Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

คำถามถึง “ผาด พาสิกรณ์” ชายผู้ไม่จำเป็นต้องอาศัยร่มไม้ใหญ่

 

 
เจ้าของรางวัล Exclusive Books Boeke Prize ของแอฟริกาใต้ ในปี 2004 และหนังสือขายดีติดอันดับในปี 2005 ในสหรัฐอเมริกา
 
 
นักเขียนหนุ่มนาม "ผาด พาสิกรณ์" นอกเหนือจากมีผลงานแปลนวนิยายระดับรางวัล Exclusive Books Boeke Prize ของแอฟริกาใต้ ในปี ค.ศ. 2004 และเป็นหนังสือขายดีติดอันดับในปี ค.ศ. 2005 ในสหรัฐอเมริกา
 
รวมทั้งยังเป็นนวนิยายที่ได้รับการออกเสียงให้เป็นหนังสือดีเด่นประจำปีสำหรับกลุ่มนักอ่านในปี ค.ศ. 2006 และ ค.ศ. 2007 และเป็นหนึ่งในหนังสือ 60 เล่ม ที่ได้รับการส่งเข้าแข่งขันในการประกวดชิงรางวัล Penguin/Orange Reading Group ในสหราชอาณาจักร อย่างเรื่อง The Kite Runner (เด็กเก็บว่าว) ผลงานของ ฮาเหล็ด โฮเซนี่ แล้ว เขายังมีผลงานเขียนทั้งเรื่องสั้นและนวนิยาย โดยล่าสุด นวนิยายเรื่อง "เสือเพลินกรง" ยังคว้ารับรางวัลดีเด่นประเภทนวนิยายรางวัลเซเว่นบุ๊คส์ อะวอร์ด ปี 53 อีกด้วย
 
 
และในฐานะที่ ผาด พาสิกรณ์ หรือ วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ   เป็นลูกชายของ "พนมเทียน"ด้วย ดังนั้นคำถามและคำตอบต่อไปนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นความรู้สึกที่ถ่ายทอดจากใจลึกๆ ของเขาทั้งสิ้น…
 
1. คิดอย่างไรกับที่ว่า คุณเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น?
 
ผมว่ามันก็เป็นอะไรที่น่ารักดีนะ ฝรั่งเขาก็มีอะไรคล้ายๆ อย่างนี้เหมือนกัน-like father, like son หรือ the apple doesn't fall far from the tree เป็นขนบเก่าๆ เก๋ๆ ที่น่าจะรักษาไว้ เป็นสำนวนที่บอกว่าไอ้คนนี้ พ่อแม่มันทำมาหาเลี้ยงชีพยังไง มันก็ทำมาหาเลี้ยงชีพเหมือนพ่อเหมือนแม่มันนั่นแหละ ก็ถ้าพ่อแม่มันเป็นหมอ ก็ให้ระวังมันจะจับฉีดยา-หรือถ้าพ่อแม่มันเป็นนักเขียน ก็ให้ระวังฝาบ้านไว้ให้ดี เดี๋ยวมันจะเอาสีมาเขียน มาทา  เป็นสำนวนอุ่นๆ ทำให้เห็นที่มาว่าเราเคยเป็นสังคมที่ใกล้ชิดกัน ไอ้นั่นไอ้นี่ลูกใคร ก็โชคดีไปที่พ่อผมไม่ใช่ซีอุย
 
2.ทำไมถึงตั้งชื่อนามปากกานี้ ‘ผาด พาสิกรณ์’ และแปลว่าอะไร? 
 
ผมอยากได้ชื่อไทยๆ ซื่อๆ สักชื่อหนึ่งมาไว้สำหรับเขียนหนังสือ ผาด จึงเป็นชื่อซื่อๆ ชื่อนั้น ความจริงหากจะเล่าให้ตรง มันก็ไม่ซื่อเท่าไรนัก เพราะคำว่า ผาด นั้นกร่อนมาจาก six syllables mantra ของทิเบต Om Mani Padme Hum ผาด มาจาก ปัทม์ ซึ่งแปลว่าดอกบัวนั่นเอง ส่วน พาสิกรณ์ (pasiigon) นั้นเป็นชื่อที่ผมใช้ทำอะไรต่อมิอะไรเมื่อสมัยเป็นนักเรียน ก็เลยเก็บมันไว้ เพราะชอบตัวไอสองตัวที่ดูเหมือนแฝดสยามยืนกอดคอกันอยู่ตรงกลาง นั่นคือที่มาครับ
 
3. เคยเป็นนักทำโฆษณามาก่อน มีผลต่อการทำงานเขียนอย่างไร?
 
การเขียน คือการเล่าเรื่อง ในมุมมองของผม ไม่คุณจะมีสายอาชีพไหน มันก็นำมาใช้เป็นเกร็ดประกอบการเล่าเรื่องให้เกิดมิติได้ทั้งสิ้น ผมเคยได้ยินมาว่า ในสังคมของคนเก็บขยะนั้น เขาก็มีแบ่งชนชั้นเหมือนกัน ชนชั้นบนซึ่งมีสิทธิคุ้ยขยะสดที่มาลงในวันแรก เมื่อเก็บข้าวของมีค่าไปได้หมดแล้ว ค่อยเปลี่ยนผ่านให้ชนชั้นที่ต่ำลงมาเข้าไปคุ้ยต่อตามลำดับ ด้วยโครงสร้างหลักๆ
 
อย่างที่ว่านี้ ผมเชื่อเลยว่า ในรายละเอียดแล้ว มันต้องมีเนื้อหาอะไรที่ซับซ้อนยุ่งเหยิงอีกมากมายทีเดียว มันเป็นขนบของเขา โลกของเขา ที่-ถ้าพวกเขาไม่ถ่ายทอดให้เราฟัง-เราจะไม่มีทางเข้าใจได้เลย ผมว่ามันเป็นมุมมองที่น่าสนใจจะตายไป คือถ้าคนเหล่านี้เขาหันมาเขียนหนังสือกัน เราก็คงมีอะไรมันๆ และหลากหลายมาให้ได้เลือกอ่านอีกมากมาย  
 
คราวนี้กลับมาที่งานโฆษณาบ้าง ถ้าถามว่ามันมีผลต่องานเขียนของผมไหม ตอบง่ายๆ ก็คือมีในแง่เดียวกับคนเก็บขยะนั่นแหละ มันเป็นอีกอาชีพหนึ่ง ที่คนส่วนใหญ่เห็นและคุ้นเคยกันแต่เฉพาะหน้าฉาก ส่วนเบื้องหลังนั้น มันมีความซับซ้อนอยู่อีกมากมาย ผมก็เลยหยิบส่วนที่ขาดหายไปในความรับรู้ของสาธารณะมาเล่าเป็นเกร็ดความรู้บ้าง หรือมาตั้งเป็นประเด็น หรือ conflicts สำหรับตัวละครที่จะต้องเผชิญ หลบหลีก หรือเอาชนะบ้าง จะมีประโยชน์หรือไม่อย่างไร ก็ต้องปล่อยให้ผู้อ่านเขาตัดสินกันเอาเอง
 
นอกเหนือไปจากมิติของเนื้องานแล้ว สิ่งหนึ่งที่มากับสายงานแขนงนี้ตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนเลยก็คือ ทักษะของการเล่าเรื่อง ทักษะของภาษา การเขียน และการคุมประเด็น ผมได้อาศัยทักษะเหล่านี้แหละมาใช้ในการทำงาน และคงจะใช้มันตลอดไป
 
4.มองงานของต่างชาติเทียบกับงานเขียนคนไทยอย่างไร?
 
ผมไม่ใช่นักวิจารณ์ และต้องขอออกตัวก่อนว่า ผมเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่ค่อนข้างซุกซน ตอนเด็กๆ ถ้าไม่ถูกทำโทษแล้ว ผมจะไม่หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเลย เป็นคนสมาธิสั้นมาก เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่ สององค์ประกอบนี้รวมกัน ทำให้ผมไม่ใช่คนที่อ่านหนังสือมามากเมื่อเปรียบกับนักเขียนคนอื่นๆ  
 
แต่พอเริ่มโตขึ้นมา ผมเริ่มอ่านหนังสือมากขึ้น แต่ก็อีกนั่นแหละคือจะอ่านแต่ในเรื่องที่ชอบที่สนใจ ผมเลยคิดว่า ผมคงตอบคำถามข้อนี้ไม่ได้ เพราะผมอ่านเล่มไหนจบก็แสดงว่าชอบเล่มนั้น อ่านเล่มไหนไม่จบก็แสดงว่าไม่ชอบ หรือยังไม่ชอบ ไทย-ฝรั่งเหมือนกัน เรื่องเล่าของเราหรือของเขาต่างน่าสนใจไม่แพ้กัน มันขึ้นอยู่กับมุมมองและลีลาของผู้เล่าเรื่อง
 
5.งานเขียนของคุณมีลักษณะที่ด้นสูง เหมือนไม่มีพล็อตเรื่อง?
 
 เรื่องด้นน่ะถูกครับ แต่มันก็มีพล็อตกว้างๆ ครอบคลุมเป็นโครงหลักอยู่บ้าง มันคงจะเป็นนิสัยส่วนตัวที่ไม่ชอบอะไรที่มันชัดเจนนัก เราเป็นคนเขียน เราก็อยากสนุกไปด้วยระหว่างทำงาน  เพราะฉะนั้นเลี้ยวได้เมื่อไหร่ ผมเลี้ยว แวะได้เมื่อไหร่ ผมแวะ
 
6. เกี่ยวกับนวนิยายเรื่อง “เสือเพลินกรง” ?
 
บอกตามตรงว่าผมค่อนข้างงงกับเรื่องนี้ที่ถูกนำมาตีความกัน เอาอย่างนี้ดีกว่า คุณคงเคยเห็นไอ้ Bumper Stickers ที่แปะอยู่บนรถสีชมพูว่า “รถคันนี้สีเขียว” คือถ้าคุณมองว่ามันเป็นการอำกันขำๆ ตามขนบของสติกเกอร์แปะท้ายรถ คุณก็จะหัวเราะหึๆ แล้วก็ผ่านมันไป แต่ถ้าคุณมองว่ามันเป็นการแก้เคล็ด ที่ว่าด้วยนัยของสีนั้น-นี้ไม่ถูกโฉลกกับคนขับ เลยต้องนำสติกเกอร์ที่ประกาศว่า รถคันนี้เป็นสีอื่น มาแปะหลอกผีสางเทวดาเอาไว้  คราวนี้เราก็ต้องมานั่งถกนั่งคุยกันถึงความเป็นไปได้ว่า ความเป็นไปได้นั้นมันมีอยู่มากน้อยเพียงไร ถ้ามันช่วยเลี่ยงเคราะห์ได้จริง เราควรจะนำหลักการ สี-กับ-โฉลก นี้ใช้กับชาติของเราด้วยไหม ชาติไทยจะได้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป?
 
ในทำนองเดียวกัน คำโปรยปก “เสือเพลินกรง” มันมีไว้อำกันขำๆ เท่านั้นเอง เพราะหากผมจะ “เคลม” ว่า “เสือเพลินกรง” เป็น นวนิยายเพื่อชีวิต – ที่ติดบาร์โค้ด แล้ว ผมจะตัดคำว่า “ที่” ออก และเขียนว่า “นวนิยายเพื่อชีวิต ติดบาร์โค้ด” เพราะคำว่า “ที่” มันทำให้ประโยคอุ้ยอ้าย แต่ที่ผมมีคำว่า “ที่” ห้อยขยายลงไป พร้อมกับการเขียนทั้งประโยคติดกันนั้น ก็เพื่อจะให้ความหมายมันดิ้นไปมา จับติดบ้าง ไม่ติดบ้าง เป็น “นวนิยายเพื่อชีวิตที่ติดบาร์โค้ด”  
 
ทุกวันนี้มีสินค้าอะไรที่ไม่ติดบาร์โค้ดบ้าง…โถ่ กล้วย!…กล้วยในห้างเขายังแปะบาร์โค้ดกันเลย เพราะฉะนั้นหากคิดสักนิดก็จะเห็นว่า “นวนิยายเพื่อชีวิต – ที่ติดบาร์โค้ด” นั้น มันเป็นคำพูดที่ฟูมฟายและไม่ได้เสนอแนวคิดอะไรใหม่ นอกจากไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาเขียนโปรยปกแล้ว ยังไม่น่าจะต้องมาเสียเวลานั่งตีความอีก คุณว่าไหม? เอ้า มีสติกเกอร์แปะท้ายรถอีกอันที่ผมชอบ ฝากไว้ให้ไปตีความกันต่อ เผื่อจะว่างน้อยลง Learn Spanish! Jesus is coming.
 
7. ทำไมถึงเขียน “เสือเพลินกรง”?
 
ผมอยากเขียนเรื่องที่เราทุกคนเข้าใจ พูดถึงกฎเกณฑ์และกติกาที่เรากำลังใช้มาบังหน้าเพื่อห้ำหั่นกันอยู่เพื่อนำไปสู่การมีชีวิตที่-เราเชื่อว่า-ดีกว่า ซึ่งจะจริงหรือไม่นั้น ก็แล้วแต่ว่าเราจะมองมาจากมุมไหนอิงตำราเล่มใด หากการมีบ้านใหญ่โต รถราคาแพง ลูกเรียนอินเตอร์ คือบทพิสูจน์แห่งความสำเร็จและทำให้เรามีความสุขอย่างถ่องแท้แล้วละก็ จงห้ำหั่นฟาดฟันกันต่อไป
 
แต่หากการที่คุณได้อ่านเรื่อง “เสือเพลินกรง” แล้ว คุณเริ่มเกิดคำถามเกิดความสงสัยในกติกาที่เราถูกโปรแกรมมาให้ “เชื่อว่าใช่” ทั้งที่ท้ายแล้ว มันไม่ได้ทำให้เรามีความสุขขึ้นเลย ผมก็อยากให้คุณลองหยุดพิจารณาแต่ละก้าวของคุณด้วยสติ ชั่งวัดให้ดีก่อนว่ากับเงินที่คุณจะได้มานั้น มันคุ้มกันไหมกับอะไรบางอย่างที่คุณกำลังจะสูญเสียไป และเชื่อเถอะว่า มันไม่มีอะไรที่คุณจะได้มาฟรีๆ-นี่คือคำตอบของผมในแง่เนื้อหา
 
ส่วนในแง่วิธีการนั้น ผมไม่ใช่คนซับซ้อนอะไร คิดว่าตัวเองถนัดแบบไหน ก็เล่ามันแบบนั้น บังเอิญมันเหมาะกับโทนเรื่อง เลยเป็นความฟลุคไป
 
8.ตีพิมพ์ครั้งแรกที่ขวัญเรือน?
 
ขวัญเรือนเป็นนิตยสารฉบับแรกที่รับเรื่องสั้นของผมลงตีพิมพ์ รู้สึกจะเป็นเรื่อง “หญิงจรจัดกับหุ่นโชว์เสื้อ” จากนั้น เมื่อไหร่ที่ผมพอจะเขียนเรื่องสั้นได้ผมก็ส่งไปให้ทางพี่น้อง (คุณมณฑา ศิริปุณย์ บก.บห.) พิจารณา ซึ่งพี่เขาก็ลงให้เรื่อยมา ระหว่างนั้น ผมก็เขียนนวนิยายเรื่องยาว (แบบรวมเล่ม) ไปพลาง แปลหนังสือไปพลาง หนังสือพิมพ์เสร็จออกมาเป็นเล่มก็ส่งไปให้พี่น้องอ่าน เขาก็คงได้เห็นพัฒนาการของผมมาเรื่อยๆ จนกระทั่งผมเขียนนวนิยายเล่มที่สามจบนั่นแหละ ถึงได้คุยกันถึงเรื่องยาวแบบนำลงพิมพ์เป็นตอนๆ ซึ่งก็คือเรื่อง “เสือเพลินกรง” นี่แหละ ที่พี่เขาตอบรับเรื่องนี้ ทั้งที่ได้อ่านเพียงแค่ 6 บทนี่ผมยังงงๆ มาจนกระทั่งทุกวันนี้เลย พี่เขาใจถึงจริงๆ ครับ
 
9. มีเหตุผลอะไรถึงกับตั้งสำนักพิมพ์?
 
แต่ก่อนผมเคยพิมพ์งานอยู่กับสำนักพิมพ์ ณ บ้านวรรณกรรม แต่งานเขียนของผมมันค่อนข้างนอกคอกไปจากกระแสหลักของเขา ก็เลยต้องหาทางออกมาทำสำนักพิมพ์เอง เหนื่อยหน่อย แต่ก็ไม่ผิดหวังหรอกครับ เรื่องนี้ก็ต้องขอบคุณเป้ ชาติวุฒิ บุณยรักษ์-ไม่ได้แรงยุ, และการสนับสนุนจากเขา คเณศบุรีคงไม่เกิด-ส่วนที่ว่าผมพิมพ์งานของตัวเองเป็นหลักนั้น คงไม่จริงเสียทั้งหมด เพราะเข้าลำดับที่ 4 นี้ สำนักพิมพ์เรามีนักประพันธ์น้องใหม่ชื่อพนมเทียนเข้ามาร่วมงานด้วย เป็นงานรวมบทความเล่มแรกของเขา ขนาดเล่มแรกยังเขียนดีขนาดนี้ ก็น่าจับตาว่าเล่มต่อไปจะเป็นอย่างไร เห็นว่าเมษาฯ นี้ก็จะมีเรื่องสั้นออกมาอีกเล่ม ถ้าผมเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เขาก็คงจะเป็นต้นไม้ที่ (ทำต้นฉบับ) หล่นไม่ไกลลูก อะไรเทือกนี้แหละ
 
10. วางชีวิตการเขียนไว้อย่างไร?
 
ก็เขียนจนกว่าจะหมดรักนะครับ เราอยู่ในสายนี้ก็รู้ๆ กันอยู่ว่า มันไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรให้มากนัก ถ้าไม่รักในการเขียนก็คงไม่อยู่
 
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ