถ้าเปื่อยแท้จึงคั่วถั่วทองใส่ มะขามเปียกรสชาติมักขาดไป ต้องสอดใส่น้ำส้มจึงกลมละมุน หนึ่งไข่ไก่อังไฟแต่ห่างๆ พอเป็นยางมะตูมต่อยออกข้นขุ่น เอาไม้คนให้ขาวราวกับวุ้น น้ำปลาญี่ปุ่นเยาะหน่อยซอยหอมลง ไปเจอน้ำปลาญี่ปุ่นมันกินกันอย่างนั้นจริงๆ เออ อย่านึกว่าแกไม่รู้นะ ไข่ไก่อังไฟนี่ญี่ปุ่นก็กิน แล้วมีอะไรอีก อย่างปลาไหลต้มข้าวสาร แล้วแกไปสรุปความตอนท้ายว่า อุตส่าห์จำทำให้ผัวกินลอง ล้วนแต่ของมีกำลังทั้งสามสิ่ง ทำให้กินเนืองๆ เปรื่องขึ้นจริงๆ ทุกสิ่งเป็นของแท้เป็นแน่นอน ทำให้กินทุกวันหมั่นสำเหนียก แม้อ่อนเปียกก็จะแข็งเป็นไม้ท่อน พอตกค่ำขึ้นท้ายไม่หลับนอน พายเรือคอนเหยาะๆ จนเคาะระฆัง (ฮา) ตายเลยเชียว (หัวเราะ) หนังสือไทยมีอะไรเยอะที่น่าจดน่าจำ
แล้วอย่างสรรพลี้หวนอาจารย์อ่านหรือเปล่า
อันนั้นผมไม่สนใจ ผมเห็นเชยก็สายัณห์ สัญญาอย่างนั้นไม่เอา นัดพบ นพรัตน์เชยแหลก
อาจารย์ครับ คุณเปรม ติณสูลานนท์นี่มีอะไรเหมือนกันบ้างหรือเปล่า
โอ ตอนนั้นคุณเปรมยังไม่เกิด ยังไม่รู้จัก ไม่รู้อยู่ไหน ยังเป็นปลายอ้อปลายแขม 30 กว่าปีนี่ คุณเปรมเป็นอะไรในตอนนั้น นายพันก็ยังไม่ถึง ไม่รู้เรื่องเลย ไม่ได้คิดเปรียบอะไร แม่คุณเปรมอาจจะอ่านสี่แผ่นดินแล้วตั้งชื่อลูกก็ได้ ผมยังไม่รู้ (ฮา) พอมีลูกชายออกมาตั้งชื่อเปรม ไม่แน่หรอก (หัวเราะ) ของมันเก่าๆ อยู่ (ฮา)
ตั้งแต่สิบโมงกว่า นี่เที่ยงกว่าแล้ว เดี๋ยวอาจารย์จะได้ทานข้าว
เอาเถอะ เชิญเถอะๆ หรือจะอยู่กินเหล้ากันคนละถ้วยก่อน
ขอบพระคุณครับ
ตัวละครในเรื่องหลายชีวิตนี่ท่านได้คาแรกเตอร์มาจากคนจริงๆ มากน้อยเพียงไร
ทั้งนั้นเลย ไอ้ผลยี่เกผมก็รู้จักตัวจริงๆ มันยี่เกแถวนั้น แล้วเพลงที่ผมโค้ดเอามามันร้องจริง ไอ้ผลเป็นคนลาดปลาดุก อยู่ใกล้ลาดชะโด
อ้ายลอยนี่อาจารย์ได้จุดเริ่มต้นมาจากไหน เห็นพูดถึงหลายครั้งแล้ว
ก็ไม่รู้ แต่รู้สึกว่ามันชั่วดี มันไม่มีอะไรดีเลย คนอะไรอย่างนั้นก็ไม่รู้ ผู้มีพระเดชพระคุณเลี้ยงมันมาแต่อ้อนแต่ออกมันฆ่าเล่นสบายเลย
แล้วสหายแกว่นล่ะอาจารย์
อ้ายแกว่นนั่นผมเอาอย่างเขามาเอามาจากหนังสือก้าวหน้าตอนนั้น ออกกันมาจนกระทั่งครูบาอาจารย์ร้องไห้ร้องห่ม ฟ้องมาว่าเด็กตอบข้อสอบเป็นสำนวนก้าวหน้าของคุณอิศรา อมันตกุลไปหมดแล้ว เป็นต้นว่าคำถามประวัติศาสตร์ให้เขียนถึงพระมหากษัตริย์บางพระองค์ เด็กตอบมาว่ากษัตริย์คนนี้ขี้ขลาดที่สุดอะไรอย่างนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับประชาชนเลย ไปโน่นแล้ว ครูก็เดือดร้อน จะให้ผมช่วยแก้ไข ผมก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ผมไม่ใช่ครูบาอาจารย์มันจะแกก็ไม่ได้แล้ว
เมืองไทยคุณจำไว้ จะแก้ปัญหาง่ายที่สุด ทำให้หัวเราะเสียเถอะ รัฐบาลไหนก็อยู่ไม่ได้ จอมพล ป. นี่พังจริงๆ ผมหัวเราะกิ๊กเดียวนี่พังเลย (ฮา) สยามรัฐตอนนั้นเป็นตลกรายวัน หัวเราะกันใหญ่เลย นี่เรื่องมันอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นอ้ายนวนิยายก้าวหน้า ผมก็เริ่มหัวเราะซิ ผมก็เขียนแบบนั้นแหละ ให้เหมือน แต่อ่านแล้วให้ตลกเรื่องมันเป็นอย่างนั้นครับ มันก็เลยเลิก เดี๋ยวนี้มันไม่มีแล้วเห็นไหม ตอนนั้นมันกำลังรุ่งเรืองมาก พอไผ่แดงออกมามันอ่านกันแล้วก็หัวเราะกันทั้งนั้น ว่าเอไม่รู้จะเขียนอย่างไรก็เลยเลิกกันดีกว่า เดี๋ยวได้เฮฮากันใหญ่หรอกเขียนไปเขียนมา
กับพวกนักเขียนก้าวหน้าตอนนั้นไม่ทราบว่าอาจารย์รู้สึกกับเขาอย่างไร
ผมเห็นว่าเป็นสไตล์การเขียนที่ไม่น่าจะส่งเสริม มันแคบ แล้วมันข้างเดียว จนในที่สุดลืมชีวิตอื่นหมด บ้าแต่ก้าวหน้ากัน ผมก็เลยเขียน ไผ่แดงเพื่อจะระงับการอ่านนั้นให้เป็นตลกไปเสีย แล้วก็ออกจะระงับได้ด้วย ไผ่แดง มันก็เป็นนิยายก้าวหน้าเรื่องสุดท้าย (ฮา) เอาไปอ่านซิสำนวนนั้น คุกตะรางไม่สามารถจะขังเสรีชนได้ (ฮา) สมภารแกก็เอามั่ง เพราะชักจะดีขึ้นมาแล้ว
นี่ธรรมศาสตร์ก็มาเกณฑ์ให้ผมเขียนหนังสือ ธรรมศาสตร์จะหล่อพระพุทธรูปขาย จะเป็นวัดแล้ว (ฮา) ผมก็อนุโมทนาว่าโอ้โฮ ฉลาดนี่ จะให้ผมเขียนเรื่องพระพุทธสิหิงค์ ทั้งพุทธสิหิงค์จำลอง พุทธสิหิงค์วังหน้า อยู่ในขบวนการเดียวกันกับธรรมศาสตร์ ทำไปจนถึงพระกริ่งพระอะไร จะทำเป็นหนังสือ แล้วเขาให้ผมเขียนเรื่องพระพุทธสิหิงค์ ผมก็บอกว่าอาจารย์ครับผมเขียนไม่ได้ ความเห็นไม่เหมือนใคร อาจารย์ก็บอกว่านั่นสิ ดิฉันก็ได้ยินมาแล้ว อยากได้อันนั้นแหละเอาไปลง ถ้าอย่างนั้นก็จะเขียน
สังคมไทยเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไรเรื่องเงินๆ ทองๆ
มองไปทางไหนมันเจอสตางค์หมดเลยคุณ จะเอากันท่าเดียวทั้งนั้น แหม ผมก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ขี้เกียจเต็มที เอฟ.16 ในที่สุดนั่นแหละ (ฮา) ขนาดเอฟ. 20 มัน 200 ล้าน แล้ว เอฟ 16. มันสักเท่าไหร่ถึงได้เสียงแข็งกันนัก คิดเอาเองเถอะครับ ผมไม่รู้จะพูดอย่างไรถูก ขี้เกียจพูดแล้ว หนักใจจริง
แล้วในดินที่ขุดเจอ
ดินที่ไหน
ที่บ้านแม่ชม้อย
อ้อ อ้ายนั่นเหรอ พอรู้ว่าจะรุกรานแก แกก็ฝังเหมือนคนกรุงเก่าก่อนกรุงจะแตก (ฮา) แกกลัวกองทัพคุณสมหมาย (ฮา) คุณสมหมายยกทัพมาแกก็ฝังนะสิ ทีแรกแกก็ไม่ฝัง อยู่ของแกสบายๆ ไม่ผิดอะไรนี่ ไม่มีใครว่าอะไร พอคุณสมหมายบอกว่าเอาเลยฟันซ้ายป่ายขวาแกฝังเลย กลัวดาบซามูไร ไปดูหนังญี่ปุ่นซิ มันตั้งท่าอย่างนี้ (ทำท่า) ฟันซ้ายตายขวา อ้าวข้างนี้ตายไปแล้วคนอะไร ไปดูซิ ศัตรูอยู่รายรอบ ฟันฉับอ้ายนี่ไม่ได้ไปไหน แต่อ้ายนั่นตาย
ระหว่างซามูไรกับกำลังภายในของมันนี่อาจารย์คิดว่าใครเหนือกว่ากัน
คือซามูไรนี่พอเห็นจริง นอกจากฟันซ้ายตายขวา ปลายดาบมันตวัดอย่างไรเราจับไม่ทัน กล้องจับไม่ทัน แต่กำลังภายในนี่มันเกินการณ์ แสงนั่นมันออกมาจากนิ้ว หน้าแดงก่ำ โดนใครเลือดออกมาทางปากทางจมูก
อาจารย์อ่านไหมครับกำลังภายในนี่
นานๆ ก็อ่าน ไม่มีอะไรจะอ่านก็หยิบหนังสือพิมพ์รายวันมาอ่าน ที่เขาลงหนังโทรทัศน์ แต่คนจีนเขาก็ยังนับถือเขาเหลียงซาน บางคนเป็นคอมมิวนิสต์แท้ๆ มาบอกผมว่าเป็นศิษย์เก่าบู๊ตึ๊ง (ฮา) เออ ผมก็ตกใจช็อคไปเลย คอมมิวนิสต์ห่าอะไร ผมว่ามันน่าจะฉลาดกว่านั้น พูดกันหน้าเฉยเลยแล้วไม่ใช่แก่อะไร แล้วบอกว่าอย่าไปดูถูกนะเรื่องไสยศาสตร์ มันจริงนะอ้ายหนู ต้องเชื่อถือให้ได้ผลจริงจัง แต่แกเกลียดก๊กมินตั๋งจัง ใครไปแกก็ด่าก๊กมินตั๋งให้ฟัง ว่าโอ๊ยก๊กมินตั๋งไม่ทำอะไร เช้าขึ้นมามันก็เก็บภาษี เก็บภาษีทุกอย่าง มันไม่เก็บอยู่อย่างเดียว ตดป้าบออกมามันไม่เก็บ (ฮา)
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นี่ท่านปรีดีเป็นผู้ก่อตั้ง แต่ทำไมคนสังเกตว่าอาจารย์ผูกพันกับธรรมศาสตร์มาก แม้เรื่องโขน เรื่องอะไร
ก็ผมไม่ได้ผูกพันกับท่านปรีดี แต่ผมผูกพันกับธรรมศาสตร์ เด็กธรรมศาสตร์ไม่ได้บ้าท่านปรีดีอย่างที่คนนึก ใครตั้งก็ช่าง มันจะมาเรียนหนังสือ มันมีกิจกรรม มันก็อยากเป็นคนดี มันไม่มีอะไรอย่างที่คนไปสงสัยบ้าๆ บอๆ คนไปกาหน้าว่าพวกธรรมศาสตร์เป็นพวกท่านปรีดี ใครเกลียดท่านปรีดีแล้วเป็นศัตรูกับธรรมศาสตร์ผมเห็นว่าไม่ถูก นักศึกษาธรรมศาสตร์ไม่ได้เป็นอย่างนั้น เขาก็เรียนกันโดยสุจริต เขาตั้งมหาวิทยาลัยมา เขาก็ไปเรียน แต่ต้องคิดถึงบุญคุณท่านในฐานะที่ก่อตั้ง ต้องคิด แต่ไม่ใช่ว่าจะผูกพันกันทางการเมืองว่าเป็นพวกท่านปรีดีไปหมด
มี ดร.อดุลย์ (วิเชียรเจริญ) นี่นักศึกษามันเขียนบ้าอะไรไม่รู้ ไปคั้นไปชำระว่าระหว่างในหลวงกับปรีดีนี่จะเลือกใคร ก็ไปถามมันซึ่งๆ หน้าอย่างนั้น มันก็ต้องบอกว่าเลือกท่านปรีดี เด็กมันกำลังหนุ่มมันก็ยัวะขึ้นมามั่ง แล้วไปเอาเรื่องเอาราวใหญ่โต ผมก็โวยว่าอย่างนี้ทำไม่ถูก ถามทำไม เรื่องอย่างนี้ไม่ต้องถามนี่ จะเปรียบกันได้หรือ คุณอดุลย์นั่นแหละไม่ถูก ถ้าจะว่าใครคิดกบฎคุณอดุลย์นั่นแหละคิดกบฎ เอาในหลวงไปทาบกับท่านปรีดี คนละเรื่องคนละเพลงกัน อย่าไปถาม ถามเด็กๆ มันก็ยั่วโมโหมัน เด็กหนุ่มนี่ไม่มีสติมันก็ตอบมาบ้าๆ จะไปเอาผิดมันได้เหรอ
แต่ผมก็ไม่ได้เป็นศัตรูกับท่านปรีดีน่ะ ท่านก็ทำเรื่องของท่าน ผิดชอบชั่วดีมันก็ปรากฎผลแล้ว ส่วนท