คาลิล ยิบราน: คิดได้ เขียนได้ แต่ใช่ว่าจะปฏิบัติได้

ผมเคยคิดว่า คาลิล ยิบราน เป็นคนที่มีความสุข
หลังจากได้อ่านผลงานที่มองชีวิตได้ทะลุปรุโปร่งอย่าง ‘The Prophet’ หรือที่อาจารย์ ระวี ภาวิไล ตั้งชื่อเป็นไทยไว้ว่า ‘ปรัชญาชีวิต’ ของเขา ผมยังเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ‘ในหนึ่งชั่วชีวิตมนุษย์เรา จะมีคนที่มีโอกาสได้เข้าใจชีวิตถี่ถ้วนเช่นนี้สักกี่คนกัน?’
‘ปรัชญาชีวิต’ เป็นเรื่องราวของ ‘อัลมุสตาฟา’ ผู้ซึ่งได้พำนักอยู่ในเมืองออร์ฟาลีสเป็นเวลาสิบสองปี เพื่อรอเรือซึ่งจะนำท่านกลับไปยังเกาะแห่งการเวียนเกิด
เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากไป ชาวเมืองก็พากันห้อมล้อมและอ้อนวอนมิให้ท่านจากไป แต่เมื่อท่านยืนยันว่ามันถึงเวลาอันสมควรแล้ว ‘อัลมิตรา’ หญิงสาวชาวเมืองคนหนึ่งก็ได้ขอร้องท่านว่า
“ขอท่านได้พูดแก่เรา และให้สัจธรรมแก่เรา”
เรื่องราวต่อจากนั้น จึงเป็น ‘สัจธรรม’ ที่อัลมุสตาฟาได้พูดทิ้งไว้บนแผ่นดินแห่งนั้น ครอบคลุมสารพัดเรื่องราวในชีวิต ไม่ว่าจะเป็น ความรัก, การแต่งงาน, บุตร, การบริจาค, การกิน-ดื่ม, การงาน, ความปราโมทย์-โศกเศร้า, บ้านเรือน, เครื่องนุ่งห่ม, การซื้อ-การขาย, ฯลฯ อื่นๆ อีกมากมาย ด้วยความคิดที่ลึกซึ้งราวกับผู้ที่บรรลุแล้วซึ่งสัจธรรมแห่งชีวิต
และแน่นอนว่า ทุกคำทุกสัจธรรมที่ถูกเอ่ยออกจากปากอัลมุสตาฟานั้น ย่อมหลั่งไหลออกมาจากปลายปากกาของ คาลิล ยิบราน
ผมจึงตั้งสมมุติฐานว่า คาลิล ยิบราน ยิ่งน่าจะเข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิตมากกว่าอัลมุสตาฟาเสียอีก เพราะสิ่งที่เขาฝากอัลมุสตาฟาให้เอ่ยออกมานั้นอาจเป็นเพียงบางส่วนจากความเข้าใจทั้งหมดที่มีอยู่ในสมอง
คำถามแรกจากปากของอัลมิตรา “ได้โปรดบอกเราถึงเรื่อง ความรัก”
ท่านอัลมุสตาฟาตอบว่า “เมื่อความรักเรียกร้องเธอ จงตามมันไป แม้ว่าทางของมันนั้นจะขรุขระและชันเพียงไร และเมื่อปีกของมันโอบรอบกายเธอ จงยอมทน แม้ว่าหนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะเสียดแทงเธอ และเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม”
ผมได้ฟังความในหนังสือเล่มนี้ในช่วงที่กำลังมีความรักตามประสาหนุ่ม-สาว และข้อความจากปากท่านอัลมุสตาฟาก็ทำให้ผม ‘ติดตาม’ ความรักไปจนสุดขอบหล้าฟ้าเขียว จนกระทั่งถูกหนามทิ่มแทงเป็นแผลแดงถลอกเป็นไปทั่วทั้งตัว ทุกวันนี้ยามหันไปดูยังแสบระบมไม่หาย
ผมเชื่อหมดใจว่า คาลิล ยิบราน ก็ได้กระทำในสิ่งที่เขาพร่ำสอนผ่านปากอัลมุสตาฟามาถึงดวงตาของผม
ผมเชื่อว่าเขาจะติดตามความรัก
เชื่ออย่างนั้นมาตลอด จนกระทั่งวันนี้
หลังจากได้ ‘บุก’ เข้าไปในชีวิตของเขา ผมจึงได้รับทราบว่า คาลิล ยิบราน จะเป็นชาวเลบานอนโดยกำเนิด เขาเกิดในเมืองบชารี และเรียนหนังสือในเมืองนั้นจนกระทั่งถึงอายุสิบสอง จึงได้อพยพสู่บอสตันกับครอบครัว แต่ไม่นานนักแม่ของเขาก็ส่งกลับไปยังเลบานอนเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนคาทอลิกอันมีชื่อเสียง แต่เมื่ออายุได้สิบเก้าปี เขาก็เก็บกระเป๋าออกจากบ้าน เพื่อใช้ชีวิตวาดภาพและเขียนหนังสือตามความฝันของเขา เขากลายเป็นศิษย์รักของ ‘ออกุสต์ โรแดง’ ประติมากรชื่อดังชาวฝรั่งเศส
หลังจากนั้น ยิบราน ก็ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ระหว่างปารีส, บอสตัน และนิวยอร์ก
เขาได้พบกับ อามีน กุเรอีบ บรรณาธิการและเจ้าของหนังสือพิมพ์อารบิค Almuhager ที่จัดจำหน่ายในนิวยอร์ก เขาอวดผลงานทั้งรูปภาพและบันทึกของเขาให้อามีนดู อามีนจึงขอให้ยิบรานเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการลงหลักปักฐานเพื่อสรรค์สร้างผลงานในบ้านเมืองอื่น
ยิบรานจากบ้านมานานจึงโหยหาแผ่นดินเกิดและญาติมิตร แต่เขาก็ยังไม่พร้อมกลับไป ด้วยเพราะปฏิญาณว่า จะมอบชีวิตแก่ศิลปะ ครั้งหนึ่งเขาเคยเขียนจดหมายหาอามีนว่า
“มนุษย์พบว่าการพลัดพรากจากมิตรรักนั้นยากแก่การทนทานได้ เพราะความปรีดาของเขาเกิดจากสัมผัสทั้งห้า แต่หัวใจของยินรานได้เติบใหญ่กว่านั้นแล้ว มันเติบใหญ่ไปสู่ความปรีดาที่เหนือกว่า ซึ่งไม่ปรารถนาสัมผัสทั้งห้านั้น…จิตวิญญาณของเขาเที่ยวไปทั้งโลกและกลับมาโดยปราศจากการใช้เท้าเดิน ขึ้นรถ หรือลงเรือ”
ยิบราน พูดคล้ายกับว่า เขาสามารถมีความสุขได้โดยไม่จำเป็นต้อง ‘สัมผัส’ แผ่นดินเกิด
แต่นั่นเป็นเพียงตัวหนังสือที่ใช้สำหรับเยียวยาความรู้สึกของตัวเองในส่วนลึกหรือเปล่า?
ผมอดคิดอะไรแบบนั้นไม่ได้ เมื่อได้รู้ในอีกไม่กี่บรรทัดถัดมาว่า
ยิบราน หลงรักผู้หญิงคนหนึ่งมากมาย และเป็นความรักที่ไม่เคย ‘สัมผัส’ กัน มิใช่เพียงผิวหนัง แต่แม้กระทั่งสายตาก็มิเคยได้เห็นหน้า, หูก็มิเคยได้สดับเสียง, จมูกก็มิเคยได้สูดกลิ่นกาย
คงมิต้องนับไปถึง ‘ลิ้น’ ว่าจะได้ชิมส่วนใดของกันและกันหรือไม่!
ผู้หญิงคนนั้น คือ เมย์ ไซเดย์ นักเขียนชื่อดังของเลบานอน เมย์เป็นผู้หญิงที่ยิบรานมักจะส่งบทความและหนังสือที่ตีพิมพ์ไปให้เธออ่านเสมอๆ หลังจาก ยิบราน เสียชีวิต เมย์ได้ตีพิมพ์จดหมายที่เธอและยิบรานตอบโต้กัน ทำให้โลกต้องฉงนกับความสัมพันธ์ที่ผูกโยงกันผ่านเพียงตัวหนังสือ
แม้บางคราว เขาพร่ำรำพันว่าต้องการไปอยู่เคียงข้างเธอ, ปรารถนาหลุดพ้นจากโซ่ตรวนแห่งโลกตะวันตก แล้วล่องเรือกลับบ้าน ทว่าสุดท้ายยิบรานไม่ได้ทำสิ่งใดเลย เขายังคงมุ่งมั่นทำงานด้วยความมั่งมั่นจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต
ยิ่งทำงานหนัก สุขภาพของเขาก็ยิ่งย่ำแย่ และยิ่งสุขภาพย่ำแย่ เขาก็ยิ่งทำงานได้ช้าลง ทำให้กำหนดการการ ‘กลับบ้าน’ ของเขาถูกผลัดออกไป ผลัดออกไป ผลัดออกไป วันแล้ววันเล่า
“ฉันต้องกลับเลบานอนให้ได้ และฉันต้องถอนตัวจากความศิวิไลซ์นี้ที่วิ่งอยู่บนล้อนี่…อย่างไรก็ตาม ฉันเห็นควรว่าจะเป็นการฉลาดที่ยังไม่ออกจากประเทศนี้ก่อนที่ฉันจะได้ฉีกเส้นเชือกและโซ่ที่มัดตัวเองอยู่ให้ขาดสะบั้น แต่เชือกและโซ่เหล่านั้นก็ช่างมากมายเหลือเกิน”
“ฉันอยากกลับเลบานอน และจะอยู่ที่นั่นตลอดไป”
เขาเคยกล่าวคำพูดนี้ทิ้งไว้บนโลก ก่อนที่จะสิ้นลมหายใจในมหานครนิวยอร์กที่ตนเกลียดชัง
และแน่นอน-เขาไม่เคยได้เห็นหน้า เมย์ ไซเดย์ ตลอดชีวิต
“ฉันไม่ใช่นักหนังสือพิมพ์ ดังนั้น ฉันจึงไม่ควรขอในสิ่งที่นักหนังสือพิมพ์ขอ ไม่! ฉันไม่ใช่นักหนังสือพิมพ์ ถ้าฉันเป็นเจ้าของหรือเป็นบรรณาธิการนิตยสารหรือหนังสือเล่มนั้น ฉันคงจะขอรูปจากเธอได้อย่างง่ายๆ ตรงๆ โดยปราศจากความเขินอาย ไม่, ฉันไม่ใช่นักข่าว ฉันควรจะทำอย่างไรดี?”
นี่คือฝีปากกาของ ยิบราน ที่ส่งไปยังเมย์เพื่อเปรียบเทียบนักข่าวคนหนึ่งที่เฝ้าขอรูปจากเธออยู่เสมอกับตัวเอง และแอบหยอดความรักลงไปในระหว่างบรรทัด
แต่ คาลิล ยิบราน-ปรมาจารย์ผู้เข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิตของผมก็ทำได้เพียงเท่านั้น เขาหาได้ติดตามความรักไปทุกหนทุกแห่งอย่างที่ได้ฝากอัลมุสตาฟาพ่นใส่รูหูของอัลมิตราไม่!
“เมื่อความรักเรียกร้องเธอ จงตามมันไป แม้ว่าทางของมันนั้นจะขรุขระและชันเพียงไร และเมื่อปีกของมันโอบรอบกายเธอ จงยอมทน แม้ว่าหนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะเสียดแทงเธอ และเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม”
เขากลับเลือกที่จะอยู่ห่างๆ จากมัน และซ่อนตัวอยู่หลังตัวหนังสือ
ตัวหนังสือแห่งจินตนาการ
ตัวหนังสือที่พาเขาไปสู่โลกอีกใบหนึ่งที่ไม่มีประเทศเลบานอน ไม่มีมหานครนิวยอร์ก
เป็นโลกที่เขาสามารถเที่ยวท่องไปได้ทั้งโลกโดยปราศจากการใช้เท้าเดิน ขึ้นรถ หรือลงเรือ
โลกที่ปราศจากการ ‘สัมผัส’
แม้ว่าการได้รู้ประวัติชีวิตของผู้เข้าใจชีวิตอย่าง คาลิล ยิบราน จะทำให้ผมตาสว่างขึ้นว่า ผู้เข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิต ก็หาใช่ผู้ที่สามารถเลือกดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุขเสมอไป และบรรดานักเขียนทั้งหลายที่ส่งมุมมองล้ำลึกและบรรลุสัจธรรมผ่านทางตัวหนังสือ ก็อาจมิได้ดำเนินชีวิตตามสิ่งที่เขาทั้งหลายเขียนเพื่อพร่ำบอกผู้อ่านไปซะทุกอย่าง บางครั้งก็อาจเขียนเพื่อบำบัดในสิ่งที่ตัวเองไม่สามารถกระทำได้ในชีวิตจริงด้วยซ้ำไป แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความประทับใจที่มีต่อ ’ผลงาน’ ของเขาลดน้อยถอยลง
ผมกลับรู้สึกว่า คาลิล ยิบราน เป็นมนุษย์มากขึ้นด้วยซ้ำ
มนุษย์-ที่แม้จะเข้าใจโลกและชีวิตเพียงใด แต่ก็ใช่ว่าจะปฏิบัติได้อย่างที่เข้าใจไปเสียหมด.
……………………….
เนื้อหาส่วน ‘ปรัชญาชีวิต’ ถอดความโดย ระวี ภาวิไล สนพ. ผีเสื้อ
เนื้อหาส่วนประวัติชีวิต จาก ‘โลกวรรณกรรม’ โดย วิวรณ์ สนพ. ทางเลือก
ขอบคุณข้อเขียนดีๆจาก : http://www.onopen.com