กราบชีวิต : จากชีวิตบรรณาธิการของ “ปรีดา ข้าวบ่อ”

“แม้ “ปรีดา ข้าวบ่อ” จะมีผลงานเขียนไม่น้อย และก็เป็นบรรณาธิการสำนักพิมพ์เองด้วย แต่ก็ไม่เคยจัดพิมพ์หนังสือผลงานของตัวเองเลย”
ข้อความนี้ ทองแถม นาถจำนง ได้เขียนแนะนำไว้ในบทบรรณาธิการของหนังสือ รวมปกิณกะ เรื่องสั้น บทกวี ภายใต้ชื่อเล่มว่า “กราบชีวิต” ซึ่งเป็นผลงานปรีดา ข้าวบ่อ ผู้ก่อตั้งบริษัทชนนิยม และสำนักพิมพ์ในเครื่องเช่น แม่คำผาง, มิ่งมิตร
และยังได้กล่าวอีกต่อไปว่า “ปรีดา ข้าวบ่อ คลุกอยู่กับหนังสือ ตั้งแต่วัยนักศึกษา ช่วงก่อนเหตุการณ์ ‘6 ตุลา 2519’ เขาเป็นประธานแผนกวรรณศิลป์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง มีผลงานวิจารณ์หนังสือ บทกวีและเรื่องสั้น…ภายหลังกลับจาก ‘ออกทำการป่าเขา’ เขาก็เลือกอาชีพ ‘ทำหนังสือ’…”
หนังสือเล่มนี้นอกเหนือจากได้รวบรวมข้อเขียนถึง ‘ภาพปฏิมาของมนุษย์สมบูรณ์แบบ’ เนื่องในโอกาสต่างๆ แล้ว ยังได้ฉายให้เห็นชีวิตวัยเยาว์ การก่อร่างสร้างตนของบุพการี (แม่คำผาง – พ่อชน ข้าวบ่อ) ผ่านเรื่องสั้น ชีวิตส้มตำ, น้องชายจำหน้าพ่อไม่ได้ และผ้าพันคอลายสก็อต โดยเฉพาะภาพแม่คำผาง ในเรื่อง ชีวิตส้มตำ ทำให้ผู้อ่านเห็นถึงความเด็ดเดี่ยวของผู้หญิงธรรมดาแต่ทำหน้าที่ที่ไม่ธรรมดาคนหนึ่ง หลังจากเสาหลักครอบครัวคือสามีคืนชีวิตสู่ธรรมชาติก่อนเวลาอันสมควร ต้องรับภาระเลี้ยงดูลูก ๆ ดิ้นรนขายส้มตำถึงขนาดถูกยางมะละกอกัดเล็บจนบางเปราะ
“…พอแต่งงาน “นาง” ก็มาอยู่ในตัวอำเภอกับสามี ทำหน้าที่ลูกมือช่างตัดเย็บเสื้อผ้าและรับเหมาทำงานบ้านทุกอย่าง นางฝึกสอยผ้า สอยรังดุมและติดกระดุมจนประณีต…
“…นาง เป็นคนโอบอ้อมอารี ยิ้มง่าย เป็นฝ่ายรับฟังความเห็น ไม่มีปากเสียงกับใคร ให้ความอบอุ่นลูกหลานทุกคนทุกฝ่าย ตั้งแต่ตื่นก่อนสามีและลูกๆ จนกระทั่งหลับหลังสามีและลูกๆ นางต้องสาละวนอยู่กับภาระในครัวเรือน…” (จากเรื่องสั้น “ชีวิตส้มตำ” หน้า 22)
ความเด็ดเดี่ยวอันนี้ คำสิงห์ ศรีนอก ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ เคยพูดไว้เมื่อครั้ง “งานทอดผ้าป่าหนังสือ-80 ปีแม่คำผาง” ที่โรงเรียนบ้านไผ่ฯ จังหวัดขอนแก่น ความตอนหนึ่งว่า…คุณปรีดา ข้าวบ่อมีส่วนคล้ายคลึงกับตนคือบิดาเสียตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งถ้าจะดีก็ดีไป แต่ถ้าเสียก็จะเสียไปเลย และอีกตอนหนึ่งได้พูดถึงแม่คำผาง ว่า…โดยปกติแม่ (ผู้หญิง) หากไม่มีพ่อ (ผู้ชาย) มักครองตนเป็นที่พึ่งพิงของลูกๆ และประคับประคองเลี้ยงดูลูกด้วยตัวคนเดียวให้ถึงฝั่งได้…
ดังนั้นภาพของ “แม่” ในเรื่องสั้นเรื่อง ชีวิตส้มตำ ฉายให้เห็นความเป็นมา-เป็นไป ชีวิตครอบครัววัยเยาว์ และแม่ผู้ทำหน้าที่สร้างโลกโดยการสร้างลูกที่ดี (คำของท่าน ว.วชิรเมธี) บนพื้นฐานจิตใจแห่งสตรีผู้ได้ชื่อว่า “แม่” โดยความหมายขอบเขตผู้ให้กำเนิดและทำหน้าที่นั้นอย่างสมบูรณ์
แต่ขณะเดียวกันภาพของ “แม่” ในเรื่องสั้นเรื่อง ผ้าพันคอลายสก็อต ก็ได้ฉายให้เห็นบทบาทอีกด้านหนึ่งของแม่ เมื่อลูกชายตนเองลุกขึ้นต่อกรกับอำนาจเผด็จการอยุติธรรมทมิฬ และถูกอำนาจนั้นเล่นงานจนต้องระเห็จระเหินพลัดพรากจากอกแม่สู่เขตป่าเขาพร้อมกับเพื่อนๆ
“…แม่ครับ, แม่ทราบหรือเปล่า เวลาผมคิดถึงแม่ ผมคิดถึงผ้าพันคอลายสก็อตผืนนั้น…แม่คงลืมไปแล้ว ด้วยภายหลังจากแม่ให้ผ้าพันคอผม ก็มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นในบ้านเมือง เรื่องต่าง ๆ ล้วนแต่สร้างความวิตกกังวลและความทุกข์ร้อนแก่ครอบครัวของเรา…ซึ่งมีผมร่วมเกี่ยวข้อง…
“ช่วงนั้นเป็นหน้าหนาวนะแม่ ก่อนก้าวออกจากบ้านยามหัวค่ำเพื่อเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปให้ปากคำกับกลไกผู้เข่นฆ่าเพื่อนของตัวเอง แม่มอบผ้าพันคอลายสก็อตให้ผม “พันคอไว้ให้อุ่น ๆ…” คำน้อยของแม่ส่งทาง ผมไม่รู้ล่วงหน้าว่านั่นคือ การเดินทางไกลครั้งหฤโหดของชีวิต…
“ช่วงสถานการณ์ปฏิวัติดียิ่ง ผมมีโอกาสเข้าเมืองแล้วแวะไปเยี่ยมแม่กลางดึก ในความห่วงใยและน้ำตานั้น แม่พูดกับผมว่า “ใครๆ เขาก็เห็นอย่างลูกมากแล้วล่ะ”…” (จากเรื่องสั้น ผ้าพันคอลายสก็อต หน้า 14, 17, 18)
แม้จะอยู่คนละฟากโลก คนละสถานการณ์ และบริบท แต่มีอันหนึ่งที่ทำให้ “แม่” ของ ปาเวล วลาสซอฟ มีส่วนทาบทับโดยอารมณ์เดียวกันกับ “แม่” แห่งเรื่อง ผ้าพันคอลายสก็อต นั่นก็คือภาพแม่ของนักต่อสู้ อันรวมไปถึง “แม่” ในความหมายผู้ให้กำเนิดยุคสมัยของการไม่ยอมศิโรราบต่ออำนาจอยุติธรรมสามานย์ และแม่ของลูกชายที่ถูกสัตว์ดึกดำบรรพ์ชั้นต่ำซึ่งสมควรจะสาบสูญไปแล้วกัดกลืนกินผ้าพันคอผืนนั้น
พร้อมกันนี้ในหนังสือ กราบชีวิต นอกเหนือจากกราบพ่อ-แม่ ปฏิมาหลักของลูกแล้ว ผู้เขียนยังได้กราบมนุษย์สมบูรณ์แบบ อย่าง อรุณ แสงทอง (“ธรรมสาวก”) ในชื่อเรื่อง “คุณพ่อครับ”, กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย ภายใต้ชื่อเรื่อง “โค้งชีวิตแห่งความกรุณา”, สมศรี สุกุมลนันทน์-“บุคลิกภาพของผู้เขียน-บุคลิกภาพ”, เทือก บรรทัด-“แด่ กวี-คนจริงเมืองตรัง”, สุภา-จินดา ศิริมานนท์-“หมายเหตุจากกระท่อมปักเป้า”, ทวีป วรดิลก-“เรื่องแต่งเล็ก ๆ แทนคำรำลึกและอาลัยยิ่ง”, สุวัฒน์-เพ็ญศรี วรดิลก-หัวใจ “เพ็ญศรี-รพีพร”, เสริมรัช วงศ์อยู่-"เสริมรัช วงศ์อยู่ ผู้ชูชัย", ศุขปรีดา พนมยงค์-“ศุขปรีดา พนมยงค์ กับงานเขียนถึงผู้นำประเทศเพื่อนบ้าน, อาจิณ จันทรัมพร-“อาจิณ จันทรัมพร, อีสาน และ 90 ปี”, ฟรานซิส คริปส์-“จาก ‘สภาพอีสาน’ ถึงกองทุน ‘The Far Province’, จวงสื้อผิง-“คือผู้เป็นตำนาน” และ ชาญ-จินตนา เนียมประดิษฐ์, เดโช บุญชูช่วย -“มิตรสหายผู้ไม่เคยพบหน้ากัน”
อย่างไรก็ดี นอกเหนือจากพ่อกับแม่ผู้ให้ชีวิตแล้ว ปฏิมาบุคคลทั้งหมดที่ผู้เขียน-ปรีดา ข้าวบ่อ กล่าวถึงในหนังสือ กราบชีวิต (และที่ไม่ได้กล่าว) ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลในสายนักคิด-นักเขียนทั้งสิ้น ซึ่งถือเป็นเบ้าหลอมอันก่อให้เกิดงานด้าน บรรณาธิการ ในแบบฉบับ “เราทำหนังสือมีชีวิต” ซึ่งเรื่องนี้ผู้เขียนได้อธิบายไว้ในหน้าคำนำเองว่า
“…ทั้งนี้โดยมี กุหลาบ สายประดิษฐ์ (“ศรีบูรพา”) เป็นต้นธารของความเป็นนักคิดนักเขียนนักหนังสือพิมพ์ และผู้อุทิศตนเพื่องานการเมืองภาคประชาชน มีอัศนี พลจันทร (“นายผี”), ศักดิชัย บำรุงพงศ์(“เสนีย์ เสาวพงศ์”), จิตร ภูมิศักดิ์, ยุทธพงศ์ ภูมิสัมบรรณ (“รวี โดมพระจันทร์”) ฯลฯ ร่วมถากถางและชูคบเพลิงนำทาง …
“…กล่าวจำเพาะภาคอีสาน เตียง ศิริขันธ์, ครอง จันดาวงศ์, ทองอินทร์ ภูมิพัฒน์, จำลอง ดาวเรือง, ถวิล อุดล, เปลื้อง วรรณศรี, ทองใบ ทองเปาด์ ฯลฯ รวมทั้งผู้อยู่ในกลุ่มในขบวนการเคลื่อนไหวต่อสู้ทุกมิติทุกรูปแบบ ท่านคือผู้ทำงานการเมืองในอุดมคติของผู้เกิดใหม่ใหญ่ทีหลัง
“…คำพูด บุญทวี, คำสิงห์ ศรีนอก (“ลาว คำหอม”) และ “คำหมาน คนไค” (สมพงษ์ พลสูรย์) นักเขียนอาวุโส “3 คำ” ของภาคอีสาน ท่านคือผู้นำงานวรรณศิลป์เข้าสู่แผ่นดินที่ราบสูง แสดงตัวตนต่อยอดจากเสียงมโหรีพิณแคนและกลอนขับลำที่ทรงพลัง…” (จาก “คำนำผู้เขียน” หน้า 8, 9)
ดังนั้น หนังสือ กราบชีวิต จากชีวิตบรรณาธิการ ปรีดา ข้าวบ่อ จึงมิเพียงแค่รวมข้อเขียนเฉพาะบุคคลต่อบุคคล แต่กลับได้รวมเอาหัวใจความรู้สึกของผู้ร่วมสายธารนักต่อสู้หลากวัย ร่วมก้มกราบปฏิมามนุษย์สมบูรณ์แบบเหล่านั้นด้วยกัน ดั่งมนสิการที่ว่า
“ขอก้มกราบผู้เป็นแบบอย่าง
ผู้เป็นปูชนียบุคคลของสรรพชีวิต
แบบปฏิมาของท่านคือภาพฉายให้เห็นทางสว่าง
เพื่อสร้างสรรค์ครอบครัว-สังคมไทยให้เข้มแข็ง
และเจริญรุ่งเรืองสืบไปในอนาคต”
(จากข้อความปกหลังหนังสือ กราบชีวิต โดย ปรีดา ข้าวบ่อ)
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ โดย : จันทวัณณ์