การอ่าน “บำรุงพลังรากหญ้า” ในศูนย์เด็กเล็ก

ในภาพกว้างของทั้งประเทศ บางคนอาจไม่เคยคิดถึงเรื่องเช่นนี้มาก่อน
ด้วยจำนวนของศูนย์เด็กเล็กหรือศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง รวมทั้งสิ้นกว่า 20,000 แห่งทั่วประเทศ มีเด็กอยู่ในความดูแลของศูนย์ 860,000 คน ส่วนใหญ่พ่อแม่นำมาฝากเลี้ยงเพราะตัวเองต้องออกทำไร่ไถนา หาผักหาปลา ตามฤดูกาล
เด็กเหล่านี้เป็นเด็กก่อนวัยเรียนหรือเด็กปฐมวัย อายุ 3-5 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงของการพัฒนาแบบก้าวกระโดด ในทุกด้าน เซลล์สมองมีการเจริญเติบโตสูงสุด จึงถือว่าเป็นโอกาสทองของฝ่ายบริหารท้องถิ่นที่จะปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน รักหนังสือแต่ยังเยาว์ บำรุงระบบรากของชุมชนเหล่านี้ให้แข็งแรง มีภูมิต้านทานโรค เพื่อจะหยัดยืนเติบโตอย่างมั่นคงทั้งระบบในอนาคต
ถ้าเด็กไทยไม่มีนิสัยรักการอ่านก็คงยากในการก้าวไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ หรือการเรียนรู้แบบยั่งยืนตลอดชีวิต (long live learning)
สำหรับโครงการส่งเสริมการอ่าน “สถาบันราชภัฏสวนดุสิต” เป็นสถาบันหนึ่งที่เดินตามแนวคิด “น้อยได้มาก” หรือโครงการขนาดเล็กที่ทำได้จำนวนมาก ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง เช่น โครงการส่งเสริมการอ่านหนังสือในศูนย์เด็กเล็ก โดยพัฒนาอบรมครูผู้ดูแลเด็กถึงบทบาทในการดูแลเด็กเล็ก การทำกิจกรรมที่สัมพันธ์กับสมองและปลูกฝังให้รักการอ่าน นอกจากนี้ยังจัดทำชุดนิทาน (ในรูปแบบกล่อง) เพื่อเป็นคู่มือสำหรับครูผู้ดูแลเด็กใช้เป็นสื่อในการเล่านิทานด้วย
การเล่านิทานอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาสร้างสรรค์ให้เด็กฟังนั้นเป็นการเตรียมความพร้อม และพัฒนาสมองของเด็กอย่างดีเลิศ พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถกระทำได้เพียงอาศัยช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน “อุ้มลูกนั่งตัก เล่านิทานอ่านหนังสือด้วยกัน” อ่านหรือเล่าด้วยคำพูดของเราเอง ด้วยภาษาที่ดีจากหนังสือภาพ เด็กก็จะรับรู้ภาษาและความรู้สึกผ่านการออกเสียงของผู้ใหญ่
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลผู้ดูแลเด็กของศูนย์เด็กเล็กในสังกัดทั่วประเทศก็ได้จัดทำโครงการเสริมสร้างนิสัยรักการอ่านด้วยสื่อนวัตกรรมการสอนภาษาไทยเด็กปฐมวัยชุด "ฉลาดรู้ภาษาไทย" ขึ้นเพื่อให้ผู้ดูแลเด็กและผู้นำเครือข่าย เข้าใจถึงวิธีการสอนแนวใหม่และนำไปพัฒนาการเรียนการสอนให้กับเด็กปฐมวัยอย่างมีประสิทธิภาพ
สื่อชุดนี้เป็นนวัตกรรมที่บูรณาการภาษาตามธรรมชาติของเด็กปฐมวัย สอดคล้องกับการทำงานของสมอง (brain based learning) ช่วยปูพื้นฐานเบื้องต้นให้เรียนภาษาไทยอย่างสนุก เอื้อต่อการพัฒนาภาษาของเด็ก จากภาษาภาพสู่ภาษาเขียนผ่านนิทาน คู่ขนานไปกับการพัฒนาภาษาของเด็กอย่างเป็นองค์รวม ซึ่งครูผู้สอนถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการเรียนรู้นี้
ปัจจุบันศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศมีครูผู้ดูแลเด็กรวมกันถึง 47,000 คน
เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองยังไม่สามารถอุ้มลูกนั่งตัก “เล่านิทานอ่านหนังสือ” ได้อย่างที่ควรจะเป็น จึงต้องฝากความหวังไว้กับครูผู้ดูแลเด็กเหล่านี้ ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยดูแล ส่งเสริมการอ่านของเด็กระดับรากหญ้าอย่างแท้จริง
ด้วยจำนวนของศูนย์เด็กเล็กหรือศูนย์พัฒนาเด็กเล็กที่มีอยู่ทั่วทุกหัวระแหง รวมทั้งสิ้นกว่า 20,000 แห่งทั่วประเทศ มีเด็กอยู่ในความดูแลของศูนย์ 860,000 คน ส่วนใหญ่พ่อแม่นำมาฝากเลี้ยงเพราะตัวเองต้องออกทำไร่ไถนา หาผักหาปลา ตามฤดูกาล
เด็กเหล่านี้เป็นเด็กก่อนวัยเรียนหรือเด็กปฐมวัย อายุ 3-5 ขวบ ซึ่งเป็นช่วงของการพัฒนาแบบก้าวกระโดด ในทุกด้าน เซลล์สมองมีการเจริญเติบโตสูงสุด จึงถือว่าเป็นโอกาสทองของฝ่ายบริหารท้องถิ่นที่จะปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน รักหนังสือแต่ยังเยาว์ บำรุงระบบรากของชุมชนเหล่านี้ให้แข็งแรง มีภูมิต้านทานโรค เพื่อจะหยัดยืนเติบโตอย่างมั่นคงทั้งระบบในอนาคต
ถ้าเด็กไทยไม่มีนิสัยรักการอ่านก็คงยากในการก้าวไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ หรือการเรียนรู้แบบยั่งยืนตลอดชีวิต (long live learning)
สำหรับโครงการส่งเสริมการอ่าน “สถาบันราชภัฏสวนดุสิต” เป็นสถาบันหนึ่งที่เดินตามแนวคิด “น้อยได้มาก” หรือโครงการขนาดเล็กที่ทำได้จำนวนมาก ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง เช่น โครงการส่งเสริมการอ่านหนังสือในศูนย์เด็กเล็ก โดยพัฒนาอบรมครูผู้ดูแลเด็กถึงบทบาทในการดูแลเด็กเล็ก การทำกิจกรรมที่สัมพันธ์กับสมองและปลูกฝังให้รักการอ่าน นอกจากนี้ยังจัดทำชุดนิทาน (ในรูปแบบกล่อง) เพื่อเป็นคู่มือสำหรับครูผู้ดูแลเด็กใช้เป็นสื่อในการเล่านิทานด้วย
การเล่านิทานอ่านหนังสือที่มีเนื้อหาสร้างสรรค์ให้เด็กฟังนั้นเป็นการเตรียมความพร้อม และพัฒนาสมองของเด็กอย่างดีเลิศ พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถกระทำได้เพียงอาศัยช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน “อุ้มลูกนั่งตัก เล่านิทานอ่านหนังสือด้วยกัน” อ่านหรือเล่าด้วยคำพูดของเราเอง ด้วยภาษาที่ดีจากหนังสือภาพ เด็กก็จะรับรู้ภาษาและความรู้สึกผ่านการออกเสียงของผู้ใหญ่
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลผู้ดูแลเด็กของศูนย์เด็กเล็กในสังกัดทั่วประเทศก็ได้จัดทำโครงการเสริมสร้างนิสัยรักการอ่านด้วยสื่อนวัตกรรมการสอนภาษาไทยเด็กปฐมวัยชุด "ฉลาดรู้ภาษาไทย" ขึ้นเพื่อให้ผู้ดูแลเด็กและผู้นำเครือข่าย เข้าใจถึงวิธีการสอนแนวใหม่และนำไปพัฒนาการเรียนการสอนให้กับเด็กปฐมวัยอย่างมีประสิทธิภาพ
สื่อชุดนี้เป็นนวัตกรรมที่บูรณาการภาษาตามธรรมชาติของเด็กปฐมวัย สอดคล้องกับการทำงานของสมอง (brain based learning) ช่วยปูพื้นฐานเบื้องต้นให้เรียนภาษาไทยอย่างสนุก เอื้อต่อการพัฒนาภาษาของเด็ก จากภาษาภาพสู่ภาษาเขียนผ่านนิทาน คู่ขนานไปกับการพัฒนาภาษาของเด็กอย่างเป็นองค์รวม ซึ่งครูผู้สอนถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการเรียนรู้นี้
ปัจจุบันศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศมีครูผู้ดูแลเด็กรวมกันถึง 47,000 คน
เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองยังไม่สามารถอุ้มลูกนั่งตัก “เล่านิทานอ่านหนังสือ” ได้อย่างที่ควรจะเป็น จึงต้องฝากความหวังไว้กับครูผู้ดูแลเด็กเหล่านี้ ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยดูแล ส่งเสริมการอ่านของเด็กระดับรากหญ้าอย่างแท้จริง
ภาพจาก:http://oknation.net