มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน | Reading Culture Promotion Foundation

กาละแมร์ หนึ่งคนบันเทิงรักงานเขียน

 

 
อยากให้แมร์เล่าคร่าวๆว่า เด็กมหาลัยก่อนที่ตรงมาเป็นผู้สื่อข่าวต้องมี attitude อะไรพิเศษมั่ง 
ในช่วงมัธยมเป็นช่วงไฟแรงของชีวิตเลยก็ว่าได้เป็นช่วที่ค่อนข้างหาทางเดินที่ค่อนข้างจะชัดเจน ว่าตัวเองอยากเป็นแบบนี้ อยากทำแบบนี้ ก็ค้นหาตัวเองเรื่อยมาวิชาแนะแนวมีส่วนช่วยเหลือได้มาก สำหรับเด็กๆที่เรียนมัธยม คนอื่นจะคิดว่า วิชาแนะแนว เป็นวิชาวิ่งเล่น เม้าท์แตก กินขนม แต่จริงๆแล้ววิชาแนะแนวช่วยเหลือคนเยอะมาก คือค้าจะมีแบบทดสอบ จะมีกิจกรรมให้ทำ ให้เราค้นหาตัวเอง ว่าเรามีนิสัยอย่างไร มีความชอบอย่างไร แมร์ไม่รู้ว่าเพื่อนชอบรึเปล่านะแต่แมร์ชอบ รู้สึกได้มาค้นหาตัวเอง ว่าเราเป็นแบบนี้ แบบนี้เหรอ จากนั้นเราก็ถามตัวเองเรื่อยมาว่าเราเป็นคนยังไง ก็จะบอกว่าเราเป็นคนกระตือรือร้น เราก็จะได้รู้ ว่าเราเป็นคนยังไง แต่อาจารย์เค้าก็จะไม่ได้ได้ให้คำปรึกษาอะไรมาก คือเราก็จะเรียนรู้จากแบบทดสอบ มันก็จะชัดเจนมากขึ้น พอ ม. 3 ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น ก็เลยเลือกเรียนสายศิลป์ ถ้าเลือกแผนวิทย์ก็จะเป็นเด็กเรียนเก่ง ก็คิดว่าเราอยากเลือกเรียนแผนศิลป์ เพราะเราไม่ชอบ เรียนวิทยาศาสตร์ได้ไม่ดีแล้วก็ไม่มีความสุขเลย แต่เรายังชอบเลขอยู่ แมร์ก็จะไม่ลังเลที่จะเลือกศิลป์คำนวณ ก็รู้สึกว่า วิชาที่เรียนเช่นชอบภาษาไทยชอบสังคม มีภาษาอังกฤษบ้าง มีเลข เลขก็สนุก ฉะนั้นเราก็จะสนุกๆในสิ่งที่เราเลือก แล้วพอใกล้เอ็นทรานซ์เนี่ย ก็มีวิชาแนะแนวก็เข้ามามีส่วนอีก นี่เราเริ่มเข้าไปแล้วว่าสิ่งที่เราอยากเรียนเค้าเรียนคณะอะไรกัน พอเรียนคณะนี้ เค้าต้องสอบอะไร คือเริ่มต้นค้นหาตัวเอง แล้วก็ค้นหาว่าสิ่งที่เราจะไปถึงเราต้องหาหนทางอะไรยังไง
 
แสดงว่าเท่าที่ฟังครึ่งนึงหรือมากกว่าครึ่งนั้นมาจากตัวเองบวกกับโรงเรียนแสดงว่าตัวเองจะต้องมาจากครอบครัวที่หล่อหลอมให้เป็นอย่างนี้รึเปล่า 
ไม่นะคะครอบครัวไม่ได้บอกเลย ตอนแรกไม่ได้ส่งเสริมด้วยว่าให้เรียนนิเทศศาสตร์ แม่อยากให้เรียนอักษร พ่ออยากให้เรียนบัญชีอะไรอย่างนี้ เราก็ไม่ถนัดทั้ง 2 อย่างคืออักษรเราก็คิดอยากจะเรียนเหมือนกันเพราะเป็นคนชอบภาษาแต่ตอนนั้นรู้สึกว่าเราอยากเป็นแบบเนี้ยเป็นสื่อสารมวลชน อยากเป็นคนอยู่เบื้องหลังรายการ อยากเป็นคนทำข่าวอะไรแบบนี้ แต่ที่บ้านปรึกษาไหม ไม่ได้ปรึกษา
 
แล้วเราได้ไอเดียมาจากไหน
มาจากคุณ ผุสชา โทณะวนิก ตั้งแต่ตอน ป.6 ที่ได้บอกไป ก็เลยค้นหาถามตัวเองเลื่อยมาโดยตลอด สังเกตดูความถนัดของตัวเอง ที่ชอบออกไป present หน้าห้อง แล้วก็มีความสุขที่ได้แบบ manage เพื่อนว่าเฮ้ยเอาตรงนี้ไปพูด เราก็รู้สึกว่าเราทำตรงนั้นได้ดีกว่าส่วนอื่นๆก็คิดว่าเราก็น่าจะมาถูกทางนะ
แล้วที่ประเมินตัวเองตอนเด็ก คิดว่าเพื่อนเห็นเราเป็นยังไง 
เพื่อนก็เห็นเราเป็นแบบนี้แหละคะ พอตอนโตแล้วนี่ก็มาคุยกัน เค้าก็คิดนะว่าเราจะต้องเป็นแบบนี้ เราก็รู้สึกว่า เราเป็นคนช่างพูดช่างคุย ชอบเขียนชอบอะไรแบบนี้ เค้าก็จะเห็นว่านี่คือสิ่งที่เราอยากจะทำจริงๆ แล้วก็คิดว่าเราน่าจะทำได้ เค้าก็จะมาบอกตอนที่เราทำงาน
 
เป็นมนุษย์ของกลุ่ม หรือแตกต่าง หรือหัวโจก 
เป็นหัวโจก จะเป็นคนคอยตัดสินใจว่าเราจะทำอะไร เพราะเพื่อนเป็นพวกอะไรก็ได้ ไปซ้ายก็เดินไปด้วยกัน ไปขวาก็เดินเอ้ยๆ ไม่เอากินขนมอะไรแบบนี้ เพื่อนจะไม่ค่อยคิด เพราะฉะนั้นเราเป็นค่อนข้างทำอะไรเร็วๆ เราก็เลยคิดด้องตัดสินใจเองมันก็ดีเหมือนกันคือเพื่อนก็ไม่ได้เพราะเพื่อนบอกอะไร เพราะฉะนั้นนี่เราก็ตัดสินใจแล้วกัน มีเพื่อนอีกคนก็จะเป็นเหมือนเราก็จะเป็นไปในแนวทางเดียวกันเหมือนกับเรา ว่าเฮ้ยเร็วๆช่วยตัดสินใจแทนไปเลยเพราะว่ามันขี้เกียจคิด
ที่ถามนี่เพราะว่าคนที่มาได้ถึงจุดนี้ที่กะละแมร์เป็น แล้วก็มีความมั่นใจแบบนี้ ในสังคมก็จะได้รับการมองเป็น 2 อย่าง อย่างแรกก็คือเป็นหัวโจกไปเลย มองอีกแง่นึงก็คือแปลกไปเลย แสดงว่าเราโชคดีที่เป็นไปในทางนี้ 
แมร์ว่าแมร์คงไม่แปลกไปกว่าเพื่อน ถ้าแปลกก็คือแปลกในเรื่องของสายงานถ้าแปลกก็จะแปลกในเรื่องของสายงานในความสนใจที่แตกต่างกัน เพื่อนก็อาจจะเรียนไปในด้านเศรษฐศาสตร์ บัญชี บริหาร นี่คือกลุ่มเพื่อนสนิทกันในตอนมัธยม เป็นครูเป็นอะไรไป แต่แมร์ว่าที่แปลกก็แปลก ที่อาชีพแต่ว่าในความชอบ หรือว่าในทางอะไรที่ทำมัน ก็จะไม่แปลกอะไรไปจากเพื่อนก็จะเป็นไปในแนวทางเดียวกัน คือความชอบเหมือนๆกัน
 
แล้วพอเรียนนิเทศแล้วระหว่างเรียนก็จะเกี่ยวข้องอะไรอย่างนี้รึเปล่า                                                                            ก็ยังค้นหาตัวเองอีก เพราะว่านิเทศก็จะต้องลงลึกไปอีก คิดว่าเราจะทำอะไรจะทำหนังสือพิมพ์ จะทำ TV. จะทำหนัง จะทำประชาสัมพันธ์หรือจะทำโฆษณาหรืออะไรอย่างนี้ เราก็จะเริ่มหาตัวเอง ปี 1-2 ก็ยังเป็นช่วงค้นหาตัวเองเหมือนกันว่า เราจะเลือกจะทำอะไรดี ก็ลองถามตัวเองมาหลากหลาย ก็อย่างเช่นว่า เรารู้สึกว่าเราจะไม่เหมาะกับการเป็นคนโฆษณา ญาติเคยอยู่บริษัทโฆษณา ก็ผลักดันว่าอยากให้เป็น copy แต่เราคิดไม่ออก คิดไม่ออกจริงๆ ต้องแบบว่า 10 คำ แล้วต้องแบบว่าปิ๊ง เราทำไม่ได้ ยากมากเราคิดจนหัวแตกก็ทำไม่ได้ นอกจากว่าเขียนๆเป็นเรื่องราว คิดว่าทำไม่ได้ก็เลยตัดๆ ทำหนังไม่ใช่ เรารู้สึกว่าเราไม่ได้เป็นคนชอบทำหนังหรืออะไรขนาดนั้น ทำประชาสัมพันธ์เรารู้สึกตอนนั้นตอนเรียนนี่ เรียน PR. มันต้องเขียน เวลาสอบใครเขียนเยอะได้ A อะไรแบบนี้ เราก็โอโฮไม่ไหว เรียนหนังสือพิมพ์เราก็ไม่ได้สนใจที่จะทำหนังสือพิมพ์ เรามุ่งแล้วว่าเราจะทำเรื่องเกี่ยวกับ TV. วิทยุอะไรอย่างนี้ เป็นวิชาที่ไม่ต้องเขียนตอบเขียนสอบมาก คือปฏิบัติ คือใช้แรงงานเข้าว่า เราก็เลยแบบว่าเราชอบ เราไม่ต้องอ่านหนังสือสอบเป็นเล่มๆ คือวัดกันที่ฝีมือ วัดกันที่สิ่งที่ทำ ถึงแม้ว่าจะมีคนบอกว่าหนักนะ แต่เราชอบเรารักอะไรอย่างนี้
 
นี่คือเราเลือกงานแล้วทีนี้คุณสมบัติที่งานเลือกเรานี่คือคุณสมบัติในด้านไหน                                                          ที่ทำช่อง 3 ใช่รึเปล่าคะ ตอนนั้นช่อง 3 ก็เลือกอีกว่าเรา… ตอนนั้นช่อง 3 เค้าเปิดรับสมัคร เค้าเปิดรับสมัครทาง TV. คือในใจเราเลือกถึงสถานที่เราทำงานด้วย คือที่นี่เราอยากอยู่ที่นี่ อยากอยู่ฝ่ายข่าว แล้วอยากอยู่ช่อง 3 เราก็เลยเลือกแล้วตอนนั้นเค้าก็เปิดรับสมัคร เค้าบอกว่ารับสมัครผู้ประกาศข่าว เพื่อนก็ดูกันทุกคนก็ดูกันตอนนั้นช่วงปี 4 ช่วงนั้นใครไปไหนไปด้วย เค้ารับไม่กี่ตำแหน่ง แต่เราก็จะไปด้วยกัน เราก็ไปกันผ่านขั้นตอนการสมัคร เหมือนกับทุกๆคนที่มาถึง ต้องสอบข้อเขียน มีการพูดกับกล้องหรืออะไรต่างๆนาๆ คัดเลือกจากรูปถ่าย ที่ส่งมาเป็นจดหมายแนะนำตัวประวัติ แล้วก็ผ่านไปอีกหลายขั้นตอนคะ สอบสัมภาษณ์ อ่านจริงๆลองแต่งหน้าทำผม แล้วลองอ่านคู่ซิ อ่านแล้วอัดเทปทำอยู่ประมาณซัก 6 เดือน กว่าที่หัวหน้าเค้าจะโทรไปบอกเรา ว่าเค้ารับเราเข้าทำงานแล้วนะ 6 เดือนนี่แบบว่าพิจารณาแบบว่าละเอียดมาก
 
เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่คนไม่ค่อยรู้ อย่างพี่ก็นึกว่าส่องกระจกอ่านภาษาไทยรู้เรื่อง จังหวะดีได้ นี่คือภาพที่พี่นึก 
ที่ๆมาพลิกตัวเองเป็นผู้ประกาศข่าว ตอนแรกแมร์ไม่คิดที่จะทำงานเบื้องหน้าเลย แมร์คิดว่าเราจะทำงานแบบ ครีเอทีฟโปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์ทั่วไป เราอยาก เฮ้ย มีรายการอย่างนี้นะในหัว เราอยากทำอย่างนี้ เรามีวิชาหนึ่ง ที่ต้องประกาศข่าว มีตัวเดียวเท่านั้นเองในวิชาโทรทัศน์ ซึ่งต้องแต่งหน้าทำผม มีสูตรมาใส่อะไรแบบนี้ มีข่าวมาอ่านก็เหมือนกับที่เค้าทำเป็นอาชีพ ปรากฏพอเข้ากล้องปั๊บ ก็มีอาจารย์ชม อาจารย์เค้าก็พูดทีเล่นทีจริง เอ้อแมร์เธอก็ขึ้นกล้องนะอะไรอย่างนี้ แล้วเพื่อนๆก็ยุ เพื่อนก็แบบว่า แกใช้ได้นะอะไรอย่างนี้ แค่แรงยุเท่านั้นเราก็รู้สึกว่าเราน่าลองดูนะ ทั้งที่เราไม่อยากอยู่หน้ากล้อง ก็แค่อยากทำตรงนั้น 
 
แสดงว่าต้องมีคุณสมบัติอะไรที่นอกเหนือจากความอยาก ความสามารถ หรือการคำว่าขึ้นกล้องมันไม่ใช่ไสยศาสตร์ มันเป็นเรื่องจริง
ผิวมั้งคะ มันเป็นมายาจริงๆนะคะ TV. เรายิ่งอยู่มันก็ยิ่งแบบว่าคนบางทีหน้าตาปรกติธรรมดาพอเข้ากล้องมันดูแปลกไปเลยเนอะ หรือบางทีคนก็สวยๆ พอเข้า TV. ก็ดูธรรมดาก็ได้ แมร์มันก็เป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้ในจอทีวี 
 
แต่ตอนแรกพี่ก็ว่าหน้าสวยแต่แปลกใจว่า เออ ทำแมร์บอกว่าเห็นอย่างนี้ แล้วเห็นเป็นอีกอย่าง แสดงว่ามันไม่ใช่วิทยาศาสตร์ ร้อยเปอร์เซ็นต์ นอกจากที่เราทำมาแล้วเนี่ย มันต้องมีอีกอย่างนึงใช่มั้ยคะ
ก็อาจจะเป็นได้ …อาจจะเป็นได้
 
แล้ว Attitude ในการทำงานต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง
มาทำงาน ก็ใช้ใจเยอะมาก ใช้ใจไปเกินร้อย คือเราก็ต้องเปิดรับทุกอย่างสิ่งใหม่ๆ เราคือเด็กใหม่ เราเริ่มจากศูนย์ หรือติดลบเลยด้วยซ้ำทุกชน ทุกคนเป็นพี่ๆในนี้ก็มีประสบการ มากกว่าเรา ยินดีที่จะทำ คือเรายินดีเรียนรู้งานทุกตำแหน่ง มีถ่ายเอกสารที่เป็นสคริปท์ข่าว แล้วเก็บเทปที่เค้าอ่าน หรือสคริปที่เค้าอ่านจริงๆเอามาอ่านทุกวันทุกวัน เข้าไปตอนแรกก็ยังไม่ได้อ่าน ต้องเข้าไปซัก 2 เดือน 3 เดือน ถึงจะได้อ่าน ตอนนั้นทำทุกหน้าที่ชงกาแฟให้แขกที่มาเราก็ทำเราคิดว่าเรามีความสุข แล้วเราก็สนุกกับการที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่
 
แล้วมันเป็นตำแหน่งไหมคะว่าเป็นตำแหน่งอะไร 
ก็ตำแหน่งผู้ประกาศข่าว
 
แต่เบื้องหลังเราไม่บอกใครใช่ไหมคะ
แต่เราก็ไม่อะไรนะคะ
 
ช่วงนั้นเป็นช่วง Formation ด้วยใช่ไหมคะ
ใช่ๆช่วงทดลองงาน ก็รู้สึกสนุกกับสิ่งที่เรา ทุกคนเป็นสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับเราหมดงานทุกงานก็ต้องออกไปฝึกงานทำข่าว ก็ได้รู้จักคนนั้นคนนี้ก็ช่วยเค้าไปหมด ต้องถือแบ็ด แบกกล้องก็ทำ ทำทุกอย่างๆ เป็นสิ่งแปลกใหม่ สำหรับพวกเรา อยากเรียนรู้กับมันเข้าไปเรียนรู้กับมัน คือแบบจุ้นจ้าน ตรวจข่าว บก.ตรวจข่าวไม่รู้ก็ถาม คือเป็นคนที่ไม่รู้ก็ถามแล้วก็เรียนรู้กับมันให้เร็วที่สุด
 
แล้วสิ่งที่แมร์เป็นเนี่ยเป็น General สำหรับคนที่ทำอาชีพนี้ทั่วไปหรือเปล่า
แมร์คิดว่าความจุ้นจ้านอาจจะน้อยกว่าหรือเปล่า แต่แมร์เป็นคนกล้า เวลาเราไม่รู้เราจะถาม หรือว่าเราอยากทำอะไรเราก็จะเข้าไปที่ตรงนั้น คือจะไม่รีรอ หรือจดๆจ้องๆคือรอดูโอกาส ดูกาละเทศะให้ดี แล้วก็ด้วยบุคลิกที่เป็นคนที่แบบ มหาวิทยาลัยหล่อหลอมเหมือนกันว่าเด็กจุฬาจะเป็นคนที่อ่อนน้อมถ่อมตัว เราไม่ได้เสแสร้ง แต่เรารู้สึกว่า เราเข้ากับสังคมได้ราบรื่นกับทุกคนอะไรอย่างนี้ค่ะ หรือว่าเราทำตัวให้เป็นเด็กที่น่าเอ็นดู เค้าก็จะถ่ายทอด เค้าก็จะบอกในสิ่งที่เราอยากรู้ แล้วก็มันเป็นคุณสมบัติ ของคนที่ทำทางด้านสื่อมวลชนด้วย ก็คือว่ามันทำให้เราเนี่ยเป็นคนที่เราอยากรู้อยากเห็นโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ว่าเอ้ย..มันเกิดอะไรขึ้น มันจะมีคำถามเกิดขึ้นในสมองเลย ก็ตอนที่เค้าสัมภาษณืไปเนี่ย เค้าถามว่าทำไมๆคุณถึงอยากเป็นผู้ประกาศข่าว เราก็จะบอกว่า อย่างเกิดเหตุเพลิงไหม้ หรือเกิดเหตุอะไรขึ้นเราอยากเป็นคนบอกคนอื่นๆ มันมีจุดนึงที่แมร์รู้สึกว่า ตอนนั้นไฟไหม้สยาม แล้วแมร์เรียนพิเศษอยู่ตอนช่วงมัธยมที่จะเอ็นท์เข้ามหาวิทยาลัย ไฟไหม้สยามทุกคนเพื่อนๆหนีกันกระจาย แต่เราไม่หนี แบบอยากรู้อยากเห็นว่ามันไหม้ตรงไหน แล้วเค้าทำอะไรกัน ตอนกล้อง T.V. มาสัมภาษณ์ ร.ป.ภ. อะไรอย่างนี้เราก็ไปยืนหลัง ร.ป.ภ. พอออกข่าวก็จะเห็นเราออก T.V. คือเราอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เราอยากรู้อยากเห็น ลองถามหนูสิหนูอยู่ในเหตุการณ์ อยากเป็นคนแบบว่ารายงานว่า คุณผู้ชมคะตนนี้นะคะไฟไหม้อะไรอย่างนี้ อยากบอกตรงนั้น ภายในเราเรียกร้อง เราอยากพูด เราอยากบอก ว่าเราไปเจออะไรมาเราก็จะถ่ายทอดมาเป็นของเรา เป็นคนพูดจามีลำดับได้ดีมากเป็นเพราะอะไรเป็นเพราะครอบครัว เป็นเพราะการอ่านหนังสือ หรือเป็นเพราะสติปัญญาหรือเป็นเพราะมหาลัยสอนมา ถ้าให้ประเมินตัวเอง
แมร์ว่าการอ่านหนังสือช่วยได้ 
 
กี่ปีเตรียมตัวทัน 3ปีทันไหม หรือชั่วชีวิตไม่ทันแล้ว
แมร์ว่าทัน บอกหลายคนมากเพราะบางคนมาถามแมร์ ก็ว่าอยู่ที่ความตั้งใจว่าเราอยากทำอะไร คือพออยากทำอะไรปุ๊บ เออ.. เราก็จะพยายามหาสิ่งที่เราอยากเป็นแบบนั้น หาสิ่งรายรอบสิ่งแวดล้อม เค้ามีหนทางกันอย่างไรใครที่เค้าทำกันแบบนี้ พยายามไปหาเค้าให้ใกล้ที่สุด ยิ่งสนิทกับเค้าก็ยิ่งได้อะไรจากเค้าก็ดี ถึงแม้จะไม่ใช่ภายในวัน 2 วัน ต่สามารถเก็บเอาไว้ใช้ในวันข้างหน้าได้ ประสบการของเค้ามีคุณค่ามาก การอ่านบทสัมภาษณ์ การอ่านหนังสือ ช่วยได้มากทีเดียวค่ะ ส่วนความอดทนขยัน ก็จะได้จากที่บ้านได้มาจากแม่ เพราะแม่เป็นคนขยันมาก แล้วแม่ก็ไม่เคยเจ็บป่วย แม่ไม่เคยหยุดทำงาน แมร์ก็ทำอย่างแม่ได้บ้าง แมร์ว่าอยู่ที่การฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญ แมร์ก็ไม่ได้เป็นคนพูดจารู้เรื่อง เมื่อตอนเด็กๆ พูดจาไม่ชัดด้วยนะคะ พูดจาด้วยภาษาวัยรุ่น เป็นคนแบบพูดไม่ชัด จนมาอยู่ที่นี่เค้าก็บอกว่าต้องพูดให้ชัด ต้องพูดเต็มปากเต็มคำ มันเป็นการฝึกฝนตัวเองไปเรื่อยๆ ตอนแรกมันอาย อายที่จะพูดชัด เป็นเด็กอายที่จะพูดชัด ทำไมต้องพูด ร.เรือ ล.ลิง เราก็รู้สึกว่าเฮ้ย เราทำงานนี้ก็คิดว่าการพูดชัดมันดีนะ มันก็เลยติดของแบบนี้แก้ไขได้อยู่ที่ว่าเราเอาจริงและฝึกฝน มันก็หายๆเหมือนกัน
 
แล้วการที่กำลังใจหรือเรี่ยวแรงที่เราจะได้ดันตัวเองไปจนถึงตรงนี้ ส่วนหนึ่งต้องคิดหรือว่า ต้องให้กำลังใจตัวเองมาก่อนไหม ว่าเราต้องมีอะไรพิเศษมาอย่างนึง หรือมีใครบอกเรา 
ตัวเอง ตัวเองมาก่อนที่สุดเลย ตัวเองเป็นคนที่ผลักดันตัวองมากที่สุด คนรอบข้างอาจจะเป็นกำลังในยอมที่แบบต้องการคำปรึกษา หรือเวลามีปัญหาอะไรแบบนี้ อยู่ที่ตัวเองเลยว่าเฮ้ยเราอยากทำ เราอยากไปให้ถึงตรงนี้ เราอยากมีวันนี้ ก็แบบตอนแรกที่เราอยากเห็นตัวเองในจอ T.V. แค่นั้นเองว่าออก T.V. แล้วเป็นไงเหรอ แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้นมันมีขั้นตอนอะไรอีกเยอะแยะมากมาย ตอนช่วงนั้นก่อนหน้าช่อง 3 นะคะไม่เคยบอกใครนะว่าไปประกวด ITV.นะ ไปสมัคร ITV. คือตอนนั้นตอนเรียนอยู่เลยปี4 เพื่อนก็แห่กันไป แค่ส่งรูปไปยังไม่ผ่านเลยอะ ร็สึกว่าไม่เป็นไร ถ้ามีช่องทางไหนในสิ่งที่เราต้องการ เพื่อตอบสนองในสิ่งที่เราอยากทำ ก็พยายามไปให้ถึงจุดนั้น อยากทำอะไรทำ อยากทำอะไรต้องรีบทำแล้วก็แสดงให้เค้าเห็นว่าเราทำได้เหมือนกัน เราทำได้ดีหรือไม่ดีผลที่ออกมาก็จะตัดสินเราเอง
 
แล้วมีทัศนคติอย่างไร กับการที่คนส่วนหนึ่งในสังคมหรือว่าเด็กส่วนใหญ่รู้สึกมีความกลัว หรือรู้สึกอะไรในการประกวดที่เปิดเผย แต่ทีนี้คนบางคน ประกวดที่เปิดเผยอย่างแมร์อยากได้ แมร์ก็ไปประกวด แมร์เองมีทัศนคติยังไงกับเรื่องนี้ แล้วอยากจะบอกอะไรกับน้องๆบ้าง ที่อยากจะทำอย่างนี้ที่มีทัศนคติจากการหล่อหลอมของเพื่อน ของสังคม ว่าแกกลัวโดนเพื่อนประนาม
คือมันก็ต้องถามตัวเองนะว่าตัวมีความใฝ่ฝัน ว่าความใฝ่ฝันคืออะไร จุดมุ่งหมายคืออะไร มันต้องเข้มแข็งมัน แล้วมันก็ต้องก้าวไปนะ ไม่ใช่เราละทิ้งเพื่อนไม่ใช่ว่าละทิ้งสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่ว่าเราแปลกแยก แต่เรามีความฝันเท่านั้นเองเราก็อยากจะให้ถึงความฝันของเรา เพราะฉะนั้น นี่เป็นความสุขนะถ้าเราได้ทำอะไรในสิ่งที่เราอยากทำ แล้วพอทำได้มันรู้สึกภูมิใจในตัวเอง ความภูมิใจในตัวเอง ความภูมิใจมันไม่ได้เกิดกันทุกวันนะ พอเราทำได้ก็นะ เราก็ทำได้นะ เพราะฉะนั้นของแบบนี้ ชีวิตทั้งชีวิตคุณอาจไม่เคยภูมิใจเลยก็ได้ เพราะว่าคุณไม่กล้าที่จะทำ เพราะฉะนั้นโอกาส บางคนบอกว่ามันไม่มีโอกาส..ไม่จริง แมร์มาทุกวันนี้แมร์ก็บอกว่าแมร์ไม่มีเส้นสาย เราเดินเขาไปหาโอกาส ถ้าวันนั้นเราดู T.V. แล้วเห็นเค้ารับสมัคร แล้วไม่กล้าไปมันก็จะไม่มีวันนี้เลยโอกาสมันเปิดให้คุณ คุณก็ต้องเดินเข้าไปหามัน พอคุณมีโอกาสก็แสดงเข้าไปเค้าก็ต้องเห็นความพยายาม ขอให้มีช่องทางเล็ก ช่องทางน้อย ตรงไหนก็ได้ที่มันมีสิ่งที่แสดงความสามารถ หรือว่าความคิดเห็นของเรา มันก็จะใส่ตรงนั้นเข้าไป ดีไม่ดีเค้าก็จะเป็นคนตัดสินเราเอง เค้าก็จะเป็นคนดูผลงานของเราเอง
 
แล้วนอกเหนือจากเรื่องทัศนคติการเตรียมตัวในเรื่องกายภาพหรือว่าอะไรต่างๆ บุคลิกภาพต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
อุ้ย..ตอนแมร์เข้ามาสมัคร แมร์ใส่ชุดนักศึกษาแบบมอมๆมาเลยนะ ตอนนั้นทุกคนแบบนางงามมาเลยนะ พวกเธอแบบว่าผมตั้งกระบัง ตอนนั้นกำลังฮิต แล้วก็แต่งหน้าใส่ชุดทำงาน เราก็นึกว่าเรามาผิดหรือเปล่าวะ ตอนนั้นห้องข้างๆก็กำลังสมัครประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ซ้าย ผู้ประกาศขวา ตอนนั้นเราก็แบบมอมหน้าก็ไม่แต่งหน้ามันมาเลย ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง วันแรกเค้ามา เค้าก็ตองเทสต์หน้ากล้องด้วยเหรอ เราก็ไม่มีอะไรนอจากผ้าเช็ดหน้าให้มันหายมัน ก็บุคลิกภาพก็มีส่วน เพราะอยู่ไปเรื่อยๆสังคมสิ่งแวดล้อมก็จะหล่อหลอมเราเอง มันจะรู้สึกว่าแรกๆ แต่งหน้าพอเสร็จก็ต้องรีบๆลบออกทุกวันเลย รับไม่ได้เลยแต่งหน้าเป็นลิเกเลย แบบเป็นลิเกมากเลย แต่พอเจอทุกวันมันก็จะชิน แล้วก็จะรู้ว่าอะไรจะเหมาะกับเรา เราควรแต่งตัวอย่างไร ทำผมอย่างไร แต่งหน้าอย่างไร คือต่อไปสิ่งแวดล้อมมันก็จะหล่อหลอมเอง ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนก็อยากดูดี เราก็ต้องไขว่คว้าหาอะไรที่มันดีกับเรา เหมาะกับเรา เห็นคนนั้นใส่อันนั้นแล้วสวย เราลองดูซิ ว่าเหมาะกับเราไหม อะไรอย่างนี้ มันจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์เองว่าเราจะต้องดูดี ไม่ต้องกังวลว่าแบบคิดว่าชั้นไม่สวยอะไรแบบนี้ แต่ถ้าได้ทำมันก็สามารถปรับเปลี่ยนได้
 
ส่วนเรื่องที่ไม่สุขในงานประเภทนี้มีอะไรบ้าง
อืม..การรอ แมร์เป็นคนไม่ชอบรอ เป็นคนแบบรู้สึกว่าเวลาในการรอมันเปล่าประโยชน์ อย่างแมร์ชอบการทำข่าวเพราะแมร์รู้สึกว่าการทำข่าวมันรวดเร็วกระชับ ฉับไว ปึ๊บ ๆ ๆ ๆ เสร็จในหนึ่งวัน แต่แมร์ไม่ชอบที่จะไปทำรายการหรือเล่นละครหรือว่าไปร่วมรายการที่มีการร่วมบันทึกเทปนานๆ เรารู้สึกอึดอัด เราจะทำอะไรดีเราจะ…อ่านหนังสือมันก็ไม่ใช่ การรอคอย และเวลาที่สูญเสียไปตรงนั้น นี่คือข้อเสียของการทำงานแบบนี้ แต่ว่ามันเลือกไม่ได้ เพราะมันเป็นทีมเวิร์คไม่ใช่เราทำคนเดียว แมร์ต้องรอบางทีแค่แบบว่าแสง กระดาษบังแสงมันไม่มี ต้องวิ่งไปซื้อหน้าปากซอยแค่เนี้ยเราก็ต้องรอนี่คือข้อจำกัดของงานอาชีพนี้ทุกคนต้องพร้อมเพราะฉะนั้นฝึก EQ. แบบว่าไม่ให้โมโห ไม่หงุดหงิด เพราะมันเป็นธรรมชาติ
แล้วพูดถึงเรื่องอาชีพจริงๆบางนะเวลามองแล้วคนเข้ามาในวงการสื่อสารมวลชนคนค่อนข้างจะรู้ว่าสวยหรู โก้เก๋
 
ค่าครองชีพเป็นยังไงคะ 
เข้ามาปุ๊บเข้ามาก็ได้เงินเหมือนคนจะปริญญาตรี ได้ 8,000 บาทเท่ากัน ช่องสามก็จะมาค่าอ่านข่าวให้ แล้วก็จะมีค่าเสื้อผ้าให้ เพราะเราก็ต้องมีเสื้อผ้าออก T.V. ทุกวัน
หมายถึงว่าเราจะต้องซื้อเสื้อผ้ามาใส่เองหรือคะ ต้องคิดเองหรือคะ ไม่มีคนดูแลหรือคะ
ที่นี่ไม่มี Costume นะ จริงๆ ที่นี่ทุกคนก็จะดูแลกันเอง ทุกคนก็จะแบบว่าแกใส่นี่ดีนะเมื่อก่อนจะมีสปอนเซอร์เสื้อผ้า แต่ตอนหลังไม่สปอนเซอร์ เค้าให้เหตุผลว่า เวลาหลังจบข่าว จะต้องขึ้นชื่อสปอนเซอร์ขึ้นมา เค้าบอกว่ามันเปลืองเวลา มันมีความสำคัญที่จะต่อรายการต่อไป เพื่อไม่ให้คนดูเปลี่ยนช่องได้นี่เป็นกลยุทธการตลาดเลยนะ เค้าก็เลยให้ค่าเสื้อผ้า
 
ทำงานในอาชีพนี้ มันมีหน่วยงานของรัฐที่จะมาคอยดูแลหรือเปล่า
มันก็มีแต่ประกันสังคมที่คอยช่วยเหลือ เวลาเจ็บป่วยอะไรก็สามารถไปใช้บริการได้ ส่วนมากเรื่องของสิทธิพิเศษมากกว่า เช่นการได้ของฟรีอะไรอย่างนี้ ตอนแรกนึกว่าเราไม่เหมือนดารา ไม่ค่อยมีใครรู้จัก แต่จริงๆ แล้วมักจะมีคนจำได้ ขนาดบางวันไม่ได้มักจะแต่งหน้าเลยก็ยังมีคนเข้ามาทัก มาชวนคุย มันก็เสียความเป็นส่วนตัวไปพอสมควร บางทีอยากจะทำโน่นทำนี่ก็ไม่ได้ กลัวคนอื่นเค้าดูเราแล้วไม่ดี เวลาไปไหนมาไหนก็จะได้รับการต้อนรับอย่างดี มีสิทธิพิเศษสามารถแซงคิวได้ ความคาดหวังของคน พอเค้าเห็นเราเค้าก็อยากให้เรายิ้ม คนที่เค้ารู้จักเรา เวลาเจอเรา ก็อยากเห็นเราเป็นเหมือนตอนที่เราทำงาน เพราะไม่ว่าจะเครียด จะเศร้าก็ต้องยิ้ม ไม่สามารถแสดงอารมณ์ได้ตามต้องการในโอกาสนั้น ถึงขนาดบางครั้งสติแตกมากๆ ไปตลาด พอมีคนเข้ามาทัก ก็จะรู้สึกว่าชีวิตมันไม่มีส่วนตัว อยากจะแคะขี้มูกก็คงไม่ ดูดน้ำเสียงดังก็คงจะไม่เหมาะเพราะคิดว่ามีคนรอบๆตัวเรากำลังมองอยู่ แม้กระทั่งบางทีถึงขนาดจะเสยผม ก็ยังไม่กล้าเลยกลัวดูไม่ดี
 
แล้วแมร์คิดว่าเราเลือกอาชีพผิดหรือเปล่า
แมร์คิดว่าในแต่ละอาชีพก็มีจุดเด่นจุดด้อยต่างกันไปก็แล้วแต่งาน ที่สำคัญคือต้องเข้าใจกับมัน ต้องอยากเรียนรู้ที่จะอยู่และเข้าใจ E.Q. ต้องสูง แมร์เดิมเป็นคนที่คาดหวังกับสิ่งที่คนอื่นทำ ต้องมีความเข้าใจ ปล่อยวาง ละเว้นความโกรธ ให้ได้
 
ความก้าวหน้า จากผู้ประกาศอ่านตามสคริปท์ มาพิธีกร เป็นตัวของตัวเอง คิดว่าเป็นความก้าวหน้าในอาชีพ หรือเปล่า
 
เริ่มจากการทำ Scoop ก็ทำข่าวเอง เขียนสคริปท์เอง แมร์เองมีความกล้า ทำอะไรที่แปลก หรือว่าแตกต่างไปจากคนอื่น หยิบเอาความคิดเห็นมานำเสนอ ผู้ประกาศต้องประพฤติตามความคาดหวัง เสน่ห์ การเริ่มทำเป็นตัวเอง เป็นการฝ่ากระแสเดิมๆ จากภาพลักษณ์ของผู้ประกาศเดิมๆ จากเคร่งขรึม เรียบร้อยมาเป็น โผงผางเป็นในแบบตัวเองเป็นการปลดปล่อย ก้าวต่อไป ตอนนี้ก็ทำในสิ่งที่ชอบอยู่แล้ว ทีมงาน OK ลงตัว พึงพอใจในสิ่งที่ได้ทำอยู่แล้ว ไม่รู้สึกว่ามั่นคง
คงไม่เขียน "กายกรรมบนเส้นด้าย" ชีวิตมีขึ้นมีลง ไม่ยึดติดกับสิ่งที่ทำอยู่ พอใจกับสิ่งที่ได้รับตอนนี้แล้ว ถ้ารายการเลิก จะทำอะไร ถ้ายังอยู่ที่นี่+มีความสามารถในตัวเอง ไม่หยุดนิ่ง+ Connection +ความสามารถ มีความมั่นใจ ในความสามารถ+ พรสรรค์+ประสบการณ์ ของตัวเองวางอนาคตบั้นปลายไว้ว่า อยากจัดรายการวิทยุเล็กๆ ต่างจังหวัด
เขียนหนังสือเด็กๆ เป็นคนเรียบร้อย
การได้ออกไปพูดรู้สึกมั่นใจ แสดงออกว่าเป็นคนชอบแสดงออกมา
 
ถ้าให้แมร์พูดถึงจรรยาบรรณในอาชีพนี้ควรจะเป็นอย่างไร
ต้องการให้เห็นว่าการพูดเรื่องจริงนี่สำคัญ ไม่จำเป็นต้องพูดให้น่าฟัง แล้วก็ควรทำในสิ่งที่คนดูเค้าอยากจะฟัง จดจำได้ ทำให้เพลิดเพลิน แต่ยังคงสาระไว้