กร เหมา ต้าเจียห่าว

กร เหมา ต้าเจียห่าว
จากสื่อชุมชนฉบับเล็กๆ ที่นำเสนอเรื่องราวภายในชุมชนเยาวราช
เพียงระยะเวลาเพียงไม่นาน ต้าเจียห่าว ก็ได้กลายมาเป็นนิตยสารที่มีความสมบูรณ์
ทำไมถึงริเริ่มทำ ต้าเจียห่าว
เหมา :เราเรียนจบมาทางด้านวารสารศาสตร์บวกกับตัวเราเองที่เกิดในย่านไชน่าทาวน์เอา 2 อย่างนี้มารวมกัน ก็เลยคิดเป็นสื่อชุมชนไชน่าทาวน์แล้วก็คิดครงสร้างเนื้อหา ชื่อหนังสือ จนออกมาเป็นหนังสือชื่อว่า "ต้าเจียห่าว"
ต้าเจียห่าว นี้มีความหมายว่าอย่างไร
เหมา : ต้าเจียห่าว แปลว่า สวัสดีทุก ๆ คน
กร : ชื่อนี้มาจากแม่ตั้งให้ด้วย
เหมา : คือไปปรึกษาแม่ว่าจะทำหนังสือพิมพ์ขึ้นมา แม่ก็บอกว่าให้ใช้ชื่อสากลหน่อย คำว่า "หนีห่าว" คือเป็นคำพื้นฐานของการทักทายกัน แต่เป็นการสื่อสารกันระหว่างคนสองคนเราก็เลยคิดต่อไปว่าถ้าเป็นการสื่อสารจากเราเองไปถึงคนหลาย ๆ คนจะใช้คำไหน ก็ใช้คำว่า "ต้าเจียห่าว" ดูจะเข้าทางที่สุด แล้วความหมายมันค่อนข้างอบอุ่น ภาษาจีนจะเป็นอย่างนี้นะครับ คำว่า "ต้าเจีย" มันเป็นเหมือนครอบครัวใหญ่ เหมือนกับเรากับเค้าเป็นครอบครัวเดียวกัน
เคยคิดว่ามันจะออกมาเป็นนิตยสารเล่มใหญ่หรือเปล่า
เหมา : ตอนแรกไม่ได้คิดให้มันไกลขนาดนั้น คิดว่าเราเริ่มต้นในจุดที่เราเป็นอยู่ก่อนครับแล้วค่อยขยายออกไปดีกว่า
แล้วเป็นอย่างไร ถึงออกมาเป็นนิตยสารเล่มใหญ่ได้
เหมา : ตอนที่ทำต้าเจียห่าวอยู่ เล่มที่เป็นแผ่นพับเนี่ยครับ ก็ปรึกษากรมาตลอดเรื่องการทำ การจัดการ การตลาด อะไรที่ทำให้คนรู้จักชื่อหนังสือเล่มนี้ให้มากที่สุดก็ปรึกษามาตลอด แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราไม่มีทุนทำต่อแล้ว ประกอบกับงานประจำมันเยอะขึ้นก็เลยพักไป หายไปช่วงหนึ่งเลยแล้วก็ได้กรมาจุดประกายอีกครั้ง
แล้วเรื่องของการตลาดหรือการขาย เริ่มทำกันอย่างไร
เหมา : คือตอนที่เราเริ่มทำก็ยังไม่ได้ปรึกษาใครเป็นจริงเป็นจัง เหมือนกับว่าเราทำแล้วเจอปัญหานิดนึงก็มาปรึกษาเพื่อน ๆ หรือคนที่เคยทำ ว่าเออ…ตรงนี้เนี่ย ถ้ามองในมุมเค้า เค้าจะทำอย่างไร เรื่องการขาย การทำงานเราตัดสินใจกันเองหมดเลย เราไปวางแผงขายที่เยาวราช ไปฝากขายที่ร้านนายอินทร์ ท่าพระจันทร์ ร้านหนังสือเดินทาง ที่ร้านกาแฟบ้านพระอาทิตย์ก็มาวางขายเอง ขายเสร็จก็มาเก็บตังค์ เหมือนขายยาคูลย์อะไรอย่างเนี่ย ไปตามที่ต่าง ๆ เองเลย
แล้วในส่วนของการประชาสัมพันธ์ ทำกันอย่างไร
เหมา : บังเอิญเราโชคดีก็คือ พอเราทำออกมาแล้วไปวางขายปุ๊บ ก็มีคนที่เป็นนักข่าวไปเห็น ก็คือ คุณรุ่งมณี เมฆโสภณ เป็นคอลัมนิสต์ที่เขียนอยู่ในผู้จัดการรายวันในตอนนั้น แล้วพอตีพิมพ์ออกไป ก็มีนักข่าวคนอื่น ๆ สนใจ แล้วก็ตามมาเรื่อย ๆ โทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสารก็เลยเข้ามาสัมภาษณ์ จนทุกวันนี้ในแง่ของการประชาสัมพันธ์ก็เรียกว่าลงไปค่อนข้างเยอะแล้ว
ตอนที่มีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ จนเป็นที่รู้จักแล้วกับตอนเริ่มต้นมีความแตกต่างอย่างไรบ้าง
เหมา : สนุกขึ้น ตรงที่ว่ามีคนรู้จักแล้วก็เข้ามาถามเข้ามาให้ Feedback เราเรื่อย ๆ ว่าอ่านแล้วรู้สึกดี อ่านแล้วชอบ อยากให้ทำต่อไป ถึงขนาดมีคนมาสนับสนุนแบบให้เงินแบบให้เปล่าเพื่อให้ทำต่อไป ในส่วนของยอดขายตอนนั้นเราแทบจะไม่ได้นึกถึงเลยครับ คิดว่าอยากทำก็ทำ ทำออกมาแล้วโอเค สนุก ขายได้ แต่ไม่ถึงกับต้องทะลุเป้า เราไม่ได้กำหนดตรงนั้น ไม่ได้คิดเลย
ทำไมถึงหยุดทำ เกิดอะไรขึ้น
เหมา : ตลอด 4 เล่มที่ทำมา (เล่มที่เป็นแผ่นพับ) ก็ใช้เงินที่เราเก็บสะสมมา เล่มแรกลงทุนไปโดยประมาณก็ 18,000 เพราะพิมพ์ไป 10,000 ฉบับ แล้วพอเล่มสองเรารู้สึกว่าลงทุนเยอะไปแล้ว ก็เลยลงจำนวนพิมพ์ลงมาเหลือ 2,000 เล่ม ซึ่งต้นทุนต่อเล่มมันก็สูงขึ้นแต่มองในแง่ของธุรกิจมันอยู่ไม่ได้หรอกครับ เพราะว่าต้องขายหมดถึงจะคืนทุน แต่เราไม่ได้มองตรงนี้ เราแค่เอามันส์ เอาสนุก
เล่มที่เป็นแผ่นพับ เหมาทำคนเดียวหรือเปล่า
เหมา : เล่มแรกผมทำคนเดียวล้วน ๆ แต่พอเล่ม 2 ก็เริ่มมีอาสาสมัครเข้ามาช่วย
แล้วอาสาสมัครที่เข้ามานี้ มาจากไหน
กร : ก็จากที่สื่อต่าง ๆ ลงว่าเหมากำลังทำต้าเจียห่าวและเปิดกว้างให้เข้ามาช่วยกัน เค้าก็ติดต่อเข้ามา ซึ่งก็เป็นคนในย่านเยาวราช
เหมา : เราก็ให้เค้าช่วยทำเล่ม 3 พอมีคนเยอะขึ้น กรก็เข้ามาบอกว่าน่าจะเปิดเว็บไซต์ด้วย ซึ่งก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งในประชาสัมพันธ์
คือเว็บไซต์นี่เกิดมาพร้อมกับเล่ม 3
กร : ครับ ผมก็ช่วยเหมาทำเว็บไซต์ ทำนู้นทำนี่ จริง ๆผมก็ไม่ได้เก่งอะไรก็ศึกษาจากตรงนั้นเลยเหมือนกัน Dream Weaver ทำอย่างไรก็เปิดหนังสือดูแล้วก็ช่วยกันทำขึ้นมา
หลังจากที่ต้าเจียห่าว ฉบับแผ่นพับหยุดไป แล้วกลับมาอีกครั้งทำไมถึงออกมาเป็นเล่มขนาดมินิ พิมพ์หน้าสีได้
กร : หลังจากที่เหมาหายไปก็มีเพื่อน ๆ มีหลายคนถามมาเยอะว่าทำไมไม่ทำออกมาอีก หลาย ๆ องค์กรทางด้านสื่อสนใจต้าเจียห่าวว่าหายไปไหน เหมาก็เลยทบทวนตัวเองว่าทำคนเดียวคงไม่ไหวคือตอนนั้นผมทำเว็บไซต์ ชื่อSadaew.com ส่วนเหมาก็ทำนิตยสาร Mars คือเรื่องพวกนี้เราทำเป็นงานอดิเรก มีอยู่วันหนี่งเรากินข้าวแล้วก็คุยกันว่าทำกันเถอะ เพราะมีคนสนใจอยากให้ออก มีคนสนับสนุนให้ทำ แต่เราไม่ได้คิดถึงตรงนั้นนะ เราคิดว่าถ้ามันไปได้ก็น่าจะไป แล้วเหมาบอกว่าจุดสำคัญคือคนอ่านนอกย่านเยาวราชมัน 70% ซึ่งมันน่าจะขยายออกไปได้ รุ่นใหญ่ ๆ ก็มีนะ นายแพทย์ก็มีนะให้เงินมาทำด้วย คือมีทุกเพศ ทุกวัย แต่ส่วนมากเป็นคนรุ่นใหม่ ถ้าดูเนื้อหาภายในแล้วจะไม่เครียด การจัดรูปเล่มดูเรียบ ๆ แต่มีสไตล์ เนื้อหาจะดูหนักแต่วิธีการเขียน รูปเล่มต่าง ๆ จะดูเบา ซึ่งรับได้โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ ๆ ที่ต้องการสื่อเล็ก ๆ แบบนี้ คือเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เรียน ต่างคนมีงานประจำแต่ก็คุยกัน แล้วเหมาก็ใช้เวลาช่วงนั้นตั้งแต่มกราในการทำโครงสร้างของเล่ม ว่าจะมีอะไร เนื้อหาอย่างไร จนเดือนเมษาเราทำเสร็จแล้วจะไปไหนต่อดี
เหมา : สรุปว่า…ยังขาดเรื่องทุนและการตลาด
กร : ครับ เรื่องทุนและการตลาดเป็นสิ่งที่พวกเราต้องการ ก็เลยมาคุยกับทางเจ้านายที่นี่ ก็คือพี่ปั๊บ คุณจิตรนาถ ลิ้มทองกุล แล้วก็พี่เพชร พชร สมุทวณิช ซึ่งตอนนั้นเค้าทำหนังสือ Mars อยู่ เพิ่งจะออกด้วย แต่เราก็เค้าไปคุยว่า เรามีไอเดียมานำเสนอ พี่เค้าก็แนะนำมา พอคุยกันสักครั้ง สองครั้งแล้วก็สรุปว่าทำด้วยกัน
เรามีม็อกอัพทำเป็นตัวอย่างเล่มไปคุยว่ารูปแบบนี้นะพี่ แล้วประยุกต์กันขึ้นมาโดยที่ใช้ประสบการณ์ของเค้าในการทำ Mars แล้วก็การทำธุรกิจมาเยอะ ก็ดูว่าลู่ทางเป็นอย่างไร ส่วนตัวเนื้อหาก็ช่วยกันคิด เลยเป็นแรงประสานกันทั้งหมด ก็เลยออกมาเป็นเล่มใหญ่ ซึ่งจะออกมาพร้อมกับ Mars ครบรอบ 1 ปี พูดง่าย ๆ ก็คือ Mars ช่วยส่งเสริมในเรื่องของการตลาดและการลงทุน
พอเปลี่ยนจากเล่มที่เป็นแผ่นพับ มาเป็นเล่มใหญ่กลุ่มเป้าหมายเปลี่ยนแปลงบ้างหรือเปล่า
กร : โดยธรรมชาติแล้วมันเหมือนกัน ถึงแม้ว่าเล่มเล็กเราจะบอกว่าเป็นหนังสือพิมพ์ชุมชนก็ตาม แต่ถามว่าคนที่อ่านหนังสือคือใคร ก็คือคนรุ่นใหม่อายุ 18-25 แต่ในช่วงที่บุกเบิก เราบอกว่าคือสื่อของชุมชนเหมือนหนังสือพิมพ์ชุมชนแต่ว่าอันนี้สำหรับเยาวราช ข้อเท็จจริงแล้วคนอ่านคือคนกลุ่มนี้ ซึ่งเนื้อหาก็มีส่วนที่เอื้อกับคนอ่านอยู่แล้ว แล้วช่วงนั้นหนังสือแนวนี้จะออกมาเยอะแต่ไม่มีโรงพิมพ์ ไม่มีการทำที่ชัดเจน พอมาเป็นเล่มใหญ่ก็จะกลุ่มเดียวกัน ชุมชนอื่นก็เป็นคนหนุ่มสาว คนที่มีความคิดเป็นชีวิตที่ต้องการอ่านหนังสือ อ่านแล้วนำไปประยุกต์ใช้ได้ชีวิต เรามีมากกว่าคอนเซปต์ของการใช้ชีวิต มีมากกว่าไอเดีย เป็นการกระตุ้นการใช้ชีวิต แต่เราพยายามตีโจทย์ออกมาให้ใช้ได้จริง พูดง่าย ๆ คือเป็นหนังสือคนรุ่นใหม่
แล้วความเป็นจีนในเล่มก็มีอยู่เยอะมากแต่เราทำให้ไปด้วยกันได้ เหมือนกินก๋วยเตี๋ยว เราใช้ตะเกียบ มองไปมองมานี่ก็จีนนะ แต่มันเหมือนเป็นปกติเพราะฉะนั้นเนื้อหาบางเรื่องที่มันเป็นจีนจ๋าเลย เราก็พยายามโยงให้เข้ากับสภาพที่เป็นอยู่จริง ๆ เป็นหนังสือที่มีความเป็นไทย เชื้อสายจีน
เล่มที่เป็นแผ่นพับ จะเรียกได้ว่าเป็นหนังสือทำมือหรือเปล่า
กร : ทำเครื่องมั้ง ไม่ได้ใช้มือทำ…หนังสือทำมือ…มันก็มีหลายแบบนะที่เค้าพูดถึงกัน คอนเซปต์ของการจัดงานครั้งแรกที่สวนสันติ เมื่อก่อนจะมีร้านหนังสือเล็ก ๆมาจัดเค้าบอกว่าหนังสือทำมือคือใช้มือเขียน สมมติเขียนกระดาษมาแล้วแปะเป็นเล่ม ๆ ขายกัน แต่อันนี้มันเป็นหนังสือที่ตอบสนองกลุ่มบางกลุ่มที่หนังสือเล่มใหญ่ ๆ ทำไม่ได้ อาจจะเป็นทางเลือกที่มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน แต่ตามงานต่าง ๆ จะมีหนังสืออย่างนี้ไปขายด้วย ซึ่งก็แน่นอนเพราะมันเป็นเวทีไง มันไม่มีว่าเป็นกลุ่มที่ทำหนังสือเพื่อชุมชนมารวมตัวกัน หนังสือของชุมชนอื่น ๆ เค้าจะไม่ดูนุ่มแบบนี้ คือจะดูคลาสิกหน่อย หมายความว่า…มีข่าวชุมชน ประธานมาเปิดงาน มาปราบยุงกันวันนี้ ฯลฯ แต่นี่จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่จะตอบสนองคนรุ่นใหม่ ดูได้จากคนรุ่นใหม่ที่มาช่วยเหมาทำเล่มที่ 3 นั่นคือมาด้วยใจนะ เราไม่มีอะไรให้
แล้วคนที่เข้ามาช่วยตอนทำเล่ม 3 นี่ตอนนี้หายไปไหน
เหมา : คือช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม น้อง ๆ เค้ามีเวลาว่าง แล้วก็สนใจในคอนเซปต์หนังสือแล้วก็มาประชุมกันจนเห็นว่าอยากทำจริงๆ เค้าอยากจะทำไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร มาช่วยตรงความคิดเรียกว่าวางโครงสร้างหนังสือกันเลย แบบว่าอยากได้เนื้อหาท่องเที่ยว อาหารการกินบ้าง เป็นวัฒนธรรมบ้าง คนรุ่นใหม่ ๆ ที่เค้ามีเชื้อสายจีนที่เค้าอยากรู้เรื่องจีน ๆ ให้มากขึ้น พอเปิดเทอมเค้าก็ขอตัวไปเรียนต่อ
อาสาสมัครที่เข้ามาช่วยทำอะไรบ้าง
เหมา : ก็มีเขียน มีสัมภาษณ์แล้วก็ถ่ายรูป รวมไปถึงวาดภาพประกอบด้วยครับ
คอนเซปต์หนังสือคืออะไร
เหมา : คอนเซปต์หนังสือ ถ้าเป็นที่อื่นคงจะเล่าว่าเป็นเนื้อหาทั่วไปแต่ว่ามีความเป็นจีนเข้าไปมีส่วนร่วม แต่จะเป็นส่วนเนื้อหา รูปแบบ สไตล์มันก็แล้วแต่เรื่อง
เราต้องการที่จะให้ ต้าเจียห่าว สื่ออะไร
เหมา : เราพูดแบบสั้น ๆ เป็นคอนเซปต์ว่านิตยสารเล่มนี้กล่าวถึงสารคดีชีวิตวัยรุ่นไทยเชื้อสายจีน มันก็ดูแข็งไป ทื่อไป คนทั่วไปก็จะงงอีก พูดอย่างไรคนก็งงครับ เอาเป็นว่าเราสมมติตัวเองว่า เราเป็นคนคนหนึ่งซึ่งมองทุกสิ่งรอบตัว ต้าเจียห่าว เป็นนิตยสารไทยเชื้อสายจีน ผู้ซึ่งรู้ว่าตัวเองเป็นเชื้อสายจีน แล้วก็มองสิ่งรอบ ๆ ตัวในสังคมไม่ว่าจะเป็นไทย ไทยจีน หรือสไตล์ออกตะวันตกหน่อย แต่มองอย่างตีความ วิเคราะห์ว่าทำไมมันถึงเข้ามาในสังคม มองชีวิตวัยรุ่นที่อยู่ในกลุ่มต่าง ๆ พวก Hip Hop, B-Boy อะไรอย่างนี้ มองพวกพริตตี้เค้าไปทำงานอย่างไร คิดอะไรอยู่ เหมือนเราเป็นคนคนนึงซึ่งมองได้ทุกอย่าง เราไม่อยากจำกัดกรอบความคิดของตัวเองว่าเราจะมองแค่เรื่องจีน ๆ ลงแต่เทศกาลกินเจ ตรุษจีน ไหว้พระจันทร์ ไม่งั้นเราก็จะเป็นคนที่ถูกสต๊าฟไว้ว่าจะต้องพูดแต่เรื่องจีน ๆ เราอยากจะเป็นคนที่มีอิสระ มีความคิดในการมอง เราอยากจะพูดเรื่องการเมืองได้บ้าง
กร : คือถ้าเรามีคอลัมน์ที่สัมภาษณ์ผู้หญิงคนนึง จำเป็นต้องเป็นหมวยไหม ถ้าเป็นหมวยก็จะดีแต่มันมีเหตุผลอื่นที่เป็นจีน แต่เค้าไม่ใช่จีน ก็ได้ มันเป็นเหตุผลที่เป็นหลักในการทำงานมากกว่า
ตรงไหนคือแตกต่างระหว่างต้าเจียห่าวกับนิตยสารเล่มอื่น ๆ
กร : เรื่องจีนเนี่ย ส่วนมากเราจะมองกันแต่ในเชิงธุรกิจ แต่ต้าเจียห่าวเรื่องของวิถีชีวิต ความแตกต่างในครอบครัว เรามีเฮีย อาม่า อาเจ๊ก เราทำตัวเป็นคนกลาง ๆ คือมีเรื่องจากเฮียไปบอกน้อง มีเรื่องจากน้องไปบอกเฮีย
ความเหมือนทั่วไป พูดง่าย ๆ คือหนังสือวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ การสื่อออกมาก็เหมือน ๆ กันแต่เนื้อหาเราจะนำเสนอความเป็นไทย เชื้อสายจีน ความเป็นเอเชียเราก็มี คือหนังสืออื่นเค้าไม่ได้พูดเยอะ เราจะเน้นเรื่องนี้เป็นหลักแต่ว่าเราไม่ได้เน้นแบบที่คนอื่นแตะต้องไม่ได้คือไม่ต้องเป็นคนจีนก็อ่านได้
เรามองเรื่องของจีน ความเป็นไทยเชื้อสายจีน หมายความว่าตั้งแต่คนจีนเข้ามาอยู่ในเมืองไทย วัฒนธรรมต่าง ๆ ส่วนที่ไม่ดีเราก็ตั้งข้อสังเกตกลับไป ส่วนที่ดีเราก็นำเสนอออกมาเพื่อเก็บเอาไว้ใช้ ถ้าทั่วไปก็คือพูดถึงเรื่องตะวันตก แต่ไม่ได้แบ่งแค่จีน รวมไปถึงเกาหลี ญี่ปุ่น ประเทศอะไรก็ได้ที่เป็นเอเชีย ที่คล้าย ๆ กันเป็นเรื่องใกล้ ๆ ตัว
เหมา : คือความแตกต่างเนี่ยมันพูดให้ชัดเจนไม่ได้ เพราะทุกเล่มมันก็แตกต่างกันอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้แตกต่างอย่างชัดเจนคงต้องใช้เวลา ว่าโครงสร้างแบบนี้คือสิ่งที่เราเป็นจะแตกต่างจากคนอื่นชัดเจน
ทีมงานตอนนี้มีใครบ้าง
กร : ทีมงานตอนนี้มีเท่านี้คือมีกองบก.คนหนึ่ง ทำกราฟฟิคอีกคน แต่มีคนเข้ามาช่วยหลายคนในลักษณะฟรีแลนซ์มากกว่า เพราะเราเป็นหนังสือใหม่ไม่สามารถเพิ่มทุนได้ พื้นที่ที่อยู่ในเล่มเราก็ทำให้เกิดประโยชน์ มีเนื้อหาที่น่าสนใจ
ตอนนี้แต่ละคนทำอะไรอยู่บ้าง
เหมา : ทำต้าเจียห่าวแล้วก็เป็นกองบรรณาธิการของ Mars ด้วยครับ
กร : ทำต้าเจียห่าวอย่างเดียวครับ
แล้วถ้าพูดถึงบทบาทของแต่ละคนในต้าเจียห่าว
เหมา : ตอนแรกเราสองคนจะช่วยกันคิด แต่ในบทบาทการทำงาน กรจะเป็นคนควบคุมการทำงานในกองบก. เพื่อให้หนังสือเล่มนึงออกมาตามกำหนดเวลา ในขณะเดียวกันก็เป็นครีเอทีฟของหนังสือเล่มนี้ด้วย คือถ้ามีอะไรใหม่ ๆ ในเล่มนี้ก็จะมาจากกร เราก็ทำลักษณะปรึกษากันเรื่อย ๆ ครับ
กร : คือทำคล้าย ๆ กันครับ เป็นเพื่อนกันมากกว่าคือช่วยกันทำ ช่วยกันคิด เรามีที่ปรึกษาครับคือพี่ปั๊บ จิตรนาถ คือทำเป็นทีมมากกว่าครับ ช่วย ๆ กันแต่โดยหลักทั้งเล่มก็รับผิดชอบกันสองคนในส่วนของเนื้อหาต่าง ๆ
คือเป็นบรรณาธิการทั้ง 2 คนเลย
กร : ครับ แต่การเซย์เยส เซย์โน ก็จะใช้เหตุผลกัน คือจะคุยกัน ความน่าจะเป็นต่าง ๆ
เล่มแผ่นพับ เหมา เป็นเจ้าของ แล้วพอมาเป็นเล่มใหญ่ที่จะออกเดือนพฤศจิกานี้ เจ้าของคือใคร
เหมา : เจ้าของคือบริษัทต้าเจียห่าวครับ ถ้าพูดในแง่ของการตัดสินใจ เล่มที่เป็นแผ่นพับเนี่ยเราตัดสินใจเองหมดทุกอย่างแต่เล่มใหญ่มีคนเข้ามาแชร์ความคิดด้วย เราต้องเปิดกว้างให้เหตุผลของคนอี่นเข้ามาร่วมแชร์กับเราเพราะทีมงานมันมากขึ้น มันต้องมีการระดมความคิดเพราะสิ่งที่เราคิดอาจยังไม่กว้างพอทำให้เป็นการตัดสินใจร่วมกัน
ถ้าในบริษัท แต่ละคนอยู่ในตำแหน่งไหน
กร : ถ้าบริษัทจะเป็นกรรมการเหมือนกัน ซึ่งก็มีพี่ปั๊บกับพี่เพชรเป็นหนึ่งในกรรมการบริษัทด้วย
ทุนในการทำหนังสือมาจากไหน
เหมา : มาจากนิตยสาร Mars ในเครือไทยเดย์ดอทคอมครับ
มีข้อจำกัดอะไรเพิ่มขึ้นหรือเปล่าจากการทำเล่มมินิที่แจกพร้อมนิตยสาร Mars มาเป็นเล่มใหญ่ที่สมบูรณ์ขึ้น
กร : ก็เหมือนกับความคิดมันเพิ่มขึ้นแต่คอลัมน์ต่าง ๆ จะดึงออกมาจากเล่มใหญ่ เพราะเราคิดจากเล่มใหญ่ก่อน เล่มเล็กจะเป็นเหมือนตัวอย่างแนะนำคือจะไปทางเดียวกัน แต่เล่มใหญ่จะเต็มที่มากขึ้น
เรียนจบอะไรมา แล้วทำอะไรมาบ้าง
กร : เรียนจบมาจากสถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เราก็เลือกวารสารศาสตร์ ตอนปี1 ก็เข้าชมรมถ่ายภาพ พอปี 2 เราเป็นรุ่นพี่ก็ตั้งเป็น "ชมรมคนเบื้องหลัง" แล้วก็มีกิจกรรมเช่น ประกวดถ่ายภาพ ละครเวที ทำแมกกาซีนเล็ก ๆ ชื่อว่า "อะล่องฉ่อง" เป็นภาษาปาก แปลว่าสดใสงดงาม ก็จะมีเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ มาช่วยทำ เราได้เรียนรู้กระบวนการเล็ก ๆของการทำงาน คือตอนนั้นยังมีหนังสือทำมือออกมาแต่เราเริ่มทำก่อนแล้ว เป็นแค่สื่อของชมรมเล็ก ๆ ก็คล้าย ๆ กับหนังสือที่กลุ่มนักศึกษาเดี๋ยวนี้ทำ ทำละครเวที ทำแล้วก็ไม่มีคนเข้าไปดูก็เลยได้ประสบการณ์ว่าจะประชาสัมพันธ์อย่างไร ตอนนั้นทำหลายอย่างครับ ก็ประกวดถ่ายภาพ สอนถ่ายภาพ เรียนไปทำไป เหมาก็ทำกับผมด้วย
แล้วก็มีหนังสือพิมพ์อิสรภาพ เป็นหนังสือพิมพ์ฝึกปฏิบัติของนักศึกษาที่เรียนวารศาสตร์ศาสตร์ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ทุกสถาบันต้องทำ ของธรรมศาสตร์เรียกว่า "มหาวิทยาลัย" เชียงใหม่เรียกว่า "อ่างแก้ว" ของผมเรียก "อิสรภาพ" ทำกัน 2 เล่ม ก็มีประกวดที่สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ชื่อเวทีว่า "พิราบน้อย" ส่วนมากอิสรภาพจะได้รางวัลเยอะ แต่รุ่นผมไม่ได้รางวัลนะ เพราะหลัง ๆ สถาบันอื่นก็เข้มแข็งมากขึ้น แต่ข่าวของผมก็เข้ารอบ เป็นเรื่องขวดน้ำดื่ม ตอนนั้นเขียนเกี่ยวกับว่า ขวดโพลาลิสเนี่ยนำมารีไซเคิลได้แต่ถ้าเป็นขวดสีฟ้า สีฟ้าในพลาสติกจะทำให้ได้เกรดไม่ดี คือถ้าจะเลือกซื้อน้ำขวดฟ้ากับขวดขาว เราเลือกขวดขาวดีกว่า เพราะนำมารีไซเคิลได้ เข้ารอบแต่ก็ไม่ได้รางวัลอะไร
เหมา : ช่วงนั้นคือค่อนข้างมีอิสระในการทำกิจกรรม แล้วพวกเรามันเป็นพวกซื่อ อาจารย์ก็ไม่ค่อยอยากยุ่ง คือเราอยากทำก็ทำเลยครับ แล้วหลายอย่างมันไปข้ามขั้นตอนของระบบที่เค้าวางเอาไว้คือการทำกิจกรรมต้องทำโครงการเสนอของบทำ แต่ถ้ารองบผ่านก็เราจบแล้วครับ เราก็เลยข้ามขั้นตอนทำเองเลย
แนวคิดที่ได้จากการทำงานระหว่างเรียน ส่งผลให้การทำงานตอนนี้ด้วยหรือเปล่า
กร : ครับ สำคัญ
เหมา : ก็เป็นการเก็บประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ คือตอนนั้นเราไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร เราอยากทำเราก็ทำเลย มันจะซึมซับเป็นประสบการณ์ไปในตัว มันก็คือได้นับหนึ่งแล้ว แต่ไม่รู้จะนับสองได้เมื่อไหร่ แต่มันมีฐานแล้ว มันก็เลยต่อได้ง่าย
พอจบออกมาเราคิดจะทำหนังสือเป็นของตัวเองเลยหรือเปล่า
กร : ตอนจบมาผมตกงานอยู่ 5 เดือนแล้วก็ไม่มีที่ทำงาน ต้องไปเป็นผู้จัดการร้านฝึกหัดร้านฟาสต์ฟู้ดอยู่ 5-6 เดือน แล้วจังหวะนึงที่ผู้จัดการเปิดรับสมัคร เราก็มาสมัครแล้วก็ได้รับการคัดเลือกเป็นอันดับต้น ๆ ส่วนหนึ่งเพราะเราเคยฝึกงานที่นี่ แล้วเราก็ทำงานให้เค้าไว้วางใจ ส่วนเหมาไปขายตั๋วโรงหนัง
เหมา : จุดเริ่มต้นเหมือนกัน คือประสบการณ์มาพาดผ่านตอนจบจากสถาบันราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา แล้วพอจบต่างคนก็แยกย้ายกันไป เราไปทำงานอยู่ที่โรงหนัง ซึ่งตอนนั้นเป็นวิกฤตของบัณฑิตจบใหม่เลย น้อยคนครับที่จะได้ทำงานตรงกับที่เรียนมา ขายตั๋วหนังได้อยู่ 3 เดือน เป็นช่วงทดลองงานเราไปสายบ่อย พอใกล้หมดเดือนที่ 3 ก็หาที่ใหม่เลย ก็ไปได้ที่สำนักพิมพ์มติชน เราก็เอาฐานเดิมที่เคยเก็บประสบการณ์จากบ้านสมเด็จมา ก็เอาหนังสือ นิตยสาร ไปให้บก. ที่สำนักพิมพ์ดูว่าเราทำแบบนี้มา เค้าก็เห็นว่าเราพอมีประสบการณ์บ้าง เลยเรียกไปสัมภาษณ์แล้วก็ทำงานที่นั่น เป็นผู้ช่วยบรรณาธิการสำนักพิมพ์มติชน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการหาข่าวเลย งานคือดูการรวมเล่ม ดูแลต้นฉบับของนักเขียนตั้งแต่การจัดพิมพ์ ทำอาร์ต เข้าโรงพิมพ์จนถึงขั้นที่ตีพิมพ์ออกมา
ตอนนั้นทำไปได้ประมาณ 4 เดือน (ช่วงกันยาหรือตุลา) ก็มีงานหนังสือที่สวนสันติชัยปราการ ระหว่างนั้นที่ทำสำนักพิมพ์อยู่ เราก็นึกสนุก ทำหนังสือเล่มเล็กออกมาเล่มนึง เป็นหนังสือซีร็อกซ์ เย็บแม๊กซ์ ชื่อ "โปรดเก็บไว้เพื่ออ่าน" แล้วก็ไปวางขาย สนุกมาก จนแบบว่าอยากทำอีก ไป ๆ มา ๆ หนังสือเล่มนี้ก็ไปถึงมือพี่เพชร ช่วงนั้นพี่เค้ากำลังจะเปิดสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ เค้าก็เลยชวนให้มาทำ เพราะเห็นว่าเรามีประสบการณ์การทำสำนักพิมพ์ที่มติชนอยู่ด้วย เราก็มา เพราะเราก็เคยฝึกงานที่นี่
เราเข้ามาในส่วนของสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ แล้วทำไมถึงได้มาทำนิตยสาร Mars
เหมา : จริง ๆ เค้าคิดจะทำสำนักพิมพ์อยู่แล้ว แต่ไม่คิดว่าเราจะลาออกมาจากสำนักพิมพ์มติชนเร็วขนาดนั้นก็เลยได้เข้ามาช่วยในส่วนของคนทำข้อมูล เนื้อหา อัพเดทข่าวในเว็บไซต์ไทยเดย์ดอทคอมก่อนสักพักหนึ่ง ขณะนั้นก็จะประชุมเรื่องสำนักพิมพ์ไปเรื่อย ๆ ว่าหน้าตาควรจะเป็นอย่างไร ทิศทางจะเป็นอย่างไร ลองหาต้นฉบับที่น่าสนใจมารวมเล่ม คือทำทั้งสองส่วน
ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะได้ทำนิตยสาร Mars
เหมา : ตอนนั้นเหมือนเรารู้สึกอัดอั้นมากอยากจะทำหนังสือ คือนึกสนุกมาตั้งแต่ตอนทำหนังสือเล่มเล็กแล้วครับ ออกจากงานธันวา เข้างานกุมภา ช่วงมกราว่าง เราก็เลยคุยกับเพื่อน ๆ ว่าจะทำนิตยสารเพลิน เสร็จก็ประมาณกุมภา กลายเป็นว่าเพลินเล่มแรกออกคาบเกี่ยวกับช่วงที่เราเริ่มทำงานพอดี
นิตยสารเพลินที่ทำออกมาเป็นรายอะไร
เหมา : รายสะดวกครับ ตอนแรกคิดว่าจะเป็นรายเดือน แต่ถ้าพูดถึงโมเดลของมันแล้วนะครับ เป็นวารสารมากกว่า
พอหลังจากเข้าไปทำแล้วเป็นอย่างไรบ้าง เพราะมีเพลินที่ยังทำอยู่ด้วย
เหมา : ตอนนั้นก็จะมีสองอย่างที่เกิดมาควบคู่กัน คือเพลินและการทำงานอยู่ที่ไทยเดย์ดอทคอมในส่วนของเว็บไซต์ แล้วก็มีประชุมสำนักพิมพ์ด้วย พอประมาณกลางปีก็เริ่มทำหนังสือของสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์อย่างจริงจัง ออกมา 3 เล่มในเดือนตุลา ขณะเดียวกันที่ประชุมเรื่องสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ก็ทำเพลินไปด้วย พอทำไปได้สักปีนึง พี่เพชรก็บอกว่าจะมีนิตยสารเปิดตัวใหม่ในเครือไทยเดย์ดอทคอมชื่อ Mars ซึ่งเค้าจะให้เราเป็นกองบรรณาธิการด้วย เราก็สนใจเพราะเราบอกพี่เพชรตั้งแต่เข้ามาทำงานแล้วว่า เราก็อยากทำนิตยสาร
แล้วต้าเจียห่าว มันเกิดขึ้นมาตอนไหน
เหมา : หลังจากที่ทำสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ไปได้ปีนึง ยังไม่ได้ทำนิตยสาร ก็ทำเพลินไปก่อน พออัดอั้นมาก ๆ ก็เลยไปทำต้าเจียห่าว
แสดงว่าก็ยังคาบเกี่ยวกันระหว่างเพลินกับต้าเจียห่าวด้วย
เหมา : พอเพลินเล่ม 4 ออก เราก็เริ่มคิดจะทำต้าเจียห่าวแล้ว ต้าเจียห่าวออกมา 2 เล่ม พี่เพชรก็บอกว่าจะมีนิตยสาร Mars ตอนนั้นงานก็เยอะขึ้น ๆ เราก็หยุดเพื่อทำนิตยสาร Mars จนถึงทุกวันนี้ แต่ก็คุยกับกรเรื่อย ๆ จนถึงมกราปี 46
พอต้าเจียห่าวเป็นนิตยสารเต็มตัวแล้วมีปัญหาอะไรบ้างหรือเปล่า
กร : มันไม่ใช่ปัญหานะ เรียกว่าทำอย่างไรให้มันรัดกุมดีกว่าเนื่องจากรูปแบบ กระบวนการคิดมันใหม่หมด ทำอะไรก็เลยรอบคอบ ต้องระมัดระวัง
เหมา : ปัญหาก็คือความไม่รู้หลาย ๆ อย่างของเราครับ คือเราต้องเรียนรู้ใหม่ทั้งเรื่องของระบบการจัดการ การกำหนดทิศทางของนิตยสารอย่างจริงจัง การหาโฆษณา การติดต่อกับคนที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ มันเริ่มใหม่หมดเลย คือเหมือนเราเปิดประตูออกไปใหม่เลย ค่อนข้างต้องปรับตัว
กร : มันต้องผสานศิลปะการทำงานของเราเข้ากับเรื่องของการตลาด เพราะว่าเอเจนซี่ แอดต่าง ๆ เค้าก็คิดรูปแบบที่เป็นทั่วไปครับ เพราะฉะนั้นทุกคนต้องทำความเข้าใจกับมัน คงต้องใช้เวลาอีกสักนิดครับ
แล้วมีปัญหาเกี่ยวกับการขอสปอนเซอร์หรือเปล่า เพราะเราเป็นหนังสือใหม่
กร : ตอนนี้ก็ยังดูอยู่ครับ ยังไม่เจออะไร เรามีทีมแต่คงต้องรอผลอีกสักพักนึง
หลังจากที่ทำมาทั้งเล่มที่เป็นแผ่นพับและเล่มขนาดมินิ หน้าสีสำหรับแจกไปกับนิตยสาร Mars มี Feedbacks กลับมาอย่างไรบ้าง
เหมา : เค้าบอกว่าเล่มที่เป็นหน้าสีอ่านสนุกขึ้น แล้วก็มีความหลากหลายดี มีคอลัมน์ต่าง ๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นนิตยสารแล้วครับ ผู้อ่านก็ให้ความสนใจเยอะอาจจะเป็นเพราะชื่อหนังสือมั้งครับ เพราะนิตยสารไทยไม่เคยเห็นมีชื่อหนังสือแบบนี้
เคยคิดถึงปัญหาของการตั้งชื่อหนังสือเป็นชื่อจีนหรือเปล่า
กร : องค์ประกอบมันเยอะ เพราะคนเรียนภาษาจีนมากขึ้น คำว่า "หนีห่าว" รู้จักใช่ไหมครับ คือหนีห่าวคนเดียว แต่ถ้าต้าเจียห่าว หลายคน ผมว่าเพิ่มอีกหน่อยนึงคงจะไม่ใช่เรื่องยากมาก แล้วชื่อเรามันไม่น่าจะยากนะ ต้า-เจีย-ห่าว การออกเสียงก็ไม่ยาก อีกอย่างคนรุ่นใหม่เค้าก็สนใจภาษาจีนเยอะนะ เนื้อหาเกี่ยวกับจีนก็มีมากมาย ศึกษาได้ หนังสือพิมพ์ก็มีคอลัมน์เกี่ยวกับจีน อย่างคอนเสิร์ต F4 ออกมาก็ต้าเจียห่าว มันไม่ใช่กระแสนะครับ ทุกอย่างมันจะกลืน ส่วนการตั้งชื่อเนี่ย ตั้งมาก่อน F4 อีก ถ้าคนที่ตั้งใจฟังจริง ๆ คงไม่ฟังอย่างเดียวหรอก มันจะต้องมีการจด หรือไม่ก็เม็มไว้ในโทรศัพท์ สื่อต่าง ๆ มันมีเยอะ การช่วยจำมันเยอะขึ้นนะครับ ผมว่ามันน่าจะโดนด้วยซ้ำไป
แล้วเล่มที่เป็นแผ่นพับ จะเรียกว่าเป็นสื่อแบบไหน
เหมา : ไม่รู้จะพูดอะไรกับมันดี
กร : สื่อเฉพาะกิจ
เหมา : คือจะบอกว่ามันเป็นอะไร ไม่รู้สิ มันออกมาจากเรา แต่หาหมวดให้มันไม่ได้เหมือนกัน
มีคำแนะนำอะไรกับน้อง ๆ ที่อยากทำนิตยสารบ้าง
กร : ทำโดยอย่าไปแคร์รูปแบบในท้องตลาด คือต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าคุณอยากทำหรืออยากได้เงิน ค่อย ๆ ทำไปทีละอย่างแล้วก็หากลุ่มให้มันเจอ กลุ่มคืออาจจะทำแค่แมกกาซีนให้คนในถนนเพชรเกษม เป็นกลุ่มเล็ก ๆ ก่อนแล้วก็หารูปแบบการจัดการที่ดี อันนี้มันก็พูดยากนะ ทุกอย่างมันอิงไปกับเครื่องไม้เครื่องมือ Hardware Software แต่ว่าการที่ได้เรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ ประยุกต์กับแนวคิดของตัวเองน่ะสำคัญ ไม่หยุดนิ่งก็ดี คือคิดแล้วก็ทำ
จำเป็นต้องมีคุณสมบัติอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า
กร : ก็อ่านหนังสือเยอะ ๆ เขียนไดอารี่เยอะ ๆ ชอบคิด ชอบเขียนในเชิงสร้างสรรค์ คิดแล้วทำ มีการแลกเปลี่ยน แต่มันพูดยากนะครับ คือมันพูดไม่ได้ว่าคุณต้องเป็นคนอย่างนั้นอย่างนี้ควรจะศึกษาและทำมากกว่า ท้ายสุดแล้วถ้าคุณทำหนังสือออกไป แต่คุณเขียนได้ไม่ดี มันก็สื่อกับคนอ่านไม่ได้เพราะมันอยู่ที่ตัวหนังสือ เขียนดีไม่ดีมันไม่ได้วัดแค่สำนวน ภาษาหรือตัวสะกด มันขึ้นอยู่กับความคิดเบื้องหลัง การถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือครับ สำคัญที่สุด
เหมา : มันมองได้หลายแบบ ชุดแรกคือ คนที่ชอบอ่านนิตยสารก่อน แล้วก็กลายมาเป็นคนทำนิตยสาร พวกนี้เรียกว่า You Are What You Eat คือเสพอะไรเท่าไหร่ก็จะเป็นแบบนั้น อะไรก็ไม่รู้ แต่สุดท้ายก็กลายมาเป็นคนทำนิตยสารจนได้ คือมันไม่มีสูตรสำเร็จ ว่าเริ่มอย่างนี้จะต้องจบแบบนี้ บางคนไม่เคยจับงานนิตยสารมาเลยแต่จู่ ๆ มาทำนิตยสารอาจจะทำได้ดีก็ได้ บางคนเที่ยวมาทั้งชีวิต อยู่มาวันนึงมีคนมาทาบทามให้ทำนิตยสารท่องเที่ยวเค้าก็ทำได้ เพราะเค้ามีประสบการณ์ในการท่องเที่ยวแต่เค้าไม่ได้มีประสบการณ์การทำนิตยสารมาเลย คือเค้ามองประเด็นออก ต้องนำเสนอเนื้อหาแบบไหนคนท่องเที่ยวถึงจะสนใจ
คิดอย่างไรกับการที่คนจบสาขาอื่นก็สามารถเข้ามาทำงานนิตยสารนี้ได้ และมีความจำเป็นแค่ไหนที่จะต้องเรียนทางด้านนี้มาโดยตรง
เหมา : ก็ไม่จำเป็นนะครับ แต่มันก็เป็นส่วนช่วย เพราะในช่วงเวลาหนึ่ง เราสามารถซึมซับเอาความคิดเชิงนิเทศเข้าไป หลักการคิดมันก็จะอยู่ในตัว แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเรียนหลัก

