ความสุขแท้จริงของมนุษย์ตามทัศนะของอัลแบร์ กามู

นั่งดูฟุตบอลโลกระหว่างแอลจีเรียกับสโลวีเนีย ในขณะที่นักฟุตบอลในสนามกำลังเตะกันอย่างเอาเป็นเอาตายกันไปข้าง ในใจกลับย้อนไปนึกถึงนักเขียนรางวัลโนเบลชาวแอลจีเรียคนหนึ่งคืออัลแบร์ กามู (Albert Camus) บอกว่าเป็นนักเขียนฝรั่งเศสแต่เกิดที่แอลจีเรีย ปกติหนังสือที่ได้รับรางวัลโนเบลมักจะอ่านยาก ต้องอ่านหลายรอบ แต่สำหรับหนังสือของกามูอ่านง่ายอ่านครั้งเดียวเข้าใจ ฟังโฆษกสนามประกาศว่านักเตะแอลจีเรียบางคนโอนสัญชาติจากฝรั่งเศสมาเป็นแอลจีเรียเพื่อร่วมมหกรรมฟุตบอลโลกครั้งนี้โดยเฉพาะ กล้องยังซูมไปที่ซีนาดีน ซีดาน อดีตนักเตะชาวฝรั่งเศสที่มีเชื้อสายแอลจีเรียมานั่งชมเกมส์การแข่งขันด้วย
ตามประวัติย่อๆอัลแบร์ กามู (Albert Camus, 7 พฤศจิกายน 1913 – 4 มกราคม 1960) เป็นนักเขียนและนักปรัชญาชาวฝรั่งเศส ได้รับรางวัลโนเบลจากนวนิยายเรื่อง "คนนอก" ในปี 1957 เกิดที่เมืองมอนโดวี ประเทศแอลจีเรีย บิดาเป็นกรรมกรไร่องุ่นของครอบครัวชาวฝรั่งเศสที่มาตั้งถิ่นฐานที่เมืองแอลเจียร์ตั้งแต่ปี 1871กามูจบการศึกษาระดับมัธยมที่แอลเจียร์ในฐานะนักเรียนทุน และได้ทุนเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแอลเจียร์เช่นกัน ทำวิทยานิพนธ์สำหรับปริญญาโท เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างความคิดแบบ
กรีกและศาสนาคริสต์ ในงานของโพลตินกับเซนต์ออกัสติน
ผลงานที่สำคัญของกามูเช่น คนนอก (L'Étranger) (1942) ความตายอันแสนสุข (La Mort heureuse) มนุษย์คนแรก (Le premier homme) มนุษย์สองหน้า (La Chute) กาฬวิบัติ (La Peste) (1947) เว็บมาสเตอร์ไซเบอร์วนารามชอบนักเขียนคนนี้เป็นพิเศษจึงอ่านทุกเรื่องที่มีคนแปลเป็นไทย เพราะอ่านภาษาฝรั่งเศสไม่รู้เรื่อง เหลือเรื่องสุดท้ายคือกาฬวิบัตินอนหลับสนิทในกองหนังสือมานานแล้วยังอ่านไม่จบ
อัลแบร์ กามู ได้ชื่อว่าเป็นนักปรัชญากลุ่มอัตถิภาวนิยม (Existentialism)พจนานุกรมศัพท์ปรัชญาให้คำนิยามไว้ว่า “ทัศนะทางปรัชญาที่ให้ความสำคัญแก่ปัจเจกภาพมากกว่าสากลภาพ เสรีภาพมากกว่ากฎเกณฑ์ เน้นการสร้างสรรค์มากกว่าการอนุรักษ์ระเบียบแบบแผน ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล และให้ความสำคัญแก่ความรู้เชิงอัตนัย(Subjective Knowledge) เช่นความรู้ที่เกิดจากการประสบด้วยตนเองมากกว่าความรู้เชิงปรนัย (Objective Knowledge) เช่นความรู้ที่เกิดจากเหตุผล กล่าวคือถือว่าความรู้เชิงอัตนัยมีน้ำหนักมากกว่าความรู้เชิงปรนัย(ราชบัณฑิตยสภา,พจนานุกรมศัพท์ปรัชญา,ราชบัณฑิตยสถาน,2548, หน้า35)
แนวคิดแบบปัจเจกเน้นที่ตัวบุคคล มีความเป็นส่วนตัวสูง มักจะทำอะไรที่อยู่นอกกรอบหรือนอกกฎเกณฑ์ของสังคม แม้จะไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร แต่การไม่แคร์สังคมก็อาจทำให้ถูกสังคมมองว่าเป็นคนนอกสังคมได้ ในยุคคอมพิวเตอร์หลักคิดแบบนี้ย้อนกลับมาอีกครั้งคนที่อยู่กับคอมพิวเตอร์นานๆมักจะมีปัญหากับสังคม เข้ากับคนไม่ค่อยได้ เพราะมัวแต่ให้ความสนใจกับคอมพิวเตอร์ บางครั้งคุยกับคอมพิวเตอร์รู้เรื่องมากกว่าคุยกับคนเสียอีก
แนวคิดของ อัลแบร์ กามู ในกลุ่มเดียวกับนักปรัชญาฝรั่งเศส ฌอง ปอล ซาร์ตร์ ( Jean-Paul Sartre, 21 มิถุนายน ค.ศ. 1945 กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส – 15 เมษายน ค.ศ. 1980 ที่กรุงปารีส)ที่มีความเชื่อพื้นฐานว่ามนุษย์ถูกสาปให้มีเสรีภาพ และเป็นเจ้าของผลงานที่อ่านยากมากเล่มหนึ่งคือ Being and Nothingness ฉบับแปลเป็นภาษาไทยเคยเห็นผ่านตาลางๆน่าจะใช้ชื่อว่า “อัตถิภาวะและนัตถิภาวะ” แต่พอจะหาอ่านกลับไม่มีขาย ชาร์ตร์ปฏิเสธไม่เข้ารับรางวัลโนเบล เขาบอกว่าเขามีเสรีภาพที่จะเขียนและมีเสรีภาพที่จะไม่รับรางวัลใดๆทั้งนั้น ฟังแล้วก็เข้าใจยากอีกนั่นแหละ แนวคิดของปรัชญากลุ่มนี้มีผู้ตีความเรื่องเสรีภาพไปหลากหลายจนบางกลุ่มกลายเป็นพวกบุปผาชนหรือพวกฮิปปี้ที่มักจะทำอะไรตามใจฉัน เพราะเชื่อตามปรัชญาว่าฉันเกิดมามีเสรีภาพ
อัลแบร์ กามูกล่าวไว้ว่า ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์นั้นมีอยู่ 4 ข้อ นั่นคือ “อยู่ในที่ที่มีอากาศปลอดโปร่ง พ้นจากความทะเยอทะยาน มีความคิดสร้างสรรค์ และรักใครสักคน” ฟังเข้าท่าลองขยายความหน่อยปะไร
1.อยู่ในที่อากาศปลอดโปร่ง อันนี้ไม่เถียง อากาศดีมีส่วนทำให้สุขภาพดีไปด้วย คนที่มีสุขภาพดีแข็งแรงย่อมไม่ค่อยเจ็บป่วย ความไม่มีโรคเป็นลาภอย่างยิ่ง แต่คนในปัจจุบันกลับไม่ค่อยให้ความสำคัญกับข้อนี้เห็นได้จากในที่ทำงานจะต้องเป็นห้องแอร์ถึงจะน่าอยู่ ห้องแอร์ที่ว่าคือแหล่งรวมเชื้อโรคต้องสูดลมหายใจจากลมหายใจของใครอีกหลายคน บางคนอาจกำลังป่วย แต่เมื่อเลือกทำงานอย่างนี้แล้วก็ต้องยอมเสียสถานที่อากาศปลอดโปร่งไป แม้มนุษย์จะมีทางเลือก แต่บางครั้งทางเลือกก็มีให้เลือกไม่มากนัก
2.พ้นจากความทะยานอยาก เรื่องนี้ทำยาก เพราะมนุษย์เกิดมาพร้อมกับตัณหาที่แปลว่าความทะยานอยาก จะทำได้ต้องพอมีพอกินถึงจะหมดความอยาก ภาษิตไทยบอกไว้ว่า “ไม่อด ไม่อยาก” แสดงว่ามีมากพอจนไม่อยาก พระพุทธศาสนาก็สอนให้ละความอยากได้แก่ “กามตัณหา ภาวตัณหา วิภาวตัณหา” หากจะแปลตามสำนวนที่เข้าใจง่ายก็ต้องแปลว่า “อยากให้มา อยากให้อยู่ อยากให้ไป” ทั้งสามอย่างเรียกว่าความทะยานอยาก ใครที่สามารถตัดความทะยานอยากออกไปจากจิตได้ ต้องยอมรับว่าเป็นคนที่มีความสุข
3.มีความคิดสร้างสรรค์ เรื่องนี้คล้ายกับไอสไตน์ที่บอกว่าจินตนาการสำคัญกว่าความรู้ คนที่มีความคิดสร้างสรรค์จะไม่เหงา เพราะมีเวลาคิดค้นคว้า ที่สำคัญไม่เป็นโรคสมองฝ่อ เพราะสิ่งใดที่ใช้งานอยู่เสมอสิ่งนั้นย่อมจะมีพลัง ความคิดของมนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกันต้องฝึกคิดฝึกใช้บ่อยๆอย่าปล่อยให้ฝ่อ
4.รักใครสักคน กามูไม่ได้บอกไว้ว่าใครสักคนนั้นคือคนจริงๆหรือสิ่งของหรืองานที่ทำ สมมุติให้คำนิยามตามตัวอักษร คนๆหนึ่งก็ต้องมีความรักใครสักคนหรือหลายคนเช่นพ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ เพื่อน สหาย ฯลฯ ความรักที่เกิดขึ้นด้วยความบริสุทธิ์จะทำให้คนมีความสุขด้วย แต่คำนิยามของ “ความรัก” นั้นนักปราชญ์ทั้งโลกยังหาคำนิยามที่เป็นที่ยอมรับอย่างแท้จริงไม่ได้ ดังนั้นความรักจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก
ใครจะเชื่อแล้วนำไปลองใช้ดูก็ได้ หากทำได้ทั้งสี่ข้อน่าจะมีความสุขจริง บางทีไม่ต้องครบทั้งสี่ข้อชีวิตก็น่าจะมีความสุขแล้ว เช่นข้อแรกอยู่ในที่อากาศปลอดโปร่ง ในยุคที่ธรรมชาติบริสุทธิ์หายาก ยิ่งในเมืองใหญ่ยิ่งต้องเผชิญกับมลภาวะสูดอากาศพิษเข้าไปทุกวัน ไหนจะต้องเร่งรีบกับการทำงาน คนจึงหาความสุขได้ยาก ใครที่หาสถานที่อากาศปลอดโปร่งได้ต้องนับว่าโชคดี นักปราชญ์ในอดีตจึงมักจะอยู่ตามป่าเขา ลำเนาไพร ในถ้ำ มีชีวิตที่สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด จึงมีเวลาคิดค้นปรัชญาที่เป็นอมตะได้
ธรรมะมาได้จากทุกที่ บางทีอาจจะมาจากคนที่ไม่เคยศึกษาธรรมะมาก่อนเลยก็ได้ อย่างอัลแบร์ กามู เป็นนักเขียนและนักปรัชญาชาวแอลจีเรีย แต่ได้นำเสนอปรัชญาชีวิตที่น่าสนใจ ธรรมะมีอยู่ทุกที่ใครมีปัญญาดีไปหาเอาเอง
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน