Happy Reading โดย มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน

การพัฒนาแบบฝึกการอ่านเสริมเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านเอกสารจริงสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5

ดรุณี  เรือนใจมั่น (2546) นักศึกษาปริญญาโท สาขาวิชาการสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศมหาวิทยาลัยศิลปากร  ได้ทำการวิจัยเรื่องการพัฒนาแบบฝึกการอ่านเสริมเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านเอกสารจริงสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5  โรงเรียนศรีประจันต์ “เมธีประมุข”  กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5  ภาคเรียนที่ 1  ปีการศึกษา 2546  โรงเรียนศรีประจันต์ “เมธีประมุข”  จังหวัดสุพรรณบุรี  จำนวน 30 คน  ทำการทดลองโดยให้นักเรียนเรียนด้วยแบบฝึกการอ่านที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น  จำนวน 10 บท  สอนบทละ 2 คาบ  เป็นเวลา 10 สัปดาห์ ผลการวิจัยพบว่า 1) ประสิทธิภาพของแบบฝึกการอ่านเพื่อการสื่อสารโดยใช้เอกสารจริง  มีค่า 78.47/78.78 ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพดี 2)  ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนหลังการทำแบบฝึกการอ่านสูงกว่าก่อนการทำแบบฝึกการอ่าน 3)  นักเรียนมีความคิดเห็นต่อแบบฝึกการอ่านโดยการใช้เอกสารจริงอยู่ในระดับดี


ดรุณี  เรือนใจมั่น.  (2546).  การพัฒนาแบบฝึกการอ่านเสริมเพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านเอกสารจริงสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนศรีประจันต์ “เมธีประมุข”  อำเภอศรีประจันต์  จังหวัดสุพรรณบุรี.  วิทยานิพนธ์ กศ.ม. (การสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศ). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร.  อาจารย์ผู้ควบคุมวิทยานิพนธ์ : อ.กาญจนา  สุจิต, รศ.ดร.วิสาข์  จัติวัตร์  และ รศ.วัฒนา  เกาศัลย์.

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกการอ่านเอกสารจริงที่ได้พัฒนาขึ้นสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5  โรงเรียนศรีประจันต์ “เมธีประมุข”  จังหวัดสุพรรณบุรี  เพื่อเปรียบเทียบความสามารถของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ในการอ่านเอกสารจริงก่อนและหลังการใช้แบบฝึก  และเพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการอ่านและแบบฝึกการอ่านที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น    กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5  ภาคเรียนที่ 1  ปีการศึกษา 2546  โรงเรียนศรีประจันต์ “เมธีประมุข”  จังหวัดสุพรรณบุรี  ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างห้องเรียน 1 ห้อง  ได้นักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง 30 คน  ทำการทดลองโดยให้นักเรียนเรียนด้วยแบบฝึกการอ่านที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น  จำนวน 10 บท  สอนบทละ 2 คาบ  เป็นเวลา 10 สัปดาห์


 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย  1) แบบฝึกการอ่านเพื่อการสื่อสารโดยใช้เอกสารจริง  2) แบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษก่อนและหลังการทดลอง  3) แบบสอบถามความคิดเห็นที่มีต่อแบบฝึกการอ่านเอกสารจริงจริง   สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่  t-test เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างก่อนและหลังการฝึกอ่าน  โดยใช้แบบฝึกการอ่านเพื่อการสื่อสารโดยใช้เอกสารจริงที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น  ค่าเฉลี่ย  ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในการหาค่าระดับความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกการอ่านโดยใช้เอกสารจริง
ผลการวิจัยพบว่า


1.  ประสิทธิภาพของแบบฝึกการอ่านเพื่อการสื่อสารโดยใช้เอกสารจริง  มีค่า 78.47/78.78 ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพดี
2.  ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษของนักเรียนหลังการทำแบบฝึกการอ่านสูงกว่าก่อนการทำแบบฝึกการอ่านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3.  นักเรียนมีความคิดเห็นต่อแบบฝึกการอ่านโดยการใช้เอกสารจริงอยู่ในระดับดี