Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

คึกฤทธิ์คิดลึก ทศกัณฐ์วรรณกรรม บทสัมภาษณ์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช (2)

เรื่องหลายชีวิตนี่อ่านจากประวัติอาจารย์เขาบอกว่าไปล่องเรือแล้วเกิดความคิดกันขึ้นมาใช่ไหมครับ
 
ไปรถยนต์ มีชอบ มณีน้อย, สละ ลิขิตกุล ใครต่อใครหลายคน วิลาส มณีวัต นั่งรถยนต์จะไปเที่ยวศรีราชากันสนุกๆ ไปกันหลายชั่วโมงกว่าจะถึง โอ้โฮ หลุมบ่อ ก็ไปเห็นสะพาน รถมันตกสะพาน เห็นซากรถก็คิดว่าคนคงตายเยอะ ก็พูดกันขึ้นมาแบบคนโบราณว่า เอ๊ะ นี่ทำกรรมอะไรกันมาทำบุญอะไรกันมา ต่างชีวิตต่างอะไรกันมาจากไหนก็ไม่รู้มาตายพร้อมกันทีเดียว แล้วมีใครว่า เออน่าคิดนะ ทำไมเราไม่แต่งนวนิยายย้อนหลังกลับไปดูว่าเขาทำกรรมอะไรกันบ้างก็ตกลงกัน นักเขียนใหญ่ๆ ทั้งนั้นที่ไปกัน อบ ไชยวสุ ใครต่อใคร ก็ว่าเอาอย่างนี้ดีกว่าจะเอามาลงชาวกรุง เขียนกันคนละเรื่องคนละชีวิต แล้วคุณวิลาสก็รับว่าไม่เป็นไร เขาจะไปชวนพี่เล็กพี่อะไร นักประพันธ์ของคุณวิลาสอีกเยอะแยะ มาช่วยเขียนคนละเรื่อง
 
กลับมาถึงกรุงเทพฯ คุณวิลาสบรรณาธิการชาวกรุง ท่านก็ว่าพร้อมแล้วเอาเลย แต่ให้ผมเป็นคนเขียนเรื่องแรก ผมก็เขียนส่งอ้ายลอยเป็นเรื่องแรก ก็พิมพ์ตูมลงไปคนถอนตัวหมดไม่มีใครยอมเขียน
 
ทำไมไม่ยอมเขียน
 
ผมก็ไม่ทราบ ปรากฎว่าต้นฉบับมันไม่มา ทำอย่างไรได้พิมพ์ไปแล้วมันคาราคาซัง พิมพ์ไปแล้วเรื่องหนึ่งไม่ต่อก็ไม่ได้ ผมก็ต้องรับเขียนทุกเรื่องต่อมาเขียนดีมั่ง ไม่ดีมั่ง เขียนให้มันเต็มๆ ไปจนได้พอเป็นเล่ม ก็จบได้ เลิกกันจริงๆ แล้วผมพอใจเรื่องอ้ายลอยเรื่องเดียวที่เขียนเต็มฝีไม้ลายมือ
 
ไหนว่าจะมีคนสร้างหนังเรื่องนี้เฉพาะตอนอ้ายลอยนี่
 
เห็นพูดกันมาตั้งเยอะแล้ว กบว. เขาไม่ยอมหรอก เพราะมันหยาบคาย
 
เรื่องไผ่แดง ที่เขาเซ็นเซอร์นี่จริงไหมครับ
 
              ผมไม่ทราบ แต่ที่เคยทำมาแล้วนี่ไม่เห็นเซ็นเซอร์ ทำไมจะมาดัดจริตกันตอนนี้ เขาเกลียดขี้หน้าผมมั้ง จะมีประโยชน์อะไรจะมาให้เล่นหรือไม่ให้เล่น ผมไม่เคยได้ประโยชน์อะไรเลยนี่ เรื่องที่เอาของผมไปเล่นผมก็ไม่เคยคิดสตางค์
 
สี่แผ่นดินเล่นมา 2 หน คุณสุพรรณทำคนแรก ซูสีไทเฮา คุณสุพรรณก็ทำ นั่นผมเขียนบทให้ด้วยซ้ำ คุณกนกวรรณก็ทำ ใครก็ทำสี่แผ่นดิน หลายชีวิตก็ทำหนัง ผมไม่เคยได้ตังค์สักเก๊หนึ่ง  ที่อาจารย์สุรชัยไปเล่นผมก็ไม่เคยได้อะไร มันจะห้ามผมก็ไม่เดือดร้อนหรอก (ฮา)
 
แล้วที่มีนักวิจารณ์หลายคนเอาเรื่องหลายชีวิตไปเปรียบกับเรื่องสะพานมรณะ (ของธอร์นตัน ไวล์เดอร์)
 
ก็ตอนเขียนมันไม่ได้นึกถึงสะพานมรณะนั่นมันตรงกับภาพที่เห็นว่ารถมันตกสะพานทำให้อะไรมันเกิดขึ้นมา แต่ความจริงตอนนั้นไม่ได้นึกถึงเลย ก็ตกลงกันว่าจะเขียนเรื่องเดียวเท่านั้น แล้วจะนึกอะไร (หัวเราะ) ตกลงกันหลายคน นั่งกินเหล้ากันที่บางแสนด้วย ว่าเขียนคนละชีวิต อย่างนั้นอย่างนี้ให้มาตายที่เดียวกันให้จงได้ ก็สนุกนะ ตอนนั้นกินเหล้าไปด้วยชักมัน พอเอาจริงไม่มีใครเขียนสักคน ผมเขียนตลอดเรื่องก็หมดเรื่องกันไป
 
อย่างชีวิตของโนรีนักประพันธ์ติดเหล้าตายนี่อาจารย์ได้แบบมาจากนักประพันธ์ไทยสมัยนั้นบ้างหรือเปล่า อย่างยาขอบ หรือไม้ เมืองเดิม
 
ก็ใกล้ที่สุดล่ะ เห็นจะเป็นยาขอบมากกว่า (ฮา) ผมสนิทกับคุณโชติแกมาก โถ น่าสงสาร ตื่นเช้าขึ้นมาไปหาแกแต่เช้า แกล้างหน้าล้างตาอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว แกผัดหน้าผัดตาสวย แกมีมุขที่เฉลียงนั่ง มีโต๊ะวางอยู่โต๊ะหนึ่งมีขวดเหล้าวางขวดหนึ่ง มีแก้ว 2 ใบ ออกมาจากห้องนอนแกก็วิ่งผวามาหาเรา พอเห็นขวดนั่นแกก็วิ่งไปที่ริมเรือนไปอ้วก โอยอ้วกน้ำหูน้ำตาไหล ไม่เป็นผู้ไม่เป็นคนเลย เสร็จแล้วมารินเหล้าลงแก้ว กว่าจะยกได้นี่หกติดเหลือก้นแก้วนิดเดียว กว่ามือจะหายสั่น
 
ผมก็ต้องไปสอนแก ว่าคุณโชตินี่ ผมจะสอนวิธีให้ คุณไปหาผ้าขาวม้ามาผืนหนึ่ง เอามาคล้องคอไว้ คุณรินเหล้าใส่แก้ว แล้วก็จับแก้วจับชายผ้าไว้ อีกมือหนึ่งจับอีกชายแล้วชักรอก (ฮา)  โอ๊ย แกทำตามผมแกดีใจใหญ่ กรึ๊บเดียวได้ผล (หัวเราะ) คุณโชติแกรักกับผม
 
อาจารย์นี่มีหลายบทบาท ไม่ทราบว่าบทบาทระหว่างเป็นนักหนังสือพิมพ์ นักประพันธ์ นักการเมืองหรืออื่นๆ นี่ท่านคิดว่าตัวเองเป็นอะไรมากที่สุด
 
เอาอย่างนี้ดีกว่านะ ที่พอใจที่สุดในขณะทำงานนะ แล้วก็ภูมิใจในผลของงานนั้น เป็นครู ผมสอนมหาวิทยาลัยมาตั้ง 2 แห่ง ทุกวันนี้ลูกศิษย์ ผมได้ดิบได้ดีเป็นใหญ่เป็นโตทั้งนั้น สอนบัญชี ท่านก็เป็นใหญ่เป็นโตกันมากมาย  คุณบุญชูนี่ก็เรียนบัญชีกับผมที่ธรรมศาสตร์ นอกจากนั้นก็สอนรัฐศาสตร์มาตั้งแต่รุ่นหนึ่ง อย่างคุณปลัดพิศาล ปลัดกระทรวงก็ใช่ อธิบดีกรมการปกครองก็ แล้วผู้ว่าอีก 30 กว่าจังหวัด 37-38 จังหวัด รองผู้ว่าเกือบ 30 ไม่นับนายอำเภอที่ยังตกค้างอยู่อะไรต่ออะไร
 
ผมนั้นไม่ใช่อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ไปสอนเลิกแล้วก็เลิกคบ ผมนั้นถือว่าผม ผมเป็นครู ลูกศิษย์ผมๆ สนใจจริงๆ อุปการะเท่าที่จะช่วยได้ บางทีพวกเขาก็มาบ้าน มากินข้าวกินปลา กินเหล้าเฮฮา ผมก็ไม่ว่า ลูกศิษย์ผมไปถามเถอะครับมึงกูทุกคน สนิทกันทุกคน ผมเป็นครูมาตั้งแต่ พ.ศ. 2485 สี่สิบสามปีแล้ว เดี๋ยวนี้ก็ยังมีคนมาขอไปบรรยายพิเศษ เขาก็ยังถือว่าเป็นครูอยู่ อย่างมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เขาก็ถือว่าผมเป็นอาจารย์พิเศษ ที่มหาวิทยาลัยพายัพผมก็เป็นอาจารย์
 
ที่ท่านอยากเป็นนักเขียน นักประพันธ์ นี่เพราะอะไร เพราะหนังสือพิมพ์หรือเปล่า
 
เพราะหนังสือพิมพ์ และเพราะมันมีอะไรอยู่ในอกมากครับ ผมเขียนหนังสือเหมือนไก่ขัน มันช่วยตัวผมเองไม่ได้หรอก นึกจะขันก็ขันเอิ้กขึ้นมาเท่านั้น ไม่ได้มีแรงดลบันดาลใจอะไร คือบางทีเรื่องในตัวมันมีมาก รู้เห็นมาก นานๆ ก็อยากจะปล่อยออกมาครั้งหนึ่ง ถ้ารวบรวมได้ก็ปล่อย แต่หนังสือ ผมนั้นเขียนจากประสบการณ์ทั้งนั้น  นอกจากเขียนเอาสนุกอย่างซูสีไทเฮา อยากจะแสดงภาษาไทยเจ้าพระยาพระคลังหน และจับเคล็ดได้ในการเขียนเกร็ดพงศาวดารของจีนมันต้องมีเล่ห์เหลี่ยม คดโกงกลอุบายร้อยแปดประการจริงมั่งเท็จมั่ง
 
ไปประเทศจีนเที่ยวนี้ เขาพาผมไปเที่ยวฮวงซุ้ยซูสีไทเฮา ผมต้องยกมือไหว้ขอโทษแกเพราะผมโกหกแกไว้มาก (ฮา) ผมไม่รู้ว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ ผมอ่านประวัติเอาหนังสือฝรั่งมาค้นเยอะ แต่ผมก็แต่งของผมใหม่ อ้ายเรื่องที่ไม่ควรจะเป็นตรงไปไม่เข้าเกร็ดพงศาวดารผมก็เขียนเสียใหม่ บางที่ว่าแกมีลูก ผมก็เอาว่าแกไปเอาลูกคนอื่นมา ฆ่าแม่มันเสียด้วย ไม่งั้นไม่สนุก คนอ่านไม่ตื่นเต้น
 
การที่อาจารย์เขียนพจนานุกรมฉบับของอาจารย์
 
ผมเขียนด้วยความหมั่นไส้ธานินทร์ ไม่เห็นด้วยกับระบบนั้น พอเขาออกไปแล้วผมก็เลิกเลย ไม่ทันครบอักษร ถ้าแกอยู่ต่อไปผมก็เขียนจนครบ ออกไปแล้วผมก็ไม่อยากจะไปย่ำยีแก คือ ผมทำหนังสือแบบที่ว่า ผู้มีอำนาจที่ไม่เป็นธรรมผมตีหละ ผมทนไม่ไหวผมก็ตี แต่พอหมดอำนาจแล้วผมก็เลิกเลย
 
อย่างจอมพลถนอม จอมพลสฤษดิ์ ผมตีเรื่อยมา พอหมดเรื่อง ผมก็หมด แต่ผมนี่หมดอำนาจวาสนาไปตั้งนานแล้ว แต่คนก็ยังด่ากันทุกวันนี้ อะไรก็ไม่รู้ผมไม่เข้าใจ ทุกวันนี้อ่านหนังสือพิมพ์หลายฉบับ วันไหนหนังสือพิมพ์ไม่ด่าสักฉบับนี่ไม่สบายใจเหมือนกับตายแล้ว ถ้ายังด่าอยู่ เออ ค่อยยังชั่ว ไม่ถือ ถือไม่ได้
 
อยากให้อาจารย์เล่าถึงความสัมพันธ์กับสอ เสถบุตร, หม่อมราชวงศ์นิมิตรมงคล นวรัตน์ที่ร่วมก่อตั้งพรรคก้าวหน้า
 
เขาติดตารางมาด้วยกันครับ เขาศิษย์เก่าบางขวางด้วยกัน ความสัมพันธ์ด้านอื่นผมไม่รู้หรอก (ไอ) ผมนั่นตั้งพรรคก้าวหน้ากับคุณสอ แล้วพวกคุณสิที่ติดคุกด้วยกันมาเยอะเชียว ไม่ใช่เพราะผม (ไอ) แล้วสมัครผู้แทนจนคุณสอได้เป็นรัฐมนตรีพักหนึ่ง แล้วเลยเลิกเลย
 
หลังจากกลับจากตะรุเตาใช่ไหม
 
นั่นแหละกลับมาเล่นการเมืองพรรคก้าวหน้า เสร็จแล้วเกิดเรื่องเกิดราวในผู้แทนมากมาย เขาจะตั้งประชาธิปัตย์กันเขาก็อุปโลกน์ให้ผม  ผมไม่ได้เป็นหัวหน้าหรอก  ผมเป็นคนออกสตางค์เลี้ยงการประชุมที่จะตั้งพรรคประชาธิปัตย์ แล้วก็ตกลงกัน พรรคก้าวหน้ามันเหลือ 2-3 คนเท่านั้น ก็เลยรวมกัน พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งพรรคประชาธิปัตย์กันขึ้นมา
 
ตอนนั้นพวกที่เขาคิกกบฎ 76 ที่ได้อภัยโทษแล้ว ติดคุกติดตารางมาเขาก็อยากแสดงความสุจริตใจของเขาทางการเมือง ก็เข้ามาเล่นการเมือง ไม่ได้มีอะไร เขาอยากได้ประชาธิปไตยเท่านั้น พอมีโอกาสเขาก็สมัครผู้แทนกันอะไรกัน อย่างคุณจงกลไกรฤกษ์นี่ แกได้เป็นผู้แทนพิษณุโลกมาจนถึงคุณโกศล คุณจงกลก็ได้เป็นประธานสภา คุณโกศลก็รัฐมนตรีพาณิชย์จนบัดนี้
 
การประพันธ์ของคุณนิมิตรมงคล นี่ไม่ทราบเรื่องจริงๆ คุณสอนั้นตอนหลังแกก็เสียสละให้กับพจนานุกรมจนตายจากกันไป
 
อาจารย์เคยโฆษณาว่าจะเขียนประวัติตัวเองเรื่องสามสิบเจ็ดขวบแล้วก็ไม่ได้เขียน
 
นั่นมันพูดเล่นๆ  ว่าน่าเขียน แล้วเพื่อนฝูงไปจองเลย ผมไม่เห็นเกี่ยวอะไร ผมไม่ได้บอกว่าจะเขียน ผมว่าน่าเขียน ผมไม่เขียน
 
แล้วตอนนี้อาจารย์ยังอยากเขียนอัตชีวประวัติไหมครับ
 
ไม่เขียนล่ะ เขียนไม่ได้หรอก คือไม่เคยจดไม่เคยจำอะไร หลักฐานก็ไม่มี ไม่เคยเก็บเอกสารอะไรเลยตลอดชีวิตนี้ ไม่เคยจดไดอารี่ ไม่เคยทั้งนั้น เขียนก็เขียนไม่ถูก ไม่เคยคิดจะเขียน เรื่องมันน่าเขียนคนอย่างผม แต่มันก็เขียนไม่ได้ แล้วก็กลัวกันไป แล้วถ้าเขียนต้องเขียนพาดพิงถึงคนอื่นอีกมาก ดีมั่งไม่ดีมั่ง ถึงแม้ว่าคนที่เราเขียนถึงในทางที่ไม่ดีนั่น เราก็ต้องเขียนอย่างที่เขียนจริงๆ ตั้งแต่เจ้าขุนมูลนายสมบูรณาญาสิทธิราชย์จนมาถึงบัดนี้มันผ่านมาหมด
 
แม้เจ้าตัวเขาตายลูกหลานเขายังอยู่ก็ได้ฟ้องหมิ่นประมาทแย่ เขียนไม่ได้เห็นแก่ลูกแก่หลานเขา เขียนถึงบรรพบุรุษที่ไม่ดีของเขา ลูกหลานเขาไม่รู้อะไรด้วย
 
เรื่องแปลนี่อาจารย์แปลเพียง 2 เรื่องคือ ราโชมอน และโจนาธานฯ เรื่องหลังที่อาจารย์แปลนี่เพราะมีหลักคิดทางศาสนาเข้ามาแทรก
 
ใช่ มันคล้ายกับศาสนาพุทธที่ผมเชื่อ แต่มัน (ริชาร์ด บาด) คงไม่รู้ มันเขียนส่งเดชไปอย่างนั้น
 
อย่างเรื่องหลายชีวิตนี่ อาจารย์เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมหรือเปล่า
 
กฎแห่งกรรมไม่มี คุณอย่ามาพูด คำนี้มันยั่วโมโหผม นี่ภาษาคนสมัยใหม่ โง่ที่สุด คนไม่รู้ธรรมะ กฎแห่งกรรมมีได้อย่างไร ไหนคุณว่ามาซิ
 
ผมก็ไม่ทราบ
 
อ้าว ก็นั่นนะซิ คนโง่ไม่รู้ธรรมะ มันไม่รู้ศาสนาแล้วชอบมาอวดเก่ง กรรมไม่ได้เป็นกฎ กรรมเป็นข้อเท็จจริงเป็นหลักธรรมชาติ คุณทำอะไรไปคุณต้องได้ผลอย่างนั้น ไม่ใช่กฎ กฎนั่นต้องเป็นสิ่งที่มนุษย์กำนด ต้องพระเจ้า ศาสนาพุทธไม่มีพระเจ้ามานั่งเสียเวลากำหนดกเกณฑ์ ใหญ่อะไรมาคุณนะ ถึงพระเจ้าต้องมาลงทุนสร้างกฎ ถึงต้องลงทุนสร้างสวรรค์สร้างนรก คุณใหญ่อะไรมา (โกรธ) มันเป็นของธรรมชาติทำอะไรมันก็ได้ผลอย่างนั้น ปลูกมะม่วงก็ได้กินมะม่วง ปลูกมะพร้าวก็ได้กินมะพร้าว ทำชั่วก็ต้องชั่ว ทำดีผลก็ต้องดี เรื่องมันอย่างนั้น
 
ผู้หญิงผู้ชายนอนด้วยกันมีลูกแล้ว คุณมีกฎอะไร (ฮา)  เป็นข้อเท็จจริง มันกดอย่างอื่น เอ้อ (ฮา)
 
แล้วที่นอนด้วยกันไม่มีลูกละครับ
 
เพราะนั่นนะซิมันไม่ใช่กฎ มันไม่จำเป็นต้องจริงเสมอไป มันเป็นข้อเท็จจริง เรารู้กันว่ามันควรจะมีหรือพึงจะมี อย่างศาสนาบางศาสนาเขาห้ามคุมกำเนิดนั่นถือว่าเป็นกฎ กฎของพระเจ้านี่ไม่ใช่กฎ เป็นเรื่องของธรรมชาติที่เป็นไปอย่างนั้น
 
เสด็จปู่ของอาจารย์นี่เป็นช่างหุงกระจกนี่ผมไม่เข้าใจ
 
หุงกระจกที่เขาติดวัดวาอารามพราวๆ นั่น ไม่ใช่กระจกเงาของฝรั่ง ซึ่งมันเสียความงามหมด อันนั้นเขาเรียกกระจกเกรียบ มันบางเหมือนข้าวเกรียบ ผมเคยมีแล้วทำหาย ย้ายบ้านไปย้ายบ้านมาหายไปเลย มันให้เสงวาวๆ ได้ เอามาทุบตัดให้เป็นลวดลาย ตามที่ต้องการได้ ที่เราจะประดับเข้าไปอาจจะมีที่เมืองจีนหรือเขาไม่ทำแล้วไม่ทราบ แต่ก่อนเขาก็สั่งมาจากเมืองจีน
 
ปู่ผมยังทำอย่างอื่นอีกแยะนะไม่ใช่มีอาชีพเท่านั้นน่ะ เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เขียนหนังสือฝรั่งเก่ง เคยว่าการกระทรวงมหาดไทยด้วย ว่ามาหลายกระทรวงนี่เป็นงานอดิเรก งานช่างหลายอย่างท่านสอนลูกไว้ทั้งนั้น กลึงงากลึงอะไร ลูกท่านบางคนก็เอางานอดิเรกที่เรียนจากพ่อมาใช้ให้เป็นประโยชน์เลี้ยงชีพได้จนตาย
 
อย่างลุงผมคนหนึ่งชื่อหม่อมเจ้าดำรง ท่านเป็นโปลิโอตั้งแต่เด็ก เป็นง่อยเดินไม่ได้ โอกาสที่ท่านไปรับราชการอย่างพี่น้องอื่นก็ไม่มี อยู่บ้านท่านก็นั่งกลึงงาร่ำรวย ก็ที่ปรากฏในสี่แผ่นดิน นั่นแหละ ที่เกิดเล่นตลับงากันผมเข้าใจพระราชประสงค์ที่ช่วยลูกคนนี้ ท่านสงสารว่าเป็นคนพิการ ตั้งเป็นความทันสมัยขึ้นมา ตลับงา ใครอยากมีก็ต้องไปซื้อ แต่ฝีมือท่านดีที่สุด ที่อื่นก็มีตลับงาขายแต่ฝีมือสู้ท่านไม่ได้ ท่านเลี้ยงลูกเลี้ยงเต้าด้วยตลับงาอันนี้
 
สมัยนั้นรถเข็นก็ไม่มีอะไรก็ไม่มี มีมหาดเล็กคนหนึ่งตัวเบ้อเริ่มชื่ออะไรผมก็ลืมไปแล้ว ท่าจะไปไหนตาคนนี้ก็อุ้มขึ้นคอ ท่านก็จิกหัวอีตานั้นยังกับม้า แกก็ไปตามที่เขาหัน ไม่ต้องบอกกัน ไม่ต้องบอกไปซ้ายไปขวา บังคับกันด้วยมือ รู้ใจกัน อันนี้ผมจำได้ เคยเห็นว่าเอ๊นี่เล่นอะไรกัน (ฮา) ท่านจะลงก็ตบหัวสองที ลงนั่งเอาท่านลง
 
เวลาอาจารย์เขียนหนังสือนี่ทีเดียวได้หรือว่าต้องเกลาอีก
 
ไม่เคยเกลา
 
พิมพ์เป็นเล่มก็ไม่ได้เกลาใหม่
 
มันถึงมีผิดตั้งเยอะ ผมไม่ได้เกลา แสดงว่าเราไม่ได้เป็นคนวิเศษอะไร  ก็มีผิดเป็น จะมานั่งเกลาเอาวิเศษกันมันไม่จบ
 
เคยมีความตั้งใจที่จะเขียนแบบสี่แผ่นดินอีกไหม หมายถึงแนวในการเขียน
 
มันคนละแนวนะฮะ หลายชีวิตนี่ก็เป็นแนวที่ผมรู้จักดี  ชาวบ้านแถวอยุธยานะ สี่แผ่นดินนี่ก็แสดงชีวิตที่ผมรู้จักคือชีวิตชาววังทั้งหมด จะพูดจะจาความเป็นอยู่ต่างๆ ก็ได้เห็นอยู่ทุกวัน แม่ผม พี่สาวผม ป้าผม ไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ทั้งข้างแม่ข้างพ่อเป็นชาววังทั้งนั้น แล้วตอนนั้นท่านก็อยู่ในวัง
 
นานๆ ก็ออกมาเยี่ยมแม่ที่บ้าน มานั่งคุยกันทั้งวัน เสร็จแล้วตอนเย็นท่านกลับก่อนประตูปิด นั่งแล้วกระดานหอมนี่จริง ท่านทาน้ำอบไทย เสื้อผ้าท่านอบท่านร่ำมาตลอด หอมติดกระดานที่เขาพูดเป็นศัพท์นี่จริง ท่านไปแล้วตั้งนาน กลิ่นท่านยังอยู่ ท่านป้าผมแก่ๆ แล้วทั้งนั้นแต่ท่านยังหอมกรุ่น ท่านอบทั้งตัวนี่แม้เสื้อผ้าแต่ละชิ้นแล้วผมเกิดทันสมัยผู้หญิงไทยใช้ผ้าสองผืนเท่านั้นนุ่งห่ม ไม่มีเข็มกลัด ไม่มีกระดุม สะกิดสองทีหลุดทั้งตัวอล่างฉ่างเลย  แต่ไม่รู้อยู่กันอย่างไร ไปไหนคล่องแคล่วไม่ยักหลุด ห่มผ้าก็ห่มสไบเฉียง ถ้าออกไปข้างนอกก็มีผ้าสี่เหลี่ยม คล้ายผ้าสมัยใหม่ที่ผู้หญิงเขาใช้โพกหัวมาห่มอีกที ถ้าโบราณจริงเขาก็ห่มสไบทับ สไบนี้หนาหน่อย ข้างในมันบาง อ่านขุนช้างขุนแผนดู ชั้นในห่มสไบชมพูนิ่ม มีทับทิวทับนอกดูเฉิดฉาย แต่ตอนหลังไม่ได้ห่มกันอย่างนั้น สมัยใหม่ขึ้น นั่งเดี่ยวต้องขยับๆ เดี่ยวนมออกมา ยุ่ง
 
แล้วที่อาจารย์เขียนถึงเรื่องสามก๊กว่า อ่านบ่อยตอนอยู่เมืองนอก
 
เรื่องสามก๊กนี่ผมอ่านมาตั้งแต่เด็กตอนไปเมืองนอกผมก็อ่านมาเรื่อยๆ หนังสือไทย พ่อแม่ส่งไปให้อ่านกลัวจะลืมภาษา ผมจึงไม่ลืม เวลาว่างผมอ่านหนังสือไทยเรื่อย วรรณคดีไทยนี่แหละ วรรณคดีนี่แม่ท่านสอนแท้ๆ ผมนี่อ่านหนังสือตั้งแต่ยังจำความไม่ได้ พี่สาวเป็นคนสอน จำความได้แล้วเรียน มูลบทบรรพกิจ จำความได้นี่อ่านหนังสือเป็นแล้ว ตอนเรียนทุก์ยากอย่างไรจำไม่ได้จริงๆ  นี่ข่มเหงเด็กกันถึงอย่างนั้น
 
ท่านทำอะไรของท่าน เจียนหมากจีบพลู เย็บผ้าเย็บผ่อน นอกจากทำครัวท่านก็เรียกผมไปอ่านหนังสือให้ฟัง ตั้งแต่ผมยังไม่ไปโรงเรียนก็อ่านหนังสือพวกนี้แหละครับ ขุนช้างขุนแผน, พระอภัยมณี, สามก๊ก อ่านกันหมด สามก๊ก ท่านชอบให้อ่านมากเพราะมีหลัก ท่านว่าอ่านสามก๊กแตกแล้วจะผันไม่ผิดเสียวรรณยุกต์ ชื่อเจ๊กมันยาก ผิดท่านก็ทักเราก็ผันเป็น ภาษาไทยมันเป็นไปตามธรรมชาติ  ต้องระวังต้องผันให้ถูก หนังสือมันดีตรงนี้ ออกเสียงวรรณยุกต์ไม่พลาด
 
นี่ล่ะเรียนมาจากท่านหลายอย่าง ท่านยังสอนวิชาต่างๆ ให้อีก อย่างประพฤติตัวปฏิบัติอย่างไร  นั่งรถอย่างไรตลอดจนดนตรี แม่ผมท่านเป็นนักดนตรี เดี่ยวนี้มันลืมหมดแล้ว ท่านเป็นระนาดเอกท่านก็สอนระนาดเอก ท่านเป็นทุกอย่าง ท่านสอนแม้แต่เปียนโน ที่มันเคาะอย่างระนาด แต่เพลงไทยนี่ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นสองชั้นสามชั้น
 
แม่ทำกับข้าวหลายอย่าง เรานี่เป็นลูกติดแม่ ไปนั่งดูเขาทำครัว เราก็ทำเป็นไปด้วยเดี๋ยวนี้ก็ยังนึกออก กับข้าวไทยผมทำสบาย
 
เวลาท่านเขียนไม่ทราบว่าให้ตัวละครจบอย่างไร
 
ไม่ได้คิดว่าจบอย่างไร อย่าหาว่าดัดจริตเลย เป็นไปตามธรรมชาติ มันมาเอง ตัวละครของเรามันแน่ เรารู้อยู่แล้วว่าใครเป็นใคร เพราะฉะนั้นอะไรเกิดขึ้นกระทบใจมันก็ออกมา มันออกมาเอง  มันคล้ายกับเป็นตัวคนแล้ว
 
อย่างแม่พลอยนี่ กำหนดไว้ให้แกต้องเซ่อ แกเชย แกโง่ มันก็ออกมาอย่างนั้นเชยๆ อย่างนั้นทุกที แกอยู่ในระเบียบ ประเพณี อะไรเกิดขึ้นก็ยอมรับมันก็ให้อยู่ในประเพณี  ส่วนแม่ช้อยเป็นคนผาดโผน มันก็ผาดโผนทุกที พ่อเพิ่มพี่ชายแม่พลอยเป็นคนสำมะเลเทเมา เที่ยวกะหรี่ กินเหล้า ก็เป็นอย่างนั้น
 
ใช้วิธีกำหนดบุคลิกตัวละครก่อนอื่น
 
มีอะไรเกิดขึ้นในบุคลิกมันออกมาเอง ไม่ต้องคิด
 
อาจารย์อยากจะเขียนเรื่องสั้น, นวนิยาย อีกไหม
 
อยาก แต่มันยังไม่ออก ผมเรียนแล้วกี่ทีครับ ผมถึงบอกว่ามันระเบิดออกมา ถึงคราวมันจะออกมันออกเอง แล้วมันจะออกด้วยสักวันหนึ่ง ตอนนี้มันยังไม่ออก เฉยๆ ไว้อย่าไปเร่งมัน ถ้ามันออกมาแล้วมันจะดี ถ้าเราไปบังคับตัวเขียนนี่มันก็ลำบาก บางทีไม่มีอารมณ์ก็ต้องเขียนไป
 
คือผมนั้นเคราะห์ดี พูดไปไม่ใช่ว่าจะอวดยโส ผมไม่ต้องพึ่งการเขียนหนังสือหากิน ต้นฉบับมันไม่ใช่อาชีพของผม มันระเบิดออกมาได้ถ้าเราต้องส่งต้นฉบับ สัญญาตกลงกับเขาไว้ว่าจะเขียนเท่านั้นเท่านี้เรื่องมันก็ยากลำบากเหมือนกัน มันต้องเขียนเป็นอาชีพ ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่มีตังค์ใช้ ลำบาก แต่ที่เขาเขียนได้ก็ต้องนับถือว่าเขาเก่ง ตามเงื่อนไขอย่างนั้นผมเขียนไม่ได้
 
ไม่ทราบว่าอาจารย์มองนักเขียน นักประพันธ์ในปัจจุบันอย่างไรบ้าง
 
คือมันมีสองอย่างน่ะ บางทีท่านก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมของคนอ่าน ก็เรื่องรักหวานจ๋อย มีพล็อตวุ่นวาย คุณพระ คุณหลวง บ้านใหญ่ บ้านเล็ก ตระกูลอะไรจะต้องรักษาเกียรติกัน แย่งมรดกกัน อันนั้นเพื่อรสนิยมของคนอ่านก็ต้องเขียนเป็นอาชีพ
 
บางคนก็เบื่อสิ่งเหล่านั้น ก็ต้องหาแนวใหม่ เขียนแบบคนสมัยใหม่ ร่วมสมัย ก็อ่านไม่รู้เรื่องเลย มันแหวกแนวออกไปไกลเกินกว่าที่ผมจะคิดได้ ผมมันไม่ใช่คนสมัยใหม่นั เรื่องมันก็แค่นี้
 
หรือบางคนก็รู้ๆ จักกันพูดให้ฟังก็ได้ อย่างคุณ’รงค์ วงษ์สวรรค์นี่ผมไม่อ่านเลย ดัดจริตตลอดไป ตั้งใจเขียนไม่ให้เหมือนใครเท่านั้น ไม่มีสาระ ศัพท์คิดขึ้นมา ผิดๆ ถูกๆ ผมไม่เห็นด้วย  แกจะเอาแปลกเอาใหม่อยู่เรื่อย
 
อ้ายเรื่องศิลปะอย่างภาพเขียนนี่อย่างซัลวาดอร์ ดาลี, ปิคาสโซ่นี่ เขาออกมาจากข้างในจริงๆ ของเขา เขามันเห็นอย่างนั้น  มันสวยอย่างนั้นก็เขียนออกมา แต่คุณ ‘รงค์ แกเขียนสะเปะสะปะ มันบ้าผิดมนุษย์ไม่เหมือนใคร ไม่ใช่ มันไม่ได้ออกมาจากใจ
 
หมายความว่างานประพันธ์นี่ส่วนใหญ่แล้วต้องมาจากใจกำหนด
 
ครับ ผมว่าให้มันออกมาจากใจดีกว่า โดยที่ไม่มีอะไรจะไปกันมันได้ เราอยากเขียนอะไรก็เขียนลงไปอย่างนั้น มันออกมาจะจริงกว่า เราอ่านก็รู้ว่านี่เขาจริง
 
อย่างนักประพันธ์อีสานหลายท่าน ผมนับถือ ท่านเขียนชีวิตคนอีสานนี่ผมอ่านแล้วเพลิดเพลินมาก ได้รู้ได้เห็นอะไรเยอะ เขาเขียนออกมาจากหัวใจคนอีสาน เขาเป็นคนอีสาน
 
อย่างเรื่องคำพิพากษาล่ะ
 
ก็อ้ายตัวนั้นมันเป็นภารโรงโรงเรียนช่างศิลป์ไม่ใช่เหรอ ใช่ไหมล่ะ (ฮา) จะมาเอาอะไรกับผม มันก็ดี ออกมาเป็นละครโทรทัศน์ได้ก็น่าดู
 
ละครโทรทัศน์บางเรื่องผมก็ชอบนะ มันดีจริงๆ อย่างเรื่องตี๋ใหญ่ นี่ผมนับถือมากนะ ก็ไม่เห็นจะทำให้เยาวชนเสียอย่างไร ช่างแม่เยาวชนปะไร (ฮา) ไม่ใช่ลูกใช่เต้าของเรา เรื่องอ้ายลอย ผมเขียนผมนึกถึงเยาวชนที่ไหน เด็กอ่านแล้วเสียวมาก ค—ลุกทุกคนอ่านเรื่องอ้ายลอย (ฮา) จริงไหมอ้ายเจ๋ง (หันไปถามทวีศักดิ์ พันธุ์สุระ-ก๋วยเจ๋ง-เลขาคนสนิท) เขียนให้มันแข็ง ไม่พูดคำหยาบสักคำแต่แข็งได้เห็นไหม (ฮา)
 
อาจารย์ได้ฉากนั้นมาอย่างไร
 
ผมคิดเอาเองแหละ ผมเป็นคนสัปดนนี่ (ฮา)
 
แล้วที่อาจารย์เคยเขียนว่าไปดูระบำ
 
ที่ไหน บอกมาซี่ระบำเมื่อไหร่
 
ระบำโป๊ฮะ
 
ก็ดูมาตั้งแต่เด็กจนโต สมัยก่อนเมืองไทยไม่มี เมืองนอกมันมี ผมอยู่เมืองนอกนี่ ที่ปารีสผู้หญิงแก้ผ้าเสริฟท์ทั้งโรงก็มี มันชื่อค็อกเดอร์ เดี๋ยวนี้มันเลิกล้มไปนานแล้ว (ฮา) ผมเคยไปตั้งแต่จอมพล ป. ท่านเป็นร้อยโทตอนนั้น ผมยังเป็นเด็หนุ่มๆ อายุสัก 17-18 ไปถึงไปนั่งกินอะไรต่ออะไร เขาบอกว่าร้านนี้นะ ถ้ามันทอนตังค์มาใครเอากลับบ้าน มันซวยว่ะ ผมว่า อ้าวจะทำอย่างไร เขาก็ว่าจ่ายตังค์ให้มันพอดีๆ ทอนน้อยๆ ให้เป็นทิพมันไปอย่าไปเอานะ
 
ตอนนั้นฝรั่งเศสยังใช้เงินเหรียญเยอะ ผมก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ เขาบอกว่าเดี๋ยวจะทำให้ดู พอกินข้าวอะไรกันเสร็จก็เรียกเก็บเงิน เอาเงินทอนมาจัดวางไว้ที่หัวมุมโต๊ะ คนเสริฟท์โต๊ะมันแก้ผ้า มาถึงมันก็เอา…คีบไป (ฮา) ผมว่าโอ้โห มันซวยจริงๆ (ฮา) ผมมันมีผู้ใหญ่ดีๆ อบรมมา (ฮา) จึงเป็นคนแก่สัปดน  คุยกับผมเดี๋ยวมันเป็นอย่างนี้ (ฮา) นั่นร้านค็อกดอร์ พวกรุ่นปฏิวัติ 75 นี้รู้จักกันทุกคน คุณเชื่อผมเถอะ ตอนนั้นผมยังเป็นเด็กน่ะ ผมยังไม่โตเท่าไหร่
 
อาจารย์ครับ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคณะกรรมการซีไรต์ต้องบังคับว่านวนิยายต้องมีหน้าไม่น้อยกว่า 240 หน้า
 
อันนี้ผมไม่ทราบครับ ผมเคยไปพูดปีหนึ่งดีมาก ปีที่สองจะเอาไปพูดอีกผมว่าพอแล้ว ผมไม่ไป เขาเล่นเราคนเดียวก็แย่ ในงานมีแต่นักเขียนฝรั่งหรูหรา ส่วนนักเขียนไทยจะเขียนงานเก่งกาจแค่ไหนก็มักจะพูดฝรั่งไม่คล่อง
 
หลายชีวิต นี่ตอนหลังเขียนแบบเบื่อหรือเปล่าครับ
 
นานๆ ไปไม่รู้จักจบเสียทีแล้ว ใครจะไม่เบื่อ มันก็เบื่อจริงๆ เขียนไม่ให้เสียหน้าคุณวิลาสบรรณาธิการชาวกรุง
 
ตอนออกจากหนังสือชาวกรุง นี่เป็นความคิดของอาจารย์หรือของคุณวิลาส
 
ของผมเองทั้งนั้นแหละ คุณวิลาสจะมาทำงานก็เลยเอาแกมาเป็นบรรณาธิการ เสร็จแล้วถึงเวลามันไม่ค่อยออกหละ ถึงเดือนไม่ออกต้องทำอธิกมาสหลายที เริ่มกันใหม่ อะไรใหม่
 
แล้วทำไมมันอยู่ไม่ตลอด
 
ทำไปนานๆ มันก็เบื่อ ถ้าจะเอาไว้ก็ยังได้อีก แล้วอีกอย่างมันล้าสมัย แนวมันไม่ตรงกับสถานการณ์ปัจจุบัน สมัยนี้เขาชอบอ่านเรื่องอะไรกันผมก็ไม่รู้แล้ว คนอื่นที่เขาทำกันผมก็ไม่เข้าใจ เปลี่ยนกันออกมาเป็นร่วมสมัยก้าวหน้าหมดผมก็อ่านไม่รู้เรื่องอีก ผมขี้เกียจอ่านของผม ก็เลยเลิกเสียดีกว่า
 
มันเปลืองแรงงานด้วยครับ มันไม่ถึงกับขาดทุนหรอก แต่มันก็ไม่มีกำไรอะไร แต่ถ้าคิดถึงแรงงานถึงสมองมันก็ต้องใช้ ต้องเปลืองคนเขียน คนทำ เอาไปทำอย่างอื่นดีกว่า สุดสัปดาห์วิจารณ์เขาไม่เป็นไร รายวันเขาไม่เป็นไร แค่นั้นมันก็พอแล้ว จะเอาอะไรกันหนักหนา จะออกกันกี่ฉบับ มีรายสัปดาห์แล้วจะออกรายเดือนรายปักษ์แกจะมากไป
 
ยังมีต่อนะ