Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

ความรัก’ ในบทเพลงเหนือกาลเวลาของ สง่า อารัมภีร

 

 
บทเพลงรักแสนหวานหลายต่อหลายเพลงเคยขับกล่อมหัวใจคนหนุ่มสาวในยุคหนึ่ง กาลเวลาผันผ่านสู่อีกยุค แม้ท่วงทำนองเสนาะหูนั้นในยุคนี้จะเปลี่ยนไปบ้างตามเว่อร์ชั่นใหม่ๆต่างๆ… ทว่า ทุกเมโลดี้ยังจับขั้วหัวใจนักฟังเพลงรุ่นลายครามไม่จางหาย รวมทั้งคนรุ่นใหม่ๆด้วยที่หลงซาบซึ้งกับถ้อยคำในบทเพลงอย่างไม่รู้ตัว
 
 มีบางคนเคยบอกว่า คนรุ่นใหม่ใช้ความรักอย่างสิ้นเปลือง และตีค่าความรักผิดแผกไปจากที่ควร ยิ่งถ้าได้ย้อนเวลาไปดูความรักของคนรุ่นก่อน จะยิ่งประจักษ์ว่าความรักอันบริสุทธิ์คืออะไร แม้จะสมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง แต่รูปรอยแห่งรักกลับไม่ขุ่นมัวเท่าปัจจุบันนี้เลย
 คงจะดีไม่น้อยหากเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นเดือนแห่งรักนี้ คนรุ่นใหม่จะเรียนรู้เรื่องราวความรักจากบทเพลงหวานซึ้งซึ่งเคยตรึงใจคอเพลงในอดีต จนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะฝีไม้ลายมือการประพันธ์โดย ครูแจ๋ว สง่า อารัมภีร บรมครูเพลงไทยประยุกต์ แม้ว่าท่านจะจากลาวงการนี้ไปนานนับทศวรรษ แต่ชื่อของครูสง่า ไม่ว่าในนิยามของนักประพันธ์เพลง ศิลปินแห่งชาติ นักดนตรี หรือ นักเขียน เจ้าของนามปากกา แจ๋ว วรจักร ก็ยังประทับแน่นในห้วงคำนึงของคอเพลงเสมอมา
 คนรุ่นใหม่อาจนึกไม่ออกว่าครูสง่าคือใคร แต่ถ้าหากเอ่ยชื่อหลายเพลงดัง อาทิ น้ำตาแสงไต้, เรือนแพ ,ทาสเทวี ,สีชัง ,หาดสีทอง,วานลมจูบ ,แม้ทะเลยังระทม, ปริญญาชาวนา ,หนี้รัก, รักข้ามขอบฟ้า, ชีวิตฉันขาดเธอไม่ได้ ,หนึ่งในร้อย ฯลฯ  …หรืออย่างเพลง ทะเลไม่เคยหลับ ที่โด่งดังของวง ดิ อิมพอสสิเบิ้ล  โดยเพลงที่เหนือกาลเวลาเหล่านี้แหละ ล้วนแล้วแต่เป็นผลงานของครูแจ๋ว หรือสง่า อารัมภีร ทั้งสิ้น แม้ทุกวันนี้ก็มีนักร้องรุ่นใหม่ๆนำมาขับขานอย่างต่อเนื่อง 
 อะไรที่ทำให้เสน่ห์เพลงรักของครูสง่ายังมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบันนี้ได้ อาจต้องมองให้ลึกในหลายประเด็นความ…
 สิ่งแรกที่นักฟังเพลงรุ่นใหม่กับรุ่นเก่ามีไม่เท่ากันคือสุนทรียะขณะฟัง เพลงใหม่คนใหม่วกวนอยู่เพียงคำว่า 'รัก' แม้จะรายล้อมด้วยเรื่องราวประกอบมากมายทว่าสุดท้ายกลับหลีกหนีรักแบบฉาบฉวยไปได้ไม่ไกลนัก แต่สำหรับเพลงเก่าคนเก่ามักมีแก่นของ 'รัก' ชัดเจน กอปรกับวรรณศิลป์เทียบเท่างานวรรณกรรมดีๆ สักชิ้น กระดูกมวยของเพลงยุคใหม่กับยุคเก่าจึงต่างเบอร์อยู่มากโข
 อีกสิ่งหนึ่งที่เพลงรักของครูสง่าโดดเด่นเหนือเพลงอื่นใด คือ จิตวิญญาณที่ใส่ลงไปเพลงนั้น 'น่าเชื่อถือ' จากคำบอกเล่าของ บูรพา อารัมภีร บุตรชายคนโต ครูสง่าแต่งเพลงจากแรงบันดาลใจในหลายๆ สิ่ง ความรักในเนื้อเพลงและทำนองมักจะถ่ายทอดจากความรักที่ท่านมี เช่น เพลง รักคนที่เขารักเราดีกว่า ก็มาจากประสบการณ์ความรักของครูสง่าโดยตรง
 "ก่อนที่จะเจอแม่ผม ก็เคยรักผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เขาไม่รักตอบ พอดีแม่มารัก ก็มาเป็นเพลงรักคนที่เขารักเราดีกว่า"
 เมื่อย้อนไปครั้งเยาว์วัย สง่า อารัมภีร เติบโต ณ ตำบลบางขุนพรหม ซึ่งเป็นหมู่บ้านนักดนตรี ตั้งแต่วังบางขุนพรหม เป็นที่ประทับของ สมเด็จฯเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต มีวงดนตรีบรรเลงเป็นประจำทั้งวงปี่พาทย์ มโหรี เครื่องสาย จนถึงแตรวง บรรเลงเพลงไทยและเพลงฝรั่ง ครูสง่าวัยเด็กได้ยินได้ฟังเพลงดังออกจากวังนั้นเสมอ นอกจากนี้วัดอินทรวิหาร วัดใหญ่อมตรส วัดสามพระยา ซึ่งอยู่ใกล้เคียงยังเป็นแหล่งรวมนักดนตรีกลุ่มเครื่องสายที่สำคัญ อาทิ บ้านของหลวงไพเราะเสียงซอ (อุ่น โรยชีวิน), บ้านหลวงเสียงเสนาะกรรณ (พัน มุกตวาภัย), บ้านขุนสนิทบรรเลงการ (จง จิตตเสวี) และครูละเมียด จิตตเสวี, บ้านของนายเตียง ธนโกเศศ เรื่อยมาจนถึงบ้านพิณพาทย์ในซอยวัดสามพระยา เสียงดนตรีจึงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตวัยเด็กกระทั่งฝักลึกติดตัวเรื่อยมา ประกอบกับพ่อแม่บุญธรรมเป็นผู้รักดนตรี จานเสียงเพลงไทยเพลงฝรั่งถูกเปิดฟังในบ้านเป็นปกติวิสัย เมื่อได้ฟังเพลงไทยสากลในระยะเริ่มแรกของ พรานบูรพ์ ซึ่งแต่งขึ้นเพื่อประกอบการแสดงละครมากเป็นพิเศษ จึงฝังใจในเพลงประกอบละครเรื่อยมา
 เมื่อเติบใหญ่ ครูสง่า ได้ศึกษาศิลปะการดนตรีเพิ่มเติมด้วยตนเอง คือ อาศัยฟังเพลงมากซึ่งส่วนมากในยุคนั้นจะเป็นยุคเพลงละครทั้งหมด
 ทั้งเพลง น้ำตาแสงไต้, หนึ่งในร้อย หรือ เรือนแพ ล้วนเป็นเพลงประกอบละครซึ่งถือเป็นการตกผลึกจากประสบการณ์ของครูสง่าทั้งสิ้น ทว่าก่อนที่ละครเรื่องต่างๆ จะก่อกำเนิดขึ้นมาได้ล้วนแตกหน่อจากบทประพันธ์ งานวรรณกรรม
 ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ครูสง่าก็หลงใหลในตัวอักษร รักการอ่านหนังสือมากเสียจนเป็นหนอนหนังสือคนหนึ่งทีเดียว หนังสือนวนิยายยุคนั้นไม่ว่าจะของ ดอกไม้สด, แม่อนงค์, แม่ราตรี, ยาขอบ ตลอดจนหนังสือวารสาร เช่น เสนาศึกษา ก็อ่านจนหมด วรรณคดีเก่าก็ไม่ละเว้น จนทำให้ความรู้ด้านภาษาไทยของครูสง่าจึงลุ่มลึก โดยเฉพาะโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน
 บูรพา บุตรชาย เล่าว่า พ่อของเขาหลงใหลหนังสือมากถึงขั้นเคยหนีออกจากบ้านเพื่อเดินทางไปตามที่นักเขียนเคยเขียนไว้ ในปีพ.ศ.2479 ขณะที่ผู้ปกครองไปธุระที่กรุงเทพฯ ท่านออกจากบ้านไปท่องเที่ยวลำพังตัวคนเดียว รับจ้างทำงานคุมเครื่องเรือยนต์ที่บ้านแหลมเพชรบุรีจนถึงปีพ.ศ.2480
 "พ่อชอบอ่านหนังสือมาก อ่านหนังสือจนเคยหนีไปเที่ยวก็เคยนะ อ่านหนังสือของดอกไม้สด อยากไปเห็นบ้านแหลม หนีออกจากบ้านไปดูบ้านแหลมว่าเป็นอย่างที่เขาเขียนหรือเปล่า"
 ต่อมาความรู้ความสามารถที่สั่งสมจากการอ่านหนังสือก็สะพรั่งเป็นดอกผล เพลงหลายเพลงมีวรรณกรรมเป็นแรงบันดาลใจ
 "เพลงบางเพลงก็เอามาจากวรรณกรรม อย่าง เวนิชวานิช ของ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 พออ่านหนังสือเยอะก็หยิบงานจากในหนังสือ อย่าง เพลงความรัก เพลงสีชัง แต่งให้อาหม่อม (หม่อมราชวงศ์ถนัดศรี สวัสดิวัตน์) อาหม่อมก็ได้แผ่นเสียงทองคำ เพลงจากภาพยนตร์ อย่างเรือนแพ มนตร์รักดอกคำใต้ หนี้รัก นี่ก็มาจากวรรณกรรมแล้วไปทำเป็นภาพยนตร์"
 บูรพา เล่าต่อว่า เพลงรักของครูสง่ามีต้นธารมาจากหลายทาง ทั้งจากชีวิต ละคร ภาพยนตร์ และจากหนังสือ ครูสง่าจึงคบค้าสมาคมกับนักเขียน และนักหนังสือพิมพ์ บ่อยครั้งที่ท่านนั่งร่ำน้ำอำพันกับมวลมิตรเหล่านั้น และน่าจะบ่อยครั้งกว่าท่านได้พบปะสังสรรค์นักดนตรีด้วยกันเองเสียอีก คุณลักษณะเช่นนี้จึงติดตัวครูสง่ามาตลอด ไม่ว่านั่งประพันธ์เพลง หรือปฏิบัติกิจวัตรใดๆ ก็ตาม ท่านมักจะหยิบยกขวดเล็กๆอันเปรียบเสมือน 'อาวุธทางอารมณ์' ขึ้นมาจิบอยู่เนืองๆ จึงไม่น่าแปลกใจหากจะพบเห็นครูสง่านั่งยิ้มกริ่มได้ตลอดเวลาเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่
 "นี่แหละชีวิตศิลปินสมัยก่อน ศิลปินดั้งเดิม" บูรพา กล่าว
 การคบหาสมาคมนักเขียนนักประพันธ์ของครูสง่า สาเหตุหนึ่งนอกจากได้ร่ำสุราพูดคุยกันอย่างถูกคอกันแล้ว นักเขียนทั้งหลายประดุจคลังความคิด คลังปัญญา หากเมื่อใดครูสง่าได้เสวนาด้วยย่อมได้รับอะไรมาไม่มากก็น้อย
 "พ่อเขาไม่คบเฉพาะนักแต่งเพลง เพราะนักแต่งเพลงก็อยู่เฉพาะโลกของเขา แต่พอพ่อมาอยู่กับพวกเขียนหนังสือเป็นอีกเรื่องแล้วนะ พวกนี้สนุกนะ ความคิดความอ่านอะไรต่ออะไร 'มันมาก'"
 หลังจากได้ร่วมวงสนทนาและวงสุรากันได้ดี บวกกับครูสง่าเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน จึงรู้จักผู้คนมากขึ้น เส้นทางอาชีพและวรรณกรรมจึงเปิดกว้าง และชื่อของ แจ๋ว วรจักร ก็เป็นที่ยอมรับขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนามปากกานี้ก็มีที่มาจากความรักของครูสง่าและภรรยาของท่าน
 บูรพา เล่าว่า "ชื่อแจ๋ว วรจักร เพราะแม่อยู่วรจักร อยากรำลึกถึงว่าพบรักกับแม่ที่วรจักร แม่เป็นลูกสาวร้านถ่ายรูปที่วรจักร"
 แจ๋ว วรจักร ไปปรากฏผลงานอยู่หลายแห่ง อาทิ สยามสมัย, ดาราไทย, ไทยรัฐ, เสียงปวงชน, ฟ้าเมืองไทย, ฟ้าเมืองทอง, ไทยโทรทัศน์, ฟ้าอาชีพ, ฟ้านารี, ถนนดนตรี
 ก่อนที่ครูสง่าจะถึงแก่กรรมไปเมื่อกลางปี 2542 ผลงานเพลงของท่านกว่า 2,000 เพลง มีนักร้องแจ้งเกิดจากบทเพลงของท่านมากมาย ซึ่งในวันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2555 นี้ บทเพลงรักซึ่งกลั่นจากความรักของครูสง่า อารัมภีร จะกลับมาขับกล่อมผู้ฟังอีกครั้ง ในคอนเสิร์ต 'หีบเพลงชัก…แทนคำรัก สง่า อารัมภีร' นับเป็นการเปิดศักราชใหม่ในเดือนแห่งความรัก ที่จะมาเรียกรอยยิ้มคนไทยได้อีกครั้ง สำหรับแฟนเพลงรุ่นลายครามนับเป็นการพาย้อนรำลึกถึงวันวานแห่งความสุขและความทรงจำที่งดงาม สำหรับนักฟังเพลงรุ่นใหม่นี่คือคีตกรรมอันเป็นบทเรียนรู้สำคัญ และทรงคุณค่ายิ่ง เพราะจะได้เต็มอิ่มกับบทเพลงลูกกรุงยอดนิยม ผลงานประพันธ์ของ ศิลปินแห่งชาติ สาขาเพลงไทยสากล ท่านนี้ ถ่ายทอดอารมณ์โดย ศิลปินแห่งชาติ และรวมสุดยอดนักร้องคุณภาพระดับตำนาน อาทิ สวลี ผกาพันธุ์, สุเทพ วงศ์กำแหง, ชาลี อินทรวิจิตร, ชรินทร์ นันทนาคร, ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์, ธานินทร์ อินทรเทพ, วินัย พันธุรักษ์ เป็นต้น
 ร่วมดื่มด่ำสุนทรียรสแห่งดนตรีได้ ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ประตูเปิด 13.00 น. เริ่มแสดง 14.00 น. รายได้ส่วนหนึ่งมอบให้กองทุนสวัสดิการ สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
 
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : http://www.bangkokbiznews.com