การสร้างสื่อเสริมการอ่านภาษาอังกฤษ โดยวิธีการเน้นเนื้อหา (CBI)
สุวรรณี สินทรัพย์ (2545) นิสิตปริญญาโท สาขาการสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ทำงานวิจัยเรื่อง การสร้างสื่อเสริมการอ่านภาษาอังกฤษ โดยวิธีการเน้นเนื้อหา (CBI) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนโพธาวัฒนาเสนี จังหวัดราชบุรี กลุ่มตัวอย่างจำนวน 40 คน โดยผู้ทำวิจัยทำการเปรียบเทียบความสามารถในการ อ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างก่อนและหลังการใช้สื่อเสริมการอ่าน ผลการวิจัยพบว่า 1. ประสิทธิภาพของสื่อเสริมการอ่านภาษาอังกฤษโดยวิธีการเน้นเนื้อหาที่ ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีค่า 78.15/77.30 ซึ่งถือว่าเป็นสื่อเสริมการอ่านที่มีประสิทธิภาพดี 2.ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนหลังการใช้สื่อเสริมการ อ่านสูงกว่าก่อนการใช้สื่อเสริมการอ่านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 3.นักเรียนมีความคิดเห็นที่ดีต่อสื่อเสริมการอ่านภาษาอังกฤษทั้ง 10 บท เรียนที่ผู้วิจัยสร้าง
สุวรรณี สินทรัพย์, (2545). การสร้างสื่อเสริมการอ่านภาษาอังกฤษ โดยวิธีการเน้นเนื้อหา (CBI) สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนโพธาวัฒนาเสนี จังหวัดราชบุรี.วิทยานิพนธ์ กศ.ม. (การสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศ). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยศิลปากร. อาจารย์ที่ปรึกษา : รศ. ดร. สอางค์ มะลิกุล, ผศ. ดร. บำรุง โตรัตน์, รศ. วัฒนา เกาศัลย์.
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสื่อเสริมการอ่านภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนโพธาวัฒนาเสนี จังหวัดราชบุรี เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนก่อนและหลังการใช้สื่อเสริมการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อสื่อเสริมการสอนอ่านภาษาอังกฤษที่สร้างขึ้น กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่กำลังศึกษาใน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2545 โรงเรียนโพธาวัฒนาเสนี อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี 1 ห้องเรียน จำนวน 40 คน ได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย
เครื่องมือ ที่ใช้ในการทดลองได้แก่ แบบสอบถามความต้องการหัวข้อเรื่อง สื่อเสริมการสอนอ่านภาษาอังกฤษ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นจำนวน 10 บทเรียน แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษก่อนและหลังการทดลอง และแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อสื่อเสริมการอ่านภาษาอังกฤษทั้ง 10 บทเรียน การทดลองใช้เวลา 10 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 คาบเรียน คาบเรียนละ 50 นาที รวมทั้งสิ้น 20 คาบเรียน ก่อนการทดลองใช้สื่อการอ่าน ผู้วิจัยได้ทดสอบนักเรียนด้วยแบบ ทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อประเมินความสามารถในการอ่าน ผู้วิจัยทดสอบนักเรียนด้วยแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษฉบับ เดียวกันทั้งก่อนและหลังการใช้สื่อเสริมการอ่าน นักเรียนประเมินสื่อเสริมการอ่านด้วยแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อสื่อเสริมการอ่านภาษาอังกฤษ แต่ละบทจนครบทั้ง 10 บทเรียน วิเคราะห์ข้อมูล ใช้ t-test แบบจับคู่ เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการ อ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างก่อนและหลังการใช้สื่อเสริมการอ่าน ใช้ค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ยและค่าร้อยละเพื่อหาประสิทธิภาพของสื่อเสริมการอ่านภาษาอังกฤษที่สร้าง ใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ระดับ ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อสื่อเสริมการอ่านภาษาอังกฤษ
ผลการวิจัย พบว่า
1. ประสิทธิภาพของสื่อเสริมการอ่านภาษาอังกฤษโดยวิธีการเน้นเนื้อหาที่ ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีค่า 78.15/77.30 ซึ่งถือว่าเป็นสื่อเสริมการอ่านที่มี ประสิทธิภาพดี
2. ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนหลังการใช้สื่อเสริมการ อ่านสูงกว่าก่อนการใช้สื่อเสริมการอ่านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05
3. นักเรียนมีความคิดเห็นที่ดีต่อสื่อเสริมการอ่านภาษาอังกฤษทั้ง 10 บท เรียนที่ผู้วิจัยสร้าง