คีตกวีในบทเพลง ‘น้ำท่วม’ Playing for change

"…น้ำท่วม น้องว่าดีกว่าฝนแล้ง พี่ว่าน้ำแห้ง…ให้ฝนแล้งเสียยังดีกว่า…"
เสียงบทเพลง 'น้ำท่วม' ขับร้องโดย ศรคีรี ศรีประจวบ ขับกล่อมคนไทยมาช้านาน ยิ่งปีใดที่น้ำมาก น้ำหลาก เพลงนี้ยิ่งติดหูติดปากกันถ้วนหน้า บ้างสดับฟังในเหย้าเรือน บ้างฟังอยู่บนหลังคาบ้านเพราะน้ำท่วม บ้างก็ขับร้องเองเพื่อผ่อนคลายเมื่อประสบอุทกภัย
ทั้งๆ ที่เพลง 'น้ำท่วม' เริ่มเผยแพร่เมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ทุกวันนี้ก็ยังได้รับความสนใจจากนักฟังเพลงตั้งแต่รุ่นลายครามยันรุ่นออนไลน์ ที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนักเห็นจะเป็นความทันสมัยของบทเพลงเก่าครึเพลงนี้ จะผ่านกาลเวลานานแค่ไหนเนื้อหาก็ยังตรงกับเหตุการณ์อุทกภัยทุกครั้งและสอดคล้องกับความเป็นอยู่ของผู้ประสบภัยอย่างกระจ่างชัดที่สุด
หากกล่าวถึงผู้ขับร้องเพลง น้ำท่วม สูตรต้นตำรับ ต้องยกความดีงามให้แก่ ศรคีรี ศรีประจวบ นักร้องลูกทุ่งชื่อดังในอดีต ที่ถ่ายทอดน้ำคำไว้อย่างไพเราะเหลือเกิน ด้วยน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ แบบลูกทุ่งขนานแท้ ซึ่งอาจแตกต่างจากลูกทุ่งยุคใหม่สไตล์เกาหลีอยู่มากโข แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเพลง น้ำท่วม ของ ศรคีรี ศรีประจวบก็ยังดังกังวานอยู่เนืองๆ ทั้งในคลื่นวิทยุ โทรทัศน์ แม้กระทั่งสื่อยุคใหม่อย่างอินเทอร์เน็ต พิสูจน์ได้จากจำนวนครั้งที่มีคนดูและฟังเพลงนี้ในเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Youtube.com ที่มีมากกว่าครึ่งล้านครั้ง !
แต่เหนืออื่นใด เพลงอมตะเพลงนี้จะเกิดขึ้นมาไม่ได้เลยหากไม่มีผู้ประพันธ์ชั้นครูอย่าง ไพบูลย์ บุตรขัน ผู้ได้ชื่อว่าเป็น 'คีตกวีลูกทุ่งของเมืองไทย'
ไพบูลย์ บุตรขัน และ ศรคีรี ศรีประจวบ ได้พบกันครั้งแรกจากการแนะนำของ เพลิน พนาวัลย์ ตามคำร้องขอของศรคีรี จากข้อมูลที่ทราบมา ครั้งที่ศรคีรีเข้าไปขอเพลงจากครูไพบูลย์ ตอนนั้นครูไพบูลย์มีนักร้องที่โด่งดังมากคือ รุ่งเพชร แหลมสิงห์ เป็นลูกศิษย์อยู่ ซึ่งแนวเพลงที่ศรคีรีถนัดก็ละม้ายคล้ายกับรุ่งเพชร ครูไพบูลย์จึงไม่ให้เพลง เขาเทียวมาเทียวไปอยู่หลายหน จนกระทั่งครูไพบูลย์ใจอ่อน และเพลงแรกที่เขาได้รับจากบรมครูท่านนี้ก็คือ น้ำท่วม ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับ เหตุการณ์อุทกภัย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ครั้งใหญ่ เนื้อความจึงบอกเล่าถึง จ.ประจวบคีรีขันธ์เป็นหลัก
ทว่า มาถึงปีนี้ (2554) อุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่คนไทยส่วนมากจำความได้ ปลุกเพลงน้ำท่วมขึ้นมาอีกครั้ง ที่สำคัญ..บทเพลงนี้ก็กำลังขับกล่อมอย่างตรงใจเช่นเดิม
ด้วยค่าที่ไพบูลย์ บุตรขันสร้างสรรค์ไว้อย่างดีเยี่ยม เพลงน้ำท่วมจึงเติบโตทั้งในรูปแบบต้นตำรับและแบบใหม่
-1-
อรุณศักดิ์ อ่องลออ ผู้กำกับภาพยนตร์และนักประพันธ์เพลงชั้นแนวหน้าของเมืองไทย นำเพลงน้ำท่วมของครูไพบูลย์มาใส่ทำนองเรกเก้ อย่างแนบเนียน ปรับเนื้อบางช่วงตอนให้เข้ากับเหตุการณ์ปัจจุบัน จนถูกใจนักฟังเพลงตลอดจนชาวบ้านร้านตลาดทุกหัวระแหง และในนามใหม่ 'เปลี่ยนน้ำท่วมให้เป็นน้ำใจ' ภายใต้โครงการ Playing for change ดนตรีเปลี่ยนโลก
Playing for change หรือดนตรีเปลี่ยนโลก เป็นเพลงร้องสด เล่นสด อัดสด ถ่ายสด ในสถานที่จริง ผู้ริเริ่มแนวเพลงแบบนี้คือ มาร์ค จอห์นสัน ชาวอเมริกัน จุดประสงค์เพื่อกระตุกคิดให้คนทั่วโลกสนใจ ร่วมฟื้นฟูโลกและสังคมมนุษย์ผ่านเสียงเพลง
"พอดีปีนี้เขามาถ่ายทำที่เมืองไทย มีน้องคนหนึ่งแนะนำว่า ถ้ามาเมืองไทยให้ผมกำกับ เลยได้ทำงานกับทีมงาน Playing for change ของอเมริกา ถ่ายที่เชียงใหม่ ชื่อเพลง United Song พอเสร็จจากถ่ายทำครั้งนั้น มันมีวัน Playing for change day 17 ก.ย. 2554 ผมกับคุณปรเมษฐ์ Thai flood เขาชวนผมจัดคอนเสิร์ต วันนั้นก็เลยทำกลุ่มดนตรีเปลี่ยนโลกขึ้นในเฟซบุ๊ค พอทำกลุ่มดนตรีเปลี่ยนโลกขึ้นมาปุ๊บก็มีสมาชิก 200 กว่าคน ในขณะที่เรากำลังทำคอนเสิร์ต น้ำก็เริ่มมาแรงแล้วไง เราก็รู้สึกว่าต้องทำอะไรเกี่ยวกับน้ำท่วมด้วย จึงเกิดแนวคิดว่าเราจะทำดนตรีเปลี่ยนโลก หรือ Playing for change แบบไทยๆ"
"Playing for change เขาไม่มีสถานการณ์ แต่เรามีสถานการณ์ ของเขาเดินไปตามถนน เจอนักร้องเสียงดีๆ ก็ให้ร้อง ให้ร่วมร้องเพลงกันทั่วโลก ของเราดูว่าจังหวัดไหนน้ำท่วมบ้าง ช่วงนั้นบางระกำกำลังดัง เราก็รวมพลขึ้นบางระกำ ก่อนที่จะไปผมก็มานึกว่าเพลงที่ให้ชาวบ้านร้องง่ายๆ เพลงน้ำท่วมน่าจะเหมาะสมที่สุด" อรุณศักดิ์ เล่าถึงที่มาของโครงการ
นอกจากนี้เขายังกล่าวต่อว่าเพลงน้ำท่วมที่ครูไพบูลย์ บุตรขันแต่ง และศรคีรี ศรีประจวบขับร้อง ช่างสุดยอดเหลือเกิน…
"เพลงนี้สุดยอดมาก ผมว่าน้ำท่วมประเทศไทยต้องมีเพลงนี้ออกมา เพียงแต่ว่าถ้าเราคิดแบบเดิม เพลงจะไม่พัฒนาออกไป ผมก็ขออนุญาตไปที่ต้นสังกัดว่าเราจะขอเพลงนี้มาทำ และขอปรับเนื้อนิดหน่อย อย่างท่อนฮุค เปลี่ยนน้ำท่วมให้เป็นน้ำใจ เสร็จแล้วเราก็ทำให้เป็นเรกเก้ ก็สนุกขึ้นมา ไม่อย่างนั้นจะรู้สึกเศร้าไปหน่อย"
เมื่อเขาทำเพลงเปลี่ยนน้ำท่วมให้เป็นน้ำใจเสร็จก็มุ่งหน้าสู่ อ.บางระกำ อันขึ้นชื่อลือชาว่าน้ำท่วมสาหัส เขานำตัวอย่างเพลงให้ชาวบ้านฟัง ทุกคนต่างร้องตามกันได้ในทันทีเพราะคุ้นหูเพลงต้นฉบับเดิม
"เราก็ถ่ายเก็บไป ทุกคนร้องเพลงไป เราก็ค่อยๆ ถ่ายไล่มา เชื่อไหมว่าขณะที่เราเดินทางมา น้ำท่วมไล่หลังมาเลย มาพิจิตร นครสวรรค์ ชัยนาท ชัยนาทนี่เรานึกว่าจะกลับไม่ได้เพราะน้ำกำลังเข้ามาเลย ถัดมาเป็นสิงห์บุรี ลพบุรี ผลสุดท้ายเราเลยรีบเข้าอยุธยา จบที่อยุธยา"
"สมาชิกเป็นเพื่อนฝูงคนใกล้ตัว คนรู้จักบ้าง ตอนที่ขึ้นไปทางเหนือเราก็โทรถามไปเรื่อยๆ ว่ามีใครร้องเพลงได้ มีใครเล่นเครื่องดนตรีอะไรได้ ก็ถามไป ถ้าเข้าไปดูในเฟซบุ๊คกลุ่มดนตรีเปลี่ยนโลก จะเห็นเลยว่าเยอะเลย"
"ผมอยากให้คนที่ประสบภัยจริงได้บอกเล่าเรื่องราวผ่านเพลง ซึ่งก็ได้ผล ใครที่ฟังจะบอกเลยว่ามันได้อารมณ์มาก ทุกคนยืนในที่น้ำท่วมจริงนะ เราไม่ได้จัดฉาก นักร้อง นักดนตรี ทุกคนอยู่ในพื้นที่จริง"
ด้วยรูปแบบที่คล้ายการถ่ายหนัง อรุณศักดิ์จึงสนุกสนานกับโครงการนี้มาก สิ่งที่เขาชื่นชอบที่สุดเห็นจะเป็นได้ทำเพลงกับหนังไปพร้อมๆ กัน ไม่ต้องถ่าย music video อีกครั้ง เพราะนี่ได้ทั้งภาพและเพลงพร้อมกันสดๆ
และแน่นอนว่าสิ่งที่เขาทำอยู่หาได้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนไม่ สิ่งที่ได้แก่เขามีเพียงความสุขใจ แต่คนที่ได้รับเต็มๆ คือ ผู้ประสบภัย
"ผมได้ความสุข สุขใจที่ได้ทำ ก็มองเห็นประโยชน์ว่า เราทำเพลงแล้วมันไปต่อยอดให้เกิดยอดบริจาค เกิดการช่วยเหลือคนทุกข์ยากได้ คนทำงานศิลปะคนหนึ่งก็มีความสุขที่ได้ทำงาน"
"จริงๆ ผมเกิดที่ริมน้ำเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท เจอน้ำท่วมมาตั้งแต่เด็ก เพียงแต่ว่าคราวนี้มันใหญ่หลวงมาก เราเห็นจากข่าว เห็นจากที่เราไปเจอด้วยตาตัวเอง อยากให้ทุกคนเข้มแข็ง แต่ผมเชื่อว่าทุกคนเข้มแข็ง พยายามที่จะอยู่กับมันอยู่แล้ว แต่บางทีก็แทนใจเขาไม่ได้ เพราะบางคนเขาท่วมเป็นเดือนจะให้มาเข้มแข็งๆ ก็พูดยากนะ ส่งยิ้มให้กัน น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด" เขากล่าวทิ้งท้าย
-2-
น่าจะพอเห็นภาพแล้วว่าพลังแห่งบทเพลงของครูไพบูลย์เพลงนี้ช่างอัศจรรย์อย่างยิ่ง และไม่ใช่แค่ภาพยนตร์เท่านั้น ศิลปะแขนงอื่นๆ ก็ยังสนใจถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับคีตกวีลูกทุ่งไทยท่านนี้ด้วย หนึ่งในนั้นคืองานวรรณกรรม
ถึงแม้ว่าปี 2550 เป็นปีสุดท้ายที่หนังสือ คีตกวีลูกทุ่ง ไพบูลย์ บุตรขัน ของ วัฒน์ วรรลยางกูร ปรากฏบนแผง อันเนื่องจากสำนักพิมพ์ผู้ตีพิมพ์ไม่เห็นพ้องต้องกับอุดมการณ์และการกระทำบางประการทางการเมืองของผู้เขียน วัฒน์ วรรลยางกูร จึงถูกตัดชื่อออกจากสำนักพิมพ์แห่งนั้นและถูกปฏิเสธที่จะตีพิมพ์งานทุกชิ้นของเขา แต่สำหรับหนังสือ คีตกวีลูกทุ่งฯ ยังทรงคุณค่าพอจะให้กล่าวถึงและจดจำ ทั้งเนื้อหาอันเข้มข้นผสมผสานกับการร้อยเรียงเรื่องราวอย่างสละสลวย เรียกได้ว่าเป็นชีวประวัติที่อ่านสนุกเล่มหนึ่ง
วัฒน์ เล่าว่า ตั้งแต่เยาว์วัยก็ได้ฟังเพลงของครูไพบูลย์ บุตรขันโดยตลอดทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่าเพลงเหล่านั้นใครเป็นผู้ประพันธ์ แต่สิ่งเดียวที่เขารู้คือ ช่างไพเราะจับใจและมนต์เสน่ห์แห่งคีตศิลป์ทำให้เขากลายเป็นสาวกครูไพบูลย์โดยไม่รู้ตัว
"ฟังมาตั้งแต่เด็กโดยที่เราไม่รู้ว่าครูไพบูลย์แต่ง เราเป็นเด็ก นอนอยู่บ้าน เช้ามืดตื่นมาเขาเปิดเพลงของ ทูล ทองใจ ตอนนั้นเราเป็นเด็กเราไม่รู้ว่าใครแต่งเพลงนี้ พอเราโตมาศึกษาถึงได้รู้ว่าเพลงนี้ไพบูลย์ บุตรขันแต่ง เราทึ่งว่าเพลงส่วนใหญ่ที่อยู่ในหัวเรา เป็นเพลงที่แต่งโดยไพบูลย์ บุตรขัน"
ซึ่งก็สอดคล้องพ้องกันกับ อัศวินแห่งวงวรรณกรรมไทย แดนอรัญ แสงทอง ที่สดับรับฟังเพลงของคีตกวีลูกทุ่งท่านนี้อย่างซาบซึ้งกินใจโดยไม่รู้ว่าเพลงเหล่านั้นใครแต่ง มารู้อีกทีก็นับถือครูไพบูลย์เป็นอัจฉริยบุคคลและเป็นดั่งอาจารย์กลายๆ
แดนอรัญ เล่าว่า สิ่งที่เขามองเห็นในตัวครูไพบูลย์ บุตรขัน คือความสามารถรอบด้าน และความชาญฉลาดในการประพันธ์ เพราะตั้งแต่เนื้อเพลง ทำนอง ก็เพราะพริ้ง เขายกตัวอย่างว่าแม้แต่ลักษณาการของแม่น้ำเจ้าพระยาแต่ละห้วงเวลา ครูไพบูลย์ก็ยังนำมาแต่งเพลงได้ และอีกสิ่งที่เป็นเสน่ห์จนเขาอดชื่นชมไม่ได้ คือ ครูไพบูลย์มีความเป็นลูกทุ่งภาคกลางเต็มตัว และภาคภูมิใจในความเป็นคนบ้านนอกของตน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ปรากฏในงานเพลงหลายเพลง อาทิ ใส่สำเนียงเสียงเหน่อในเพลง แม่แตงร่มใบ หรือบอกเล่าเรื่องราวท่ามกลางบรรยากาศท้องทุ่งนาได้อย่างละเอียดลออในเพลง มนต์รักลูกทุ่ง เป็นต้น
ด้าน วัฒน์ ก็เผยถึงอัจฉริยภาพของครูไพบูลย์ในสายตาของเขาว่าเพียงบทเพลงเดียวก็สะท้อนวิถีชีวิตคนไทยชนบทได้เกือบครบปี
"ภายในเพลงท่อนเดียวก็สามารถสะท้อนสภาพสังคมไทยชนบทภาคกลางได้ เช่น เพลง น้ำลงเดือนยี่ เพลงเดียวสามารถสะท้อนสังคมไทยได้ถึง 6-7 เดือน เพลงปรัชญา เช่น เพลงโลกนี้คือละคร เพลงสะท้อนสภาพสังคมชนชั้น เช่น เพลง น้องนางบ้านนา"
และในบทเพลงยอดนิยมในภาวะอุทกภัยอย่างเพลง น้ำท่วม ก็สะท้อนวิถีชีวิตคนไทยที่อาศัยบนที่ลุ่มได้อย่างหมดจดงดงาม เป็นเหตุเป็นผล
"เพลงน้ำท่วมสะท้อนความเป็นจริงของสังคมชนบทไทย มีที่ราบลุ่มก็มีน้ำท่วม ก็เป็นเรื่องปกติ มันต้องมีน้ำท่วมเพราะคนอยู่ที่ลุ่ม ถ้าคนอยู่บนดอยก็ไม่มีน้ำท่วม มีแต่น้ำป่า ซึ่งในเพลงที่เกี่ยวกับน้ำท่วมทั้งหมด เพลงน้ำท่วมของครูไพบูลย์ บุตรขัน แต่งให้กับ ศรคีรี ศรีประจวบ เป็นเพลงที่โด่งดังที่สุด" วัฒน์เล่า "คำว่าน้ำท่วมดีกว่าฝนแล้งเป็นคำพูดของ จอมพล ป พิบูลย์สงคราม พูดเมื่อครั้งที่น้ำท่วมกรุงเทพฯ ปี 2485"
เพราะอัจฉริยภาพอันแจ่มชัดและสายสัมพันธ์ทางดนตรี วัฒน์จึงขอเขียนหนังสือถึงท่าน โดยถือว่านี่เป็นการไหว้ครู
"ครูไพบูลย์เป็นคีตกวีลูกทุ่งที่สมบูรณ์ที่สุดนะครับ ครูไพบูลย์เป็นคนทุ่งเดียวกับผม คือ ทุ่งเชียงราก ปทุมธานี เพลงที่ครูไพบูลย์เขียน ฉากของเพลงมันเป็นทุ่งเดียวกับที่ผมเขียนนิยายเรื่องตำบลช่อมะกอกก็ดี เรื่องคือรักและหวังก็ดี เพราะฉะนั้นคือคนทุ่งเดียวกันพื้นเดียวกัน สิ่งที่ครูไพบูลย์คิด ใกล้เคียงกับเรา หรือว่าครูไพบูลย์มีทั้งความคิดในเชิงสังคม มีความคิดในเชิงโรแมนติก คล้ายกันมาก ผมชอบผลงานของท่านครับ"
เช่นเดียวกันกับแดนอรัญที่ซุ่มเขียนบทภาพยนตร์ว่าด้วยชีวิตครูไพบูลย์ แม้ตอนนี้ยังไม่เสร็จสิ้นและยังหานายทุนไม่ได้แต่เขาก็เปรยให้ฟังว่าจะเล่าชีวิตครูไพบูลย์อย่างเข้มข้น ไม่บิดเบือนอย่างหนังชีวประวัติคนดังเรื่องอื่นๆ แน่นอน เพราะเขาจะทำเพื่อตอบแทนบุญคุณ แดนอรัญบอกอีกว่าเพลงของครูไพบูลย์มีอิทธิพลต่องานเขียนของเขามากพอควร
อีกไม่นานเราๆ ท่านๆ คงจะได้ชมภาพยนตร์ที่บ่มกลั่นจากใจเหมือนกับหนังสือ คีตกวีลูกทุ่ง ไพบูลย์ บุตรขัน ฉบับขัดเกลาใหม่ ซึ่งวัฒน์บอกว่าสมบูรณ์ยิ่งกว่าเดิม
"ตอนนี้เกลาใหม่ ฉบับสมบูรณ์ยิ่งกว่า เพราะมันหายไปจากแผงหลายปีแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังหาที่พิมพ์ไม่ได้เลย"
ทั้งงานเพลง ภาพยนตร์ และวรรณกรรมประสานสอดคล้องกันได้ ด้วยความสามารถและอัจฉริยภาพของคีตกวี นาม ไพบูลย์ บุตรขัน แม้ชื่อของท่านจะค่อยๆ เลือนหายไปจากสังคมไทยยุคไอที แต่เชื่อเถิดว่า บทเพลงของท่านจะยังดังกังวานไกลในดวงใจคนไทยไปอีกแสนนาน
…เหมือนน้ำท่วมที่มีเค้าจะมาเยือนคนไทยทุกๆ ปี
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : กรุงเทพธุรกิจ