มูลนิธิสร้างเสริมวัฒนธรรมการอ่าน | Reading Culture Promotion Foundation

Who’s Afraid of Virginia Woolf?

 

 
“ใครจะไปกลัวเจ้าหมาป่าวายร้าย  
 
หมาป่าวายร้าย หมาป่าวายร้าย
 
ใครจะไปกลัวเจ้าหมาป่าวายร้าย
 
ทา ลา ลา ลา ลา”
 
 
นี่คือบทเพลงกล่องเด็กอันเป็นที่มาของชื่อบทละคร Who’s Afraid of Virginia Woolf? หรือ ใครจะไปกลัวเวอจิเนียร์ วูลฟ์[1]   บทละครของเอดเวิร์ด อัลบีเรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าแม่วรรณกรรมสมัยใหม่ เวอจิเนียร์ วูล์ฟด้วยหรือเปล่า   คำตอบคือ อาจจะหรืออาจจะไม่ก็ได้   ตั้งแต่ Who’s Afraid of Virginia Woolf? เปิดม่านในปี 1961 นักวิจารณ์แทบทุกคนรวมถึงเลโอนาร์ด วูลฟ์ สามีของเวอจิเนียร์ วูล์ฟ มองเห็นความสอดคล้องที่น่าจะเป็นมากกว่าแค่ความบังเอิญระหว่างละครเรื่องนี้และเรื่องสั้น Lappin and Lapinova ของวูล์ฟ   แม้ว่าอัลบีจะยืนยันว่าเขาไม่เคยอ่านเรื่องสั้นดังกล่าวมาก่อน
 
 
[2]
 
                 ถ้าชื่อละครเรื่องนี้เป็นเพียงแก๊กตลกคำพ้องเสียงเล็กๆ ก็คงไม่มีใครติดอกติดใจหรอกว่าอัลบีจะได้แรงบันดาลใจมาจากไหน   แต่ “ใครจะไปกลัวเวอจิเนียร์ วูลฟ์” เป็นคำถามซึ่งกุมแก่นเรื่องเอาไว้   และถ้าได้อ่าน Lappin and Lapinova เราจะมองเห็นสานส์ซึ่งซ่อนอยู่ระหว่างบรรทัดใน Who’s Afraid of Virginia Woolf? อย่างทะลุปรุโปร่งขึ้น
 
                Lappin and Lapinova ว่าด้วยสองสามีภรรยา เออเนสต์ และโรซาลินด์   เปิดเรื่องมา ทั้งคู่อยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน กระนั้นพวกเขาไม่วายสงสัยว่า “ความสุขเช่นนี้จะยั่งยืนนานสักแค่ไหน”   พื้นเพของทั้งคู่แตกต่างกันเกินไป   เออเนสต์มาจากครอบครัวใหญ่ เต็มไปด้วยญาติพี่น้อง ขณะที่โรซาลินด์นอกจากจะเป็นลูกคนเดียวแล้ว ยังเป็นเด็กกำพร้าอีกต่างหาก   หญิงสาวไม่แน่ใจว่าตัวเองพร้อมแล้วหรือยังกับอัตลักษณ์ใหม่ในฐานะ “นางเออเนสต์ ธอเบิร์น”   เธอจึงสร้างอัตลักษณ์จำลองขึ้นมานั่นก็คือลาปิโนวา ราชินีกระต่าย ส่วนสามีของเธอก็นึกสนุกไปด้วย เขาจึงกลายเป็นแลปแปง ราชากระต่าย
 
                โรซาลินด์ใช้ชีวิตสมรสท่ามกลางแรงกดดัน   เธอถูก “หลอมเหลว กระจัดกระจาย ละลาย หายสูญ” ไปกับหมู่ญาติๆ ของสามี   ช่วงเวลาเดียวที่เธอจะมีความสุขได้คือการสวมบทบาทลาปิโนวาอยู่ในป่าแห่งจินตนาการของเธอและสามี   “ใครเลยจะไปคาดคิดว่ามีสถานที่เช่นนี้อยู่ด้วย…มันช่วยผสานทั้งสองให้รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในโลกอันกว้างใหญ่…ไม่มีใครนอกจากพวกเขาที่รู้จักโลก [ในจินตนาการ] แห่งนี้”
 
                ช่วงท้ายของเรื่องสั้นเมื่อน้ำต้มผักชักออกรสขม เออเนสต์ก็เริ่มปล่อยปละละเลยภรรยา   ในตอนจบเขาสมมติให้ลาปิโนวาถูกดักตายในบ่วงนายพราน   วูลฟ์ปิดเรื่องสั้นด้วยประโยคอันเรียบง่ายแต่ชวนขนลุก “และนั่นเองคือจุดจบของชีวิตสมรส”
 
 
                ไม่ยากเลยถ้าจะมองว่าอีกยี่สิบปีผ่านไป เออเนสต์และโรซาลินด์ก็จะกลายเป็นจอร์จและมาธา คู่สามีภรรยาของอัลบี  
 
 
บางสิ่งในโลกนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แม้ว่าบริบททางสังคมจะไม่เหมือนเดิมแล้วก็ตาม   ใน Who’s Afraid of Virginia Woolf?กลับกลายเป็นฝ่ายชายต่างหากที่ถูกคุมขังอยู่ในโลกของฝ่ายหญิง   จอร์จแต่งงานกับลูกสาวของอธิการบดีแห่งมหาวิทยาลับที่เขาสอนวิชาประวัติศาสตร์   เขาไม่มีอิสระเสรี เพราะ “พ่อของมาธาคาดหวังให้พนักงานยึดติดสถาบัน เหมือนกับเถาวัลย์ เติบโต แก่ชรา และฝังร่างกายอยู่ในนี้”   ความเผด็จการของพ่อตานี่เองที่ทำลายความฝันของจอร์จซึ่งอยากจะเป็นนักเขียน
 
มาธาเองก็ผิดหวังกับความล้มเหลวของสามี   ขณะที่เธอและพ่อคาดหวังให้สักวันจอร์จมารับช่วงต่อมหาวิทยาลัย กลับกลายเป็นว่าแม้แต่ภายในภาควิชาประวัติศาสตร์เอง จอร์จก็ยังบริหารจัดการงานไม่ได้   ยิ่งผิดหวังเท่าไหร่ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ยิ่งเลวร้าย   มาธา “ต้องใส่กางเกง[3]ในบ้านหลังนี้ เพราะต้องมีใครสักคนหนึ่งทำ”   มาธากลายเป็นหญิงปากร้าย ชอบด่าทอจอร์จเสียๆ หายๆ ทั้งในพื้นที่ส่วนตัวและสาธารณะ   สามีนางเป็นเพียงอากาศธาตุ   มาธาไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะยั่วยวนผู้ชายคนอื่นต่อหน้าต่อตาเขา   บทบาททางเพศที่พลิกกลับกันระหว่างเออเนสต์/โรซาลินด์ และจอร์จ/มาธา แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคมตะวันตก เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิมเลย
 
 
สามีภรรยายังคงโหยหาพื้นที่ส่วนตัว   พวกเขาต้องการภาษาและความเข้าใจกันเฉพาะสองคน ต้องการความรู้สึกที่ว่าตัวเองยืนอยู่บนฝั่งเดียวกันและเป็นฝั่งตรงข้ามกับโลกทั้งใบที่เหลือ   ขณะที่แลปแปงและลาปิโอนาคือโลกส่วนตัวของเออเนสต์และโรซาลินด์   จอร์จและมาธาก็ได้สมมติลูกชายขึ้นมาคนหนึ่ง   ทั้งคู่ทะเลาะกันเรื่องลูกชาย โดยเขาหาว่าเธอจุกจิกจู้จี้จนลูกชายหนีออกจากบ้าน ส่วนเธอก็บอกว่าที่ลูกชายไม่ยอมกลับบ้านเพราะอับอายที่พ่อเป็นคนล้มเหลว   แม้จะน่าเหลือเชื่อ แต่ความขัดแย้งนี้เป็นสายใยพิสดารที่เชื่อมโยงคนทั้งคู่เข้าหากัน  
 
 
Who’s Afraid of Virginia Woolf? จบแบบเดียวกับ Lappin and Lapinova ตรงฝ่ายชายเป็นคนทำลายโลกสมมติทิ้ง และมาธาผู้ตลอดทั้งเรื่องเหมือนจะแข็งแกร่งกว่ากลับเป็นฝ่ายแหลกสลายแทน   อัลบีเคยอธิบายชื่อละครไว้ว่า “ใครจะไปกลัวเวอจิเนียร์ วูลฟ์ หมายถึงใครจะไปกลัวการใช้ชีวิตโดยปราศจากภาพลวงตา”   นี่คือคำถามอันย้อนแย้ง เพราะภาพลวงตาหรือการหลอกตัวเองดูจะกลายเป็นปัจจัยจำเป็นเสียแล้วสำหรับการใช้ชีวิตในโลกยุคปัจจุบัน[4]   มาธาเตือนจอร์จว่า “คุณไม่รู้หรอก อะไรคือความแตกต่างระหว่างภาพลวงตากับความจริง” ซึ่งเขาตอบเธอไปว่า “ผมไม่รู้ แต่เราก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไปเสมือนว่าเรารู้”   โดยเฉพาะในชีวิตสมรส ซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่าเรื่องสมมติและภาพลวงตา   คนสองคนที่เข้ากันไม่ได้เลย กลับต้องมาพยายาม “พลิกแพลง ดัดแปลง ปรองดอง” เพื่อให้ทนอยู่ร่วมกันได้   แม้จะต้องทำร้ายกันสักแค่ไหนก็ตาม เพียงเพราะสังคมสมมติกติกาและความคาดหวังขึ้นมา
 
อัลบีถูกจัดให้เป็นทายาทข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกของแซมมวล แบคเคต และเป็นผู้บุกเบิกละครแปลกวิสัย (Theater of the Absurd) ในประเทศอเมริกา   (คำถาม “ใครจะไปกลัวเวอจิเนียร์ วูลฟ์” จึงน่าพิศวงงงงวยไม่แพ้ โกโดต์คือใคร และทำไมเราต้องไปรอเขาด้วย)   แต่การที่ละครแปลกวิสัยจะมาหยั่งรากในอเมริกา ดินแดนที่มีวัฒนธรรมละครชัดเจนดีอยู่แล้ว ก็ต้อง “พลิกแพลง ดัดแปลง ปรองดอง”   Who’s Afraid of Virginia Woolf? เป็นผลงานที่อยู่ตรงกลางระหว่างละครแปลกวิสัย และละครคลาสสิกของอเมริกาซึ่งมีเส้นเรื่องและความขัดแย้งระหว่างตัวละครที่ชัดเจนกว่า   คนดูพอจะจับเค้าได้ว่าอะไรคือปมปัญหาระหว่างจอร์จและมาธา   ส่วนนิกและฮันนีที่เปิดเรื่องมาเป็นคู่สามีภรรยาข้าวใหม่ปลามันก็ค่อยๆ เผยรอยร้าวระหองระแหงออกมาเรื่อยๆ   พัฒนาการของตัวละครเป็นขนบที่สวนทางกับละครแปลกวิสัย ซึ่งมักแช่แข็งตัวละครให้เป็นสัญลักษณ์ของนามธรรมตัวเดียวตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง[5]   การลำดับและเล่าเรื่องในลักษณะนี้คล้ายคลึงกับกลวิธีของนักเขียนชาวอเมริกันอย่างเทนเนสซี วิลเลียมส์   ยูจีน โอ นีล   หรือธอร์ตัน ไวล์ดเดอร์มากกว่านักเขียนจากฝั่งยุโรป
 
 
[6]
 
ต้องชื่นชมอัลบีที่ผสมผสานกลเม็ดเด็ดพรายของละครแปลกวิสัยเข้ากับแก่นเรื่องที่เขาต้องการนำเสนอได้อย่างร้ายกาจ   เมื่อคนดูได้รับสิทธิให้เหลือบมองเข้าไปในชีวิตสมรสของจอร์จและมาธา เราก็ไม่อาจเรียกร้องให้พวกเขาเปิดเผยความจริงอะไรมากไปกว่าบทสนทนาที่ทั้งคู่ใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมเต็มไปด้วยภาษาส่วนตัวและสิ่งสมมติที่บุคคลภายนอกอย่างเราฟังแล้วไม่รู้เรื่อง   เช่น เมื่อนิกถามจอร์จว่าเขามีลูกหรือเปล่า   จอร์จตอบกลับไปว่า “เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้ว ส่วนคุณคงต้องสืบดูเอาเอง”   เป็นการท้าทายทั้งนิกและคนดู   การปกปิดความจริงเช่นนี้คือกลเม็ดที่พบเห็นได้บ่อยๆ ในละครแปลกวิสัย นอกจากนี้ยังมีการใช้ประโยคเดิมซ้ำซากไปมา การเล่นคำ[7] และการทลายกำแพงที่สี่เพื่อเล่นกับคนดู
 
 
[8]
 
ครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมเคยดู Who’s Afraid of Virginia Woolf? คือการเล่นสดที่โรงละครมาร์กเทเปอร์ในลอสแองเจลีส   มีการใช้ของเล่น (gimmick) แปลกๆ ให้ชายหญิงนั่งอยู่ตรงขอบเวที   ตลอดทั้งเรื่องสองคนนี้จะส่งภาษามือถึงกันและกันโดยแปลความหมายจากสิ่งที่นักแสดงพูด (คล้ายๆ รายการโทรทัศน์บางช่องของบ้านเรา)   นอกจากความขบขันเวลาคนดูได้เห็นภาษามือที่แปลออกมาเป็นคำหยาบคาย นักแสดงใบ้สองคนนี้ช่วยเพิ่มชั้นเชิงในการตีความละครให้ลึกลงไปอีกระดับหนึ่ง   จอร์จ มาธา นิก และฮันนีคือตัวแทนของความล้มเหลวในการสื่อสาร ซึ่งนับวันยิ่งจะเป็นปัญหาในครัวเรือนที่ระบาดไปยังสถาบันอื่นๆ   เลยไม่น่าแปลกที่ใครๆ จะอยากหนีเข้าไปอยู่ในภาพลวงตา   “ใครจะไปกลัวเวอจิเนียร์ วูลฟ์…ใครจะไปกลัวการใช้ชีวิตโดยปราศจากภาพลวงตา”   หรือว่าคำตอบสุดท้ายของมาธาจะสะท้อนความจริงที่เราทุกคนรู้ดีอยู่แล้วแต่ไม่กล้ายอมรับมัน     
 
และนั่นคือคำถามที่อัลบีฝากทิ้งไว้ให้คนอ่าน พวกเราทุกคน
 
 
[1] เป็นการเล่นคำพ้องเสียงระหว่าง “big bad wolf” หรือ “เจ้าหมาป่าวายร้าย” และ “Virginia Woolf”
 
[2] อัลบีเป็นแฟนของเจมส์ เธอเบอร์   นักเขียนผู้เชี่ยวชาญการนำเสนอภาพความล่มสลายของสถาบันครอบครัว   หลายฉากใน Who’s Afraid of Virginia Woolf? สะท้อนมาจากผลงานของเธอเบอร์   รวมไปถึงเพลงกล่อมเด็ก Who’s Afraid of the Big Bad Wolf? ซึ่งอยู่ในฉากไคลแมกซ์ของละคร The Male Animal  
 
[3] เป็นสำนวนหมายถึง “เป็นช้างเท้าหน้า” แต่จะรุนแรงกว่าสำนวนไทย เพราะมีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
 
[4] ตรงนี้เลยทำให้ Who’s Afraid of Virginia Woolf? เหมือนกับผลงานของวูลฟ์มากกว่าเธอเบอร์   “เจ้าหมาป่าวายร้าย” ใน The Male Animal คืออำนาจมืดที่กดดันปัจเจกไม่ให้มีอิสระเสรีภาพ   The Male Animal เป็นบทละครที่ต้องการปลุกปลอบคนให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับภาพลวงตา ขณะที่ Who’s Afraid of Virginia Woolf?และ Lappin and Lapinova ยืนยันว่าภาพลวงตาคือสิ่งจำเป็นของชีวิตที่สลัดไม่หลุด
 
[5] อ่านบทนิยามละครแปลกวิสัยเพิ่มเติมได้จาก จุดจบแห่งการเริ่มต้น: สภาวะความเป็นมนุษย์ใน Fin de Partie ของแซมวล เบกเกตต์ โดยบัณฑูร ราชมณี
 
[6] อีกส่วนที่แตกต่างกันคือ ขณะที่ คอยโกโดต์ และละครแปลกวิสัยฝากยุโรปจะเล่นอยู่ในฉากแบบประหยัด (minimalist) หรือบางทีก็ออกนามธรรมไปเลย แต่ Who’s Afraid of Virginia Woolf? ถูกนำเสนอบนเวทีที่สร้างขึ้นมาเป็นห้องนั่งเล่นของจอร์จและมาธาอย่างประณีต สมจริง
 
[7] เช่น เมื่อนิกทำท่าจะชื่นชมรูปวาดที่แขวนไว้ในห้องนั่งเล่น จอร์จดักคอชายหนุ่มว่า เขาคงมองเห็น “ความเข้มข้นอันเงียบงัน…ความอึกทึกอันผ่อนคลาย…ความเข้มข้นอันผ่อนคลายแต่อึกทึกและเงียบงัน” ในรูปวาดนี้
 
[8] เช่น หลังจากจอร์จและมาธาตะโกนโหวกเหวกใส่กันต่อหน้าแขก   นิกถามเจ้าบ้านฝ่ายชายตรงๆ “ผมไม่เข้าใจเลยทำไมพวกคุณถึงต้องยัดเยียดสิ่งนี้ให้คนอื่นดูด้วย” ซึ่งก็คงเป็นคำถามเดียวกันกับของคนดู   และต่อมาอัลบีก็ให้คำตอบว่า “การเฆี่ยนกันอาจไม่สนุกก็จริงแต่…คุณอดไม่ได้ที่จะชื่นชมถ้าคนเฆี่ยนมีฝีมือ”
 
ภาณุ ตรัยเวช